“เพื่อไทย” ตั้ง 5 คกก.สอบ “3 งูเห่า” ของพรรค ลั่น พร้อมเอาผิดอาญา ชี้ โทษสูงสุดไล่ออก
https://www.matichon.co.th/politics/news_1790914
“เพื่อไทย” ตั้ง 5 คกก.สอบ “3 งูเห่า” ของพรรค ลั่น พร้อมเอาผิดอาญา มาตรการสูงสุดคือขับออกจากพรรคหากมีการรับเงิน
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 6 ธันวาคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นาย
สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค พท. นาย
ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค พล.ต.ท.
วิโรจน์ เปาอินทร์ นาย
ชัยเกษม นิติสิริ คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค นาย
ภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ร่วมแถลงข่าวตั้งคณะกรรมการตรวจสอบกรณีการเกิดงูเห่าในพรรคการเมือง
โดยนาย
สมพงษ์ กล่าวว่า ตามที่พรรคร่วมฝ่ายค้านได้มีมติเสนอญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศและคำสั่งของ คสช. และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและเป็นไปตามอุดมการณ์และนโยบายของพรรคที่จะต้องคัดค้านต่อต้านการรัฐประหาร แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในการประชุมสภาฯ ผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา ส.ส.พรรครัฐบาลเสนอให้ลงคะแนนใหม่ โดยมีเจตนาจะล้มญัตติดังกล่าว ได้มี ส.ส.ของพรรค 3 คน ร่วมประชุมเพื่อให้ครบองค์ประชุมในการลงมติครั้งนี้ด้วย ทำให้เกิดความเสียหายต่อพรรคและภาพลักษณ์ของการเป็นพรรคฝ่ายค้านเป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่มติพรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นชอบไม่ให้ ส.ส.ฝ่ายค้านเข้าร่วมประชุม เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง กรณี ส.ส.ของพรรคทั้งสามคนได้เข้าร่วมประชุมในวันดังกล่าว อาศัยอำนาจตามข้อบังคับพรรคเพื่อไทย พ.ศ.2561 ข้อ 63 (7) แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงคณะ โดยมี พล.ต.ท.
วิโรจน์ เปาอินทร์ ประธานกรรมการ นาย
ชัยเกษม นิติสิริ นาย
ภูมิธรรม เวชยชัย นาย
ชูศักดิ์ ศิรินิล กรรมการ และนาย
วัฒนา เตียงกูล เลขานุการ โดยใช้เวลา 7-10 วัน โดยให้ตรวจสอบและแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ ส.ส.ของพรรคได้เข้าร่วมประชุมในวาระพิจารณาญัตติข้างต้น เชิญ ส.ส.ของพรรคที่เกี่ยวข้องและที่มีข้อมูลมาให้ข้อเท็จจริงหรือส่งมอบเอกสารหลักฐาน และสรุปข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะเสนอหัวหน้าพรรคเพื่อพิจารณาและดำเนินการต่อไป
จากนั้น นาย
สมพงษ์ อ่านแถลงการณ์ว่า จากการประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมเพื่อพิจารณาญัตติการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศและคำสั่ง ของ คสช. และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความกลัวในการถูกตรวจสอบของผู้นำรัฐบาล ถึงขั้นกล้ากระทำสิ่งที่น่าละอายขัดต่อความรู้สึกของพี่น้องประชาชน และขัดต่อความถูกต้องชอบธรรม อย่างไม่สะทกสะท้าน หวั่นเกรงใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำจำเลยซึ่งศาลฎีกาพิพากษาให้มีความผิด ถูกออกหมายจับ เข้ามานั่งในสภาฯ ได้ โดยที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายใดกล้าเข้ามาจับกุม หรือกรณีที่มีข่าวหนาหูว่ามีการใช้ผลประโยชน์ อิทธิพลและมีการกล่าวอ้างถึงการใช้เงินจำนวนมากถึง 7-8 หลักเพื่อโน้มน้าว ชักจูงให้มีการลงมติสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล และดิ้นรนที่จะไม่ยินยอมให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาผลกระทบของการใช้มาตรา 44 จนเกิดการถอยหลังทางการเมืองอย่างน่าอดสู
นาย
สมพงษ์ กล่าวต่อว่า ปรากฏการณ์งูเห่าที่เกิดขึ้นในพรรคการเมืองหลายพรรค ซึ่งถือเป็นปฏิบัติการที่ไม่มีกติกา ขาดวินัย ไร้จิตสำนึก มุ่งแต่แสวงประโยชน์ฝ่ายตนให้เกิดขึ้นภายใต้กลไกอำนาจนอกระบบ เป็นการลุแก่อำนาจ คุกคามด้วยอามิสสินจ้าง ทำทุกอย่างเพื่อให้ชนะ เพราะขลาดกลัวการถูกตรวจสอบ จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่การรัฐประหารล่วงเลยมาถึงวันนี้ สังคมไทยมีบาดแผลและมีมลทินมากมาย ผลที่เห็นประจักษ์ชัด คือการเมืองไทยที่เคยก้าวหน้า เป็น การเมืองเชิงนโยบาย ยึดถือการรักษาพันธะ สัญญาที่จะตอบสนองความต้องการเชิงนโยบายให้แก่พี่น้องประชาชน กลับต้องถอยหลังย้อนอดีตไปเกือบ 40 ปี เป็น “
Money Politic” ที่ใช้อำนาจอธรรมและเงินเป็นเครื่องมือ ทำให้ระบบรัฐสภาถอยหลัง ประชาชนหมดความไว้วางใจ บั่นทอนระบอบรัฐสภาให้เป็นสภาพแวดล้อมที่ขาดไร้จริยธรรม สร้างเงื่อนไขให้ผู้คนเห็นความเสื่อม จนอาจเกิดความชาด้านและปฏิเสธระบบรัฐสภาในที่สุด พรรคเพื่อไทยเห็นว่าความเสื่อมทรุดทั้งปวง เป็นผลที่เกิดขึ้นจากความหวาดกลัวการถูกตรวจสอบ การใช้อำนาจเงินหว่านล้อมให้ ส.ส.งูเห่า ยอมจำนน ในด้านหนึ่งแม้จะสะท้อนภาพของการขาดจริยธรรมของ ส.ส. แต่เบื้องหลังคืออำนาจและกลไกการควบคุมที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันให้พรรคพวกของตนสามารถสืบทอดอำนาจของพวกตนเองได้ตลอดไป
นาย
สมพงษ์ กล่าวอีกว่า ภายใต้ผลพวงของการออกแบบรัฐธรรมนูญที่พิกลพิการไม่ปกติ สะท้อนถึงความสามารถในการพลิกพลิ้ว ทำผิดให้เป็นถูก การใช้กลโกงในการควบรวมอำนาจเช่นนี้ กลับยิ่งสื่อให้เห็นถึงรัฐบาลที่ไร้หลักการ ไม่สามารถใช้เหตุผลมาดึงความร่วมมือร่วมใจของคนทุกฝ่ายให้เกิดขึ้นได้จริง จึงต้องเล่นแร่แปรธาตุทุกวิถีทางดังที่เป็นอยู่ พรรคพท.เห็นว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่าจะยังไม่ใช่ครั้งสุดท้าย และจะยิ่งเกิดขึ้นอีกต่อเนื่อง ด้วยเสียงที่ปริ่มน้ำของรัฐบาล พวกเขาจะกระทำทุกวิถีทางในการปกป้องประโยชน์พวกพ้องตน มากกว่าประโยชน์ของประชาชน อันเป็นการทำลายระบบการเมืองที่มีหลักการของประเทศต่อไปอย่างไม่มีจุดจบ หนทางสำคัญเพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากปัญหาดังกล่าว รัฐบาลและกลุ่มผู้มีอำนาจในปัจจุบันต้องยินยอมและเร่งรัดให้เกิดกระบวนการการมีส่วนร่วมในสังคม เพื่อออกแบบรัฐธรรมนูญเสียใหม่ ให้ตอบสนองความต้องการอันแท้จริงของประเทศ และความต้องการของประชาชน และต้องมุ่งสร้างความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงให้เกิดขึ้นโดยเร็ว
นาย
สมพงษ์ กล่าวด้วยว่า วาระต่อไปคือ การนำวาระการพิจารณาเรื่องการศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เข้าสู่สภาเพื่อหาทางออกจากวิกฤตของประเทศ
ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการ ดังนี้
1. ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี ส.ส. ของพรรคไม่ปฏิบัติตามมติพรรคร่วมฝ่ายค้าน หากพบว่ามีการกระทำผิด จะดำเนินการตามกฎหมายและข้อบังคับพรรคในสถานหนัก
2. จะเสนอให้พรรคร่วมฝ่ายค้านพิจารณาตั้งคณะกรรมการศึกษาผลกระทบของการใช้มาตรา 44 โดยทำหน้าที่รวบรวมความคิดเห็นและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีดังกล่าว โดยให้ประชาชนในสังคมร่วมเสนอความคิดเห็น และแถลงให้พี่น้องประชาชนทราบโดยเร็วที่สุด พรรคจึงขอเชิญชวนประชาชนให้จับตามองว่ารัฐบาลจะจริงจังและจริงใจในการเปิดหนทางให้มีการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ลุล่วงหรือไม่ และพวกเขาจะใช้อำนาจอธรรมรูปแบบใด มาขัดขวางเจตนารมณ์แท้จริงของประชาธิปไตยอีก ประชาชนต้องไม่อยู่นิ่งเฉย ต้องร่วมกันจับตามองการใช้อำนาจอธรรมที่บ่อนทำลายระบบรัฐสภาและจริยธรรมทางการเมือง เพื่อศักดิ์ศรีของประเทศอย่างจริงจัง
เมื่ออถามถึงการดำเนินการเอาผิด ส.ส.สถานหนักของพรรคคืออะไร นายชัยเกษม กล่าวว่า ในความเป็นสมาชิกพรรค ก็ต้องดำเนินการตามมติพรรค ส่วนจะลงโทษหนักแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่สอบได้ หากพบว่า ส.ส.ถูกชักจูงด้วอามิสสินจ้าง ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะถือว่ามีความผิด หากทำผิดถึงขั้นร้ายแรงอาจถึงขั้นขับออกจากพรรค ไม่ส่งลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งต่อไป ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงเพราะอนาคตการเป็น ส.ส.แทบจะเป็นหมดไป
เมื่อถามว่า รัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. นาย
ชูศักดิ์ กล่าวว่า แม้ว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายพรรคการเมืองเขียนไว้ว่าเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. แต่ ส.ส.ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายพรรคการเมืองและข้อบังคับของพรรค เพราะ ส.ส.จะลงสมัครอิสระไม่ได้ ต้องสังกัดพรรคการเมือง ดังนั้นเมื่อพรรคมีมติ ส.ส.ต้องเคารพมติพรรค
ขณะที่นาย
ภูมิธรรม กล่าวว่า คณะกรรมการฯ จะเข้าไปตรวจสอบขึ้นกับข้อเท็จจริง หากพบว่ามีการใช้เงินซื้อและมีการรับเงินจริง ก็จะดำเนินการเอาผิดทางอาญาต่อไปด้วย มาตรการสูงสุดคือขับออกจากพรรค ไม่ส่งลงสมัครไปจนถึงภาคทัณฑ์
'ชวน' เต้น! สั่งสอบสภาปล่อย 'ไวพจน์' เข้าโหวต ข้องใจมีหมายศาล แต่ตร.ไม่จับกุม
https://www.matichon.co.th/politics/news_1791008
“ชวน” สั่ง สภาสอบ ปม ปล่อย “ไวพจน์” เข้าสภา ทั้งที่มีหมายของศาล ข้องใจ ตร.ไม่จับกุม
เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.เวลา 11.30 น. ที่สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) นาย
ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์กรณีที่มี ส.ส.เรียกร้องให้ตรวจสอบ กรณีของพ.ต.ท.
ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ เข้าร่วมประชุมสภา เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านา ทั้งนี้มีหมายจับของศาล ว่า ตนให้ทางสภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบกรณีดังกล่าวว่า ทำไมถึงปล่อยให้บุคคลที่มีคดีเข้ามายังสภา และเข้ามาในห้องประชุมเพื่อดำเนินการเรื่องอะไร ทั้งนี้ในวันดังกล่าวตนไม่ทราบว่า พ.ต.ท.
ไวพจน์ เข้ามาในห้องประชุมสภา จริงหรือไม่ เพราะไม่ได้ขึ้นทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เนื่องจากตนเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลในช่วงเช้า อย่างไรก็ตามการตรวจสอบดังกล่าวตนจะพิจารณาหลังจากที่ได้รับรายงานจากทางสภา อีกครั้ง
เมื่อถามว่าจะตรวจสอบถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจรัฐสภา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ นาย
ชวน กล่าวว่า ต้องรอการรายงานและตรวจสอบอีกครั้ง ซึ่งบุคคลที่มีคดีความแล้ว ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงปล่อยตัวและละเลยการปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตามในการเข้าประชุมสภา นั้นยังถือว่าเป็นการใช้สิทธิตามสถานะของส.ส.ได้
JJNY : พท.ตั้งคกก.สอบ3งูเห่า/ชวนสั่งสอบปล่อยไวพจน์เข้า/เชื่อมั่นผู้บริโภคพ.ย.62ต่ำสุด67ด./สัญญาณหนี้เสียบัตรตั้งเค้าพุ่ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_1790914
“เพื่อไทย” ตั้ง 5 คกก.สอบ “3 งูเห่า” ของพรรค ลั่น พร้อมเอาผิดอาญา มาตรการสูงสุดคือขับออกจากพรรคหากมีการรับเงิน
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 6 ธันวาคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค พท. นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ นายชัยเกษม นิติสิริ คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ร่วมแถลงข่าวตั้งคณะกรรมการตรวจสอบกรณีการเกิดงูเห่าในพรรคการเมือง
โดยนายสมพงษ์ กล่าวว่า ตามที่พรรคร่วมฝ่ายค้านได้มีมติเสนอญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศและคำสั่งของ คสช. และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและเป็นไปตามอุดมการณ์และนโยบายของพรรคที่จะต้องคัดค้านต่อต้านการรัฐประหาร แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในการประชุมสภาฯ ผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา ส.ส.พรรครัฐบาลเสนอให้ลงคะแนนใหม่ โดยมีเจตนาจะล้มญัตติดังกล่าว ได้มี ส.ส.ของพรรค 3 คน ร่วมประชุมเพื่อให้ครบองค์ประชุมในการลงมติครั้งนี้ด้วย ทำให้เกิดความเสียหายต่อพรรคและภาพลักษณ์ของการเป็นพรรคฝ่ายค้านเป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่มติพรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นชอบไม่ให้ ส.ส.ฝ่ายค้านเข้าร่วมประชุม เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง กรณี ส.ส.ของพรรคทั้งสามคนได้เข้าร่วมประชุมในวันดังกล่าว อาศัยอำนาจตามข้อบังคับพรรคเพื่อไทย พ.ศ.2561 ข้อ 63 (7) แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงคณะ โดยมี พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ประธานกรรมการ นายชัยเกษม นิติสิริ นายภูมิธรรม เวชยชัย นายชูศักดิ์ ศิรินิล กรรมการ และนายวัฒนา เตียงกูล เลขานุการ โดยใช้เวลา 7-10 วัน โดยให้ตรวจสอบและแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ ส.ส.ของพรรคได้เข้าร่วมประชุมในวาระพิจารณาญัตติข้างต้น เชิญ ส.ส.ของพรรคที่เกี่ยวข้องและที่มีข้อมูลมาให้ข้อเท็จจริงหรือส่งมอบเอกสารหลักฐาน และสรุปข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะเสนอหัวหน้าพรรคเพื่อพิจารณาและดำเนินการต่อไป
จากนั้น นายสมพงษ์ อ่านแถลงการณ์ว่า จากการประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมเพื่อพิจารณาญัตติการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศและคำสั่ง ของ คสช. และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความกลัวในการถูกตรวจสอบของผู้นำรัฐบาล ถึงขั้นกล้ากระทำสิ่งที่น่าละอายขัดต่อความรู้สึกของพี่น้องประชาชน และขัดต่อความถูกต้องชอบธรรม อย่างไม่สะทกสะท้าน หวั่นเกรงใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำจำเลยซึ่งศาลฎีกาพิพากษาให้มีความผิด ถูกออกหมายจับ เข้ามานั่งในสภาฯ ได้ โดยที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายใดกล้าเข้ามาจับกุม หรือกรณีที่มีข่าวหนาหูว่ามีการใช้ผลประโยชน์ อิทธิพลและมีการกล่าวอ้างถึงการใช้เงินจำนวนมากถึง 7-8 หลักเพื่อโน้มน้าว ชักจูงให้มีการลงมติสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล และดิ้นรนที่จะไม่ยินยอมให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาผลกระทบของการใช้มาตรา 44 จนเกิดการถอยหลังทางการเมืองอย่างน่าอดสู
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า ปรากฏการณ์งูเห่าที่เกิดขึ้นในพรรคการเมืองหลายพรรค ซึ่งถือเป็นปฏิบัติการที่ไม่มีกติกา ขาดวินัย ไร้จิตสำนึก มุ่งแต่แสวงประโยชน์ฝ่ายตนให้เกิดขึ้นภายใต้กลไกอำนาจนอกระบบ เป็นการลุแก่อำนาจ คุกคามด้วยอามิสสินจ้าง ทำทุกอย่างเพื่อให้ชนะ เพราะขลาดกลัวการถูกตรวจสอบ จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่การรัฐประหารล่วงเลยมาถึงวันนี้ สังคมไทยมีบาดแผลและมีมลทินมากมาย ผลที่เห็นประจักษ์ชัด คือการเมืองไทยที่เคยก้าวหน้า เป็น การเมืองเชิงนโยบาย ยึดถือการรักษาพันธะ สัญญาที่จะตอบสนองความต้องการเชิงนโยบายให้แก่พี่น้องประชาชน กลับต้องถอยหลังย้อนอดีตไปเกือบ 40 ปี เป็น “Money Politic” ที่ใช้อำนาจอธรรมและเงินเป็นเครื่องมือ ทำให้ระบบรัฐสภาถอยหลัง ประชาชนหมดความไว้วางใจ บั่นทอนระบอบรัฐสภาให้เป็นสภาพแวดล้อมที่ขาดไร้จริยธรรม สร้างเงื่อนไขให้ผู้คนเห็นความเสื่อม จนอาจเกิดความชาด้านและปฏิเสธระบบรัฐสภาในที่สุด พรรคเพื่อไทยเห็นว่าความเสื่อมทรุดทั้งปวง เป็นผลที่เกิดขึ้นจากความหวาดกลัวการถูกตรวจสอบ การใช้อำนาจเงินหว่านล้อมให้ ส.ส.งูเห่า ยอมจำนน ในด้านหนึ่งแม้จะสะท้อนภาพของการขาดจริยธรรมของ ส.ส. แต่เบื้องหลังคืออำนาจและกลไกการควบคุมที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันให้พรรคพวกของตนสามารถสืบทอดอำนาจของพวกตนเองได้ตลอดไป
นายสมพงษ์ กล่าวอีกว่า ภายใต้ผลพวงของการออกแบบรัฐธรรมนูญที่พิกลพิการไม่ปกติ สะท้อนถึงความสามารถในการพลิกพลิ้ว ทำผิดให้เป็นถูก การใช้กลโกงในการควบรวมอำนาจเช่นนี้ กลับยิ่งสื่อให้เห็นถึงรัฐบาลที่ไร้หลักการ ไม่สามารถใช้เหตุผลมาดึงความร่วมมือร่วมใจของคนทุกฝ่ายให้เกิดขึ้นได้จริง จึงต้องเล่นแร่แปรธาตุทุกวิถีทางดังที่เป็นอยู่ พรรคพท.เห็นว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่าจะยังไม่ใช่ครั้งสุดท้าย และจะยิ่งเกิดขึ้นอีกต่อเนื่อง ด้วยเสียงที่ปริ่มน้ำของรัฐบาล พวกเขาจะกระทำทุกวิถีทางในการปกป้องประโยชน์พวกพ้องตน มากกว่าประโยชน์ของประชาชน อันเป็นการทำลายระบบการเมืองที่มีหลักการของประเทศต่อไปอย่างไม่มีจุดจบ หนทางสำคัญเพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากปัญหาดังกล่าว รัฐบาลและกลุ่มผู้มีอำนาจในปัจจุบันต้องยินยอมและเร่งรัดให้เกิดกระบวนการการมีส่วนร่วมในสังคม เพื่อออกแบบรัฐธรรมนูญเสียใหม่ ให้ตอบสนองความต้องการอันแท้จริงของประเทศ และความต้องการของประชาชน และต้องมุ่งสร้างความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงให้เกิดขึ้นโดยเร็ว
นายสมพงษ์ กล่าวด้วยว่า วาระต่อไปคือ การนำวาระการพิจารณาเรื่องการศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เข้าสู่สภาเพื่อหาทางออกจากวิกฤตของประเทศ
ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการ ดังนี้
1. ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี ส.ส. ของพรรคไม่ปฏิบัติตามมติพรรคร่วมฝ่ายค้าน หากพบว่ามีการกระทำผิด จะดำเนินการตามกฎหมายและข้อบังคับพรรคในสถานหนัก
2. จะเสนอให้พรรคร่วมฝ่ายค้านพิจารณาตั้งคณะกรรมการศึกษาผลกระทบของการใช้มาตรา 44 โดยทำหน้าที่รวบรวมความคิดเห็นและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีดังกล่าว โดยให้ประชาชนในสังคมร่วมเสนอความคิดเห็น และแถลงให้พี่น้องประชาชนทราบโดยเร็วที่สุด พรรคจึงขอเชิญชวนประชาชนให้จับตามองว่ารัฐบาลจะจริงจังและจริงใจในการเปิดหนทางให้มีการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ลุล่วงหรือไม่ และพวกเขาจะใช้อำนาจอธรรมรูปแบบใด มาขัดขวางเจตนารมณ์แท้จริงของประชาธิปไตยอีก ประชาชนต้องไม่อยู่นิ่งเฉย ต้องร่วมกันจับตามองการใช้อำนาจอธรรมที่บ่อนทำลายระบบรัฐสภาและจริยธรรมทางการเมือง เพื่อศักดิ์ศรีของประเทศอย่างจริงจัง
เมื่ออถามถึงการดำเนินการเอาผิด ส.ส.สถานหนักของพรรคคืออะไร นายชัยเกษม กล่าวว่า ในความเป็นสมาชิกพรรค ก็ต้องดำเนินการตามมติพรรค ส่วนจะลงโทษหนักแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่สอบได้ หากพบว่า ส.ส.ถูกชักจูงด้วอามิสสินจ้าง ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะถือว่ามีความผิด หากทำผิดถึงขั้นร้ายแรงอาจถึงขั้นขับออกจากพรรค ไม่ส่งลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งต่อไป ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงเพราะอนาคตการเป็น ส.ส.แทบจะเป็นหมดไป
เมื่อถามว่า รัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. นายชูศักดิ์ กล่าวว่า แม้ว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายพรรคการเมืองเขียนไว้ว่าเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. แต่ ส.ส.ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายพรรคการเมืองและข้อบังคับของพรรค เพราะ ส.ส.จะลงสมัครอิสระไม่ได้ ต้องสังกัดพรรคการเมือง ดังนั้นเมื่อพรรคมีมติ ส.ส.ต้องเคารพมติพรรค
ขณะที่นายภูมิธรรม กล่าวว่า คณะกรรมการฯ จะเข้าไปตรวจสอบขึ้นกับข้อเท็จจริง หากพบว่ามีการใช้เงินซื้อและมีการรับเงินจริง ก็จะดำเนินการเอาผิดทางอาญาต่อไปด้วย มาตรการสูงสุดคือขับออกจากพรรค ไม่ส่งลงสมัครไปจนถึงภาคทัณฑ์
'ชวน' เต้น! สั่งสอบสภาปล่อย 'ไวพจน์' เข้าโหวต ข้องใจมีหมายศาล แต่ตร.ไม่จับกุม
https://www.matichon.co.th/politics/news_1791008
“ชวน” สั่ง สภาสอบ ปม ปล่อย “ไวพจน์” เข้าสภา ทั้งที่มีหมายของศาล ข้องใจ ตร.ไม่จับกุม
เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.เวลา 11.30 น. ที่สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์กรณีที่มี ส.ส.เรียกร้องให้ตรวจสอบ กรณีของพ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ เข้าร่วมประชุมสภา เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านา ทั้งนี้มีหมายจับของศาล ว่า ตนให้ทางสภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบกรณีดังกล่าวว่า ทำไมถึงปล่อยให้บุคคลที่มีคดีเข้ามายังสภา และเข้ามาในห้องประชุมเพื่อดำเนินการเรื่องอะไร ทั้งนี้ในวันดังกล่าวตนไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ไวพจน์ เข้ามาในห้องประชุมสภา จริงหรือไม่ เพราะไม่ได้ขึ้นทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เนื่องจากตนเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลในช่วงเช้า อย่างไรก็ตามการตรวจสอบดังกล่าวตนจะพิจารณาหลังจากที่ได้รับรายงานจากทางสภา อีกครั้ง
เมื่อถามว่าจะตรวจสอบถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจรัฐสภา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ต้องรอการรายงานและตรวจสอบอีกครั้ง ซึ่งบุคคลที่มีคดีความแล้ว ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงปล่อยตัวและละเลยการปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตามในการเข้าประชุมสภา นั้นยังถือว่าเป็นการใช้สิทธิตามสถานะของส.ส.ได้