'อนค.'จี้รัฐทำคดี'เอ๋-ปารีณา'มาตรฐานเดียวกับชาวบ้าน
https://www.dailynews.co.th/politics/744647
“ทิม พิธา” ปธ.กมธ.ที่ดินฯจี้รัฐทำคดี“เอ๋ ปารีณา”ใช้มาตรฐานเดียวกับชาวบ้านอีก 8.2 หมื่นคดี ขอโอกาสรังวัดใหม่ครั้งที่ 2 เหมือนกัน ชี้หากจะอุ้ม”ปารีณา”ช่วยเซ็ตซีโร่คดีให้ชาวบ้านติดคุกด้วย
เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า
"82,921" นี้คือตัวเลขจำนวนคดีข้อพิพาทระหว่างรัฐกับชาวบ้านในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา หัวใจผมหนักอึ้งทุกครั้งที่มีชาวบ้านมาร้องเรียนเกี่ยวกับความเดือดร้อนซึ่ง กมธ. เรารับเรื่องเป็นร้อยๆ คดีในเวลาอันสั้น ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสได้พบท่าน รมว. ปลัด อธิบดี รองอธิบดี ผมในฐานะประธานกรรมาธิการ การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็พยายามปรึกษาหารือ ขอร้อง แทนชาวบ้านให้เขามีโอกาสครั้งที่ 2 บ้าง การที่รัฐฟ้องประชาชนในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ไม่น่าจะเป็นผลดีกับใคร การแก้ปัญหาอาจจะพึ่งหลักนิติศาสตร์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องพึ่งรัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ประวัติศาสตร์ด้วย
นาย
พิธา ระบุต่อว่า 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องร้องเรียนจากประชาชน และได้เชิญท่านอธิบดีกรมป่าไม้ รองอธิบดีกรมป่าไม้ และท่านรองเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ผมมีความเห็นว่าการใช้หลักนิติศาสตร์อย่างเดียวในการฟ้องอาญา และฟ้องแพ่ง (คดีโลกร้อน) ทำให้ชาวบ้านประสบชะตากรรมที่อยากลำบาก เช่น กรณีชาวบ้าน จ.เพชรบูรณ์ซึ่งเพิ่งมาร้องเรียนกับ กมธ. เนื่องจากถูกบังคับคดีจากค่าเสียหายในคดีโลกร้อนซึ่งไม่สามารถหาทรัพย์สินมาชำระได้ จนโดนบังคับขายที่ดินมรดกเพียง 50 ตารางวาเพื่อชดใช้ค่าเสียหาย หรืออีกกรณีของนาง
น่อเฮหมุ่ย เวียงวิชชา ชาวบ้านชาติพันธุ์กระเหรี่ยง ซึ่งถูกข้อหาครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ 13 ไร่ ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 2 ปี ยอมรับสารภาพเหลือโทษจำคุก 1 ปีไม่รอลงอาญา และถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกว่า 1,963,500 บาท
นาย
พิธา ระบุต่ออีกว่า ที่ผ่านมามีชาวบ้านโดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่ไม่มีทางสู้คดีกับรัฐต้อง ติดคุก ติดตาราง เสียเวลา และเสียค่าทนายความ ผมจึงได้เรียนถามท่านข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ว่าจะมีวิธีใดบ้างที่กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะดำเนินการชะลอคดี ถอนฟ้องหรือบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ต้องหาที่มีความยากไร้ได้บ้าง โดยในกรณีประเภทนี้ผมเห็นว่าเราควรพยายามใช้นโยบายนำ ใช้หลักรัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ประวัติศาสตร์มาแก้ปัญหาในพื้นที่ป่าทับที่ เน้นสิทธิชุมชน การกระจายอำนาจ การดูแลพื้นที่ร่วมกัน (the commons) มีเทศบัญญัติ ธรรมนูญชุมชน โดยคิดขึ้นมาจากล่างขึ้นบน ไม่ใช่บนลงล่าง ซึ่งจะพอดีและเหมาะสมต่อวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อมในแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้รัฐจะมีหน้าที่เพียงวางแนวทาง กำกับดูแล ซึ่งทำเช่นนี้จะดีกว่าที่เราคิดกันในห้องสี่เหลี่ยมที่กรุงเทพฯ แล้วให้หน่วยงานปฏิบัติเพื่อบังคับให้ชาวบ้านทำตาม
“ผมเห็นว่าในขณะที่ชาวบ้านถูกดำเนินคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ หรือใช้ที่ ส.ป.ก. ผิดวัตถุประสงค์ ถูกดำเนินคดีจากรัฐเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็มีนายทุน นักการเมืองจำนวนหนึ่ง ที่มีมูลเหตุคดีคล้ายๆ กันแต่กลับไม่ถูกปฏิบัติโดยมาตรฐานเดียวกับชาวบ้านและผู้ยากไร้ ดังที่เราเห็นกันกับเหตุการณ์ซึ่งเป็นที่สนใจของสังคมอยู่ ณ ขณะนี้ นอกจากนี้ผมและท่านดำรงค์ พิเดช ในฐานะ กมธ. ยังได้มีโอกาสสอบถามถึงแผนการกับความคืบหน้าจากท่านอธิบดีกรมป่าไม้ และขอมติติดตามเอกสาร รังวัด แผนที่ ของปัญหานายทุนรุกป่าจากกรมป่าไม้เพิ่มเติมเพื่อพิจารณาสอบสวนการทำงานของกรมป่าไม้และสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ต่อไปด้วย” นาย
พิธาระบุ
นาย
พิธา ระบุต่ออีกว่า สุดท้ายนี้ผมขอให้ปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าหรือทรัพยากรธรรมชาติใดก็ตามนั้น ไม่ใช่แค่กวดขันเอากับชาวบ้านที่ยากไร้และไร้อำนาจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องกระทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกันไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร ดังนั้นถ้านายทุน หรือนักการเมืองได้โอกาสทำรังวัดที่ดินใหม่ได้ก็ขอให้ชาวบ้านได้โอกาสนี้ด้วยเช่น หรือถ้าท่านจะอะลุ้มอล่วยให้นายทุนหรือผู้มีอำนาจไม่ต้องรับโทษทั้งทางแพ่งและทางอาญา ก็ขอให้ท่านนิรโทษกรรมชาวบ้านที่ติดคุก หรือชะลอฟ้องคนที่อยู่ในชั้นศาล และจำหน่ายคดีออกจากระบบ ระงับการส่งฟ้องอัยการ เพื่อ Set Zero กันใหม่เช่นกัน จากนี้หากท่านจะดำเนินการสร้างมาตรฐานอันใดไว้ ก็ขอให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันกับชาวบ้านที่ถูกฟ้องถึง 82,921 คดี หรือจะนำสถานการณ์ที่เกิดขึ้นพลิกเป็นโอกาสให้ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรังวัดที่ดิน เรื่องการอ่านแปลแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ ผมขอฝากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจดำเนินการให้รอบคอบ ซึ่งหากจะดำเนินการก็ขอให้ใช้ระยะเวลาและระเบียบเดียวกันทั้งกับคนรวยและคนจน
ประธาน กมธ.ที่ดินฯ ระบุว่า นอกจากนี้เรื่องการสำรวจผู้อยู่อาศัยและทำกินในเขตป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ ในกรอบระยะเวลา 240 วันหลังการประกาศใช้กฎหมายใหม่ที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ 3 ฉบับ จะมีการสำรวจอย่างไร การดำเนินการเป็นอย่างไร มีรายละเอียดอย่างไร ผมในฐานะประธานกมธ. จะติดตามเรื่องนี้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดครับ
ขอโอกาสครั้งที่ 2 ให้ชาวบ้านบ้างครับ#อนาคตใหม่
ขอบคุณภาพจากเพจ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
https://www.facebook.com/timpitaofficial/photos/a.1736414163131887/2275867162519915/
กรมป่าไม้ เอาผิด “ปารีณา” 3 ข้อหา ครอบครองป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต
https://www.thairath.co.th/news/politic/1716095
อธิบดีกรมป่าไม้ แถลงสรุปผลตรวจสอบที่ดิน “ปารีณา ไกรคุปต์” 3 ข้อหา รุกป่าโดยไม่มีสิทธิ์ครอบครอง ตามกฎหมาย 3 ฉบับ ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 ธ.ค. 2562 นาย
อรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ นำแถลงสรุปผลการแจ้งความดำเนินคดีฟาร์มไก่เขาสน ของ น.ส.
ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ หลังตรวจสอบพบว่าอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อีกทั้งพื้นที่ฟาร์มไก่ เขาสน 2 ตรวจสอบเมื่อ 24 พ.ย. 2562 พบบุกรุกเขตป่าไม้ประมาณ 46 ไร่เศษ และทางฟาร์มเพิ่งมีการจับไก่ออกไป กระทั่ง 28 พ.ย. คณะทำงานลงตรวจสอบอีกครั้ง จนพบการบุกรุกที่ดินในเขตป่าไม้ ในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ ดังนี้
• จำนวนเนื้อที่ตรวจยึดทั้งหมด 46 - 1 - 40 ไร่
• อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี จำนวน 41 - 1 - 59 ไร่
อีกทั้ง ที่ดินส่วนนี้เป็นกรณีที่ยังไม่มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดิน “
จึงถือว่าเป็นป่า” ตามมาตรา 4(1) แห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 โดยบทสันนิษฐานแห่งกฎหมาย อยู่ในเขตป่าตามมาตรา 4(1) แห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 จำนวน 4 - 3 - 81 ไร่ พร้อมสรุปผลการดำเนินคดี คือ
1. กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 ฐาน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า กระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าเข้ายึดถือและครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษตามมาตรา 72 ตรี
2. กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 ยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถางทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษตามมาตรา 31
3. กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 ฐาน เข้าไปยึดครอง ก่อสร้าง เผาป่า ทำด้วยประการใด ให้เป็นการทำลาย หรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน ในที่ดินของรัฐโดยไม่มีสิทธิ์ครอบครอง หรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่และถือได้ว่าเป็นการกระทำหรือละเว้นการกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการทำลายหรือทำให้สูญหายหรือเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติ มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย สูญหายหรือเสียหายไปนั้น ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตร 97
อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมป่าไม้ ได้มอบหมายให้คณะทำงานนำเรื่องราวเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) วันนี้ เพื่อดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นาย
ทวี ไกรคุปต์ บิดาของ น.ส.
ปารีณา เดินทางมารับฟังผลการแถลงครั้งนี้ด้วย.
JJNY : 'อนค.'จี้รัฐทำคดี'เอ๋-ปารีณา'มาตรฐานเดียวกับชาวบ้าน/ป่าไม้เอาผิด“ปารีณา”3 ข้อหาฯ/หอการค้าทั่วปท.จี้คุมค้าออนไลน์ฯ
https://www.dailynews.co.th/politics/744647
“ทิม พิธา” ปธ.กมธ.ที่ดินฯจี้รัฐทำคดี“เอ๋ ปารีณา”ใช้มาตรฐานเดียวกับชาวบ้านอีก 8.2 หมื่นคดี ขอโอกาสรังวัดใหม่ครั้งที่ 2 เหมือนกัน ชี้หากจะอุ้ม”ปารีณา”ช่วยเซ็ตซีโร่คดีให้ชาวบ้านติดคุกด้วย
เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า
"82,921" นี้คือตัวเลขจำนวนคดีข้อพิพาทระหว่างรัฐกับชาวบ้านในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา หัวใจผมหนักอึ้งทุกครั้งที่มีชาวบ้านมาร้องเรียนเกี่ยวกับความเดือดร้อนซึ่ง กมธ. เรารับเรื่องเป็นร้อยๆ คดีในเวลาอันสั้น ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสได้พบท่าน รมว. ปลัด อธิบดี รองอธิบดี ผมในฐานะประธานกรรมาธิการ การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็พยายามปรึกษาหารือ ขอร้อง แทนชาวบ้านให้เขามีโอกาสครั้งที่ 2 บ้าง การที่รัฐฟ้องประชาชนในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ไม่น่าจะเป็นผลดีกับใคร การแก้ปัญหาอาจจะพึ่งหลักนิติศาสตร์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องพึ่งรัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ประวัติศาสตร์ด้วย
นายพิธา ระบุต่อว่า 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องร้องเรียนจากประชาชน และได้เชิญท่านอธิบดีกรมป่าไม้ รองอธิบดีกรมป่าไม้ และท่านรองเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ผมมีความเห็นว่าการใช้หลักนิติศาสตร์อย่างเดียวในการฟ้องอาญา และฟ้องแพ่ง (คดีโลกร้อน) ทำให้ชาวบ้านประสบชะตากรรมที่อยากลำบาก เช่น กรณีชาวบ้าน จ.เพชรบูรณ์ซึ่งเพิ่งมาร้องเรียนกับ กมธ. เนื่องจากถูกบังคับคดีจากค่าเสียหายในคดีโลกร้อนซึ่งไม่สามารถหาทรัพย์สินมาชำระได้ จนโดนบังคับขายที่ดินมรดกเพียง 50 ตารางวาเพื่อชดใช้ค่าเสียหาย หรืออีกกรณีของนางน่อเฮหมุ่ย เวียงวิชชา ชาวบ้านชาติพันธุ์กระเหรี่ยง ซึ่งถูกข้อหาครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ 13 ไร่ ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 2 ปี ยอมรับสารภาพเหลือโทษจำคุก 1 ปีไม่รอลงอาญา และถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกว่า 1,963,500 บาท
นายพิธา ระบุต่ออีกว่า ที่ผ่านมามีชาวบ้านโดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่ไม่มีทางสู้คดีกับรัฐต้อง ติดคุก ติดตาราง เสียเวลา และเสียค่าทนายความ ผมจึงได้เรียนถามท่านข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ว่าจะมีวิธีใดบ้างที่กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะดำเนินการชะลอคดี ถอนฟ้องหรือบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ต้องหาที่มีความยากไร้ได้บ้าง โดยในกรณีประเภทนี้ผมเห็นว่าเราควรพยายามใช้นโยบายนำ ใช้หลักรัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ประวัติศาสตร์มาแก้ปัญหาในพื้นที่ป่าทับที่ เน้นสิทธิชุมชน การกระจายอำนาจ การดูแลพื้นที่ร่วมกัน (the commons) มีเทศบัญญัติ ธรรมนูญชุมชน โดยคิดขึ้นมาจากล่างขึ้นบน ไม่ใช่บนลงล่าง ซึ่งจะพอดีและเหมาะสมต่อวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อมในแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้รัฐจะมีหน้าที่เพียงวางแนวทาง กำกับดูแล ซึ่งทำเช่นนี้จะดีกว่าที่เราคิดกันในห้องสี่เหลี่ยมที่กรุงเทพฯ แล้วให้หน่วยงานปฏิบัติเพื่อบังคับให้ชาวบ้านทำตาม
“ผมเห็นว่าในขณะที่ชาวบ้านถูกดำเนินคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ หรือใช้ที่ ส.ป.ก. ผิดวัตถุประสงค์ ถูกดำเนินคดีจากรัฐเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็มีนายทุน นักการเมืองจำนวนหนึ่ง ที่มีมูลเหตุคดีคล้ายๆ กันแต่กลับไม่ถูกปฏิบัติโดยมาตรฐานเดียวกับชาวบ้านและผู้ยากไร้ ดังที่เราเห็นกันกับเหตุการณ์ซึ่งเป็นที่สนใจของสังคมอยู่ ณ ขณะนี้ นอกจากนี้ผมและท่านดำรงค์ พิเดช ในฐานะ กมธ. ยังได้มีโอกาสสอบถามถึงแผนการกับความคืบหน้าจากท่านอธิบดีกรมป่าไม้ และขอมติติดตามเอกสาร รังวัด แผนที่ ของปัญหานายทุนรุกป่าจากกรมป่าไม้เพิ่มเติมเพื่อพิจารณาสอบสวนการทำงานของกรมป่าไม้และสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ต่อไปด้วย” นายพิธาระบุ
นายพิธา ระบุต่ออีกว่า สุดท้ายนี้ผมขอให้ปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าหรือทรัพยากรธรรมชาติใดก็ตามนั้น ไม่ใช่แค่กวดขันเอากับชาวบ้านที่ยากไร้และไร้อำนาจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องกระทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกันไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร ดังนั้นถ้านายทุน หรือนักการเมืองได้โอกาสทำรังวัดที่ดินใหม่ได้ก็ขอให้ชาวบ้านได้โอกาสนี้ด้วยเช่น หรือถ้าท่านจะอะลุ้มอล่วยให้นายทุนหรือผู้มีอำนาจไม่ต้องรับโทษทั้งทางแพ่งและทางอาญา ก็ขอให้ท่านนิรโทษกรรมชาวบ้านที่ติดคุก หรือชะลอฟ้องคนที่อยู่ในชั้นศาล และจำหน่ายคดีออกจากระบบ ระงับการส่งฟ้องอัยการ เพื่อ Set Zero กันใหม่เช่นกัน จากนี้หากท่านจะดำเนินการสร้างมาตรฐานอันใดไว้ ก็ขอให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันกับชาวบ้านที่ถูกฟ้องถึง 82,921 คดี หรือจะนำสถานการณ์ที่เกิดขึ้นพลิกเป็นโอกาสให้ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรังวัดที่ดิน เรื่องการอ่านแปลแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ ผมขอฝากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจดำเนินการให้รอบคอบ ซึ่งหากจะดำเนินการก็ขอให้ใช้ระยะเวลาและระเบียบเดียวกันทั้งกับคนรวยและคนจน
ประธาน กมธ.ที่ดินฯ ระบุว่า นอกจากนี้เรื่องการสำรวจผู้อยู่อาศัยและทำกินในเขตป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ ในกรอบระยะเวลา 240 วันหลังการประกาศใช้กฎหมายใหม่ที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ 3 ฉบับ จะมีการสำรวจอย่างไร การดำเนินการเป็นอย่างไร มีรายละเอียดอย่างไร ผมในฐานะประธานกมธ. จะติดตามเรื่องนี้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดครับ
ขอโอกาสครั้งที่ 2 ให้ชาวบ้านบ้างครับ#อนาคตใหม่
ขอบคุณภาพจากเพจ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
https://www.facebook.com/timpitaofficial/photos/a.1736414163131887/2275867162519915/
กรมป่าไม้ เอาผิด “ปารีณา” 3 ข้อหา ครอบครองป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต
https://www.thairath.co.th/news/politic/1716095
อธิบดีกรมป่าไม้ แถลงสรุปผลตรวจสอบที่ดิน “ปารีณา ไกรคุปต์” 3 ข้อหา รุกป่าโดยไม่มีสิทธิ์ครอบครอง ตามกฎหมาย 3 ฉบับ ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 ธ.ค. 2562 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ นำแถลงสรุปผลการแจ้งความดำเนินคดีฟาร์มไก่เขาสน ของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ หลังตรวจสอบพบว่าอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อีกทั้งพื้นที่ฟาร์มไก่ เขาสน 2 ตรวจสอบเมื่อ 24 พ.ย. 2562 พบบุกรุกเขตป่าไม้ประมาณ 46 ไร่เศษ และทางฟาร์มเพิ่งมีการจับไก่ออกไป กระทั่ง 28 พ.ย. คณะทำงานลงตรวจสอบอีกครั้ง จนพบการบุกรุกที่ดินในเขตป่าไม้ ในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ ดังนี้
• จำนวนเนื้อที่ตรวจยึดทั้งหมด 46 - 1 - 40 ไร่
• อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี จำนวน 41 - 1 - 59 ไร่
อีกทั้ง ที่ดินส่วนนี้เป็นกรณีที่ยังไม่มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดิน “จึงถือว่าเป็นป่า” ตามมาตรา 4(1) แห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 โดยบทสันนิษฐานแห่งกฎหมาย อยู่ในเขตป่าตามมาตรา 4(1) แห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 จำนวน 4 - 3 - 81 ไร่ พร้อมสรุปผลการดำเนินคดี คือ
1. กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 ฐาน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า กระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าเข้ายึดถือและครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษตามมาตรา 72 ตรี
2. กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 ยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถางทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษตามมาตรา 31
3. กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 ฐาน เข้าไปยึดครอง ก่อสร้าง เผาป่า ทำด้วยประการใด ให้เป็นการทำลาย หรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน ในที่ดินของรัฐโดยไม่มีสิทธิ์ครอบครอง หรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่และถือได้ว่าเป็นการกระทำหรือละเว้นการกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการทำลายหรือทำให้สูญหายหรือเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติ มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย สูญหายหรือเสียหายไปนั้น ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตร 97
อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมป่าไม้ ได้มอบหมายให้คณะทำงานนำเรื่องราวเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) วันนี้ เพื่อดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายทวี ไกรคุปต์ บิดาของ น.ส.ปารีณา เดินทางมารับฟังผลการแถลงครั้งนี้ด้วย.