ธนาธรรุกป่าที่ราชบุรี จนเป็นคดีความ เรื่องคาอยู่ที่อัยการจังหวัด

จำได้ใช่มั้ย เรื่องธนาธรรุกป่าที่ราชบุรี จนเป็นคดีความเรื่องคาอยู่ที่อัยการจังหวัดราชบุรี นั้น ต่อมา จากถูกฟ้องอาญา ธนาธรเป็นโจทก์ไปยื่นฟ้อง กระทรวงมหาดไทย กรมที่ดิน อธิบดีกรมที่ดิน และปลัดกระทรวงมหาดไทย ต่อศาลปกครองบ้าง ขอให้เพิกถอนคำสั่งกรมที่ดิน เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) ของเขา ที่ ต.ด่านทับตะโก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี 

เมื่อ ๑๓ ก.ย.๖๖ นี้เอง "องค์คณะตุลาการศาลปกครองกลาง" ออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ปรากฏว่า ตุลาการผู้แถลงคดี เสนอความเห็นว่า "ควรสั่งยกฟ้อง"

เนื่องจาก ก่อนรองอธิบดีกรมที่ดิน จะมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.๓ ก. จำนวน ๕๙ ฉบับ ซึ่งรวมถึง น.ส.๓ ก.แปลงของนายธนาธร ได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ประกอบด้วยผู้เกี่ยวข้องและผู้เชี่ยวชาญ การตรวจสอบเป็นไปตามหลักวิชาการแล้ว พบว่า ตำแหน่งที่ดินตามหลักฐาน น.ส.๓ ก.ทั้ง ๕๙  ฉบับ รวมทั้งที่ดินที่พิพาทอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ก.พ.๑๒ ทั้งแปลง ที่ดินพิพาททั้งสองแปลง จึงมีสถานะเป็นป่าไม้ถาวรตามมติ ครม.มาก่อนที่จะออก น.ส.๓ ก. ให้กับนายอุดม กิตติอุดมพานิช และนายชัยณรงค์ บู่ศรี ที่เป็นเจ้าของที่ดินเดิม ในปี ๒๕๒๑
เมื่อที่ดินทั้ง ๒ แปลงตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร  จึงเป็น "ที่ดินต้องห้าม" มิให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ 

คำสั่งของรองอธิบดีกรมที่ดินที่เพิกถอน น.ส.๓ ก.แปลงที่พิพาทจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนที่เจ้าหน้าที่ที่ดินออก น.ส.๓ ก.ที่ดินทั้งสองแปลงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะถือเป็นการทำละเมิดต่อนายธนาธร ผู้ซื้อที่ดิน ที่เชื่อโดยสุจริตว่า ที่ดินดังกล่าวมีการออก น.ส.๓ ก. โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง ๔ อ้างว่า ตรวจสอบในสารบบที่ดิน น.ส.๓ ก. ผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทไร่อ้อยมิตรผลซึ่งเป็นผู้ขาย กับนายสาโรจน์ วสุวานิช ผู้ซื้อ ต่างได้รับทราบว่า  "ที่ดินแปลงดังกล่าว เป็นที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อาจมีการเพิกถอน น.ส.๓ ก.ที่ดินบริเวณนี้ได้" โดยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้รับทราบและลงชื่อในบันทึกถ้อยคำฉบับวันที่ ๑๒ ก.ย.๒๘ ไว้ และนายธนาธร ก็ไม่ได้โต้แย้งข้อมูลนี้ จึงฟังได้ว่านายสาโรจน์ ขณะซื้อที่ดิน น.ส.๓ ก.แปลงพิพาทจากบริษัทไร่อ้อยมิตรผลรู้อยู่แล้วว่า ที่ดินอยู่เขตป่าสงวนแห่งชาติ อาจถูกเพิกถอน น.ส.๓ ก. และตามหลักการซื้อที่ดินแปลงใกล้เคียงที่มีการออก น.ส.๓ ก.
วิญญูชนย่อมรู้ว่า มีโอกาสที่ที่ดินจะถูกเพิกถอน

เมื่อนายสาโรจน์รู้ข้อมูลดังกล่าว แต่ยังซื้อที่ดิน เท่ากับนายสาโรจน์สมัครใจและยอมรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นเอง ความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงไม่ถือว่าเป็นผลมาจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่

ต่อมา นายสาโรจน์ได้ขายที่ดินให้นายธนาธร แม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายธนาธรรับรู้ว่าที่ดิน น.ส.๓ ก.ดังกล่าวอาจถูกเพิกถอนได้ แต่นายสาโรจน์ทำงานมีตำแหน่งบริหารในกลุ่มบริษัทไทยซัมมิทของครอบครัวนายธนาธร ซึ่งโดยปกติวิสัยของพนักงานบริษัท ต้องไม่หลอกลวง ปกปิดข้อเท็จจริง ที่เป็นสาระสำคัญ ที่จะทำให้เกิดความเสียหายจากการซื้อที่ดินดังกล่าวได้ ข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้ไม่น่าเชื่อว่า นายธนาธรจะซื้อที่ดินนี้มาโดยสุจริต

ดังนั้น การที่รองอธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.๓ ก.แปลงที่พิพาท จึงไม่ถือเป็นการละเมิดต่อนายธนาธรและหน่วยงานรัฐต้องชดใช้ค่าเสียหายให้
ทั้งนี้ หลังนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกแล้ว องค์คณะจะได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาคดี โดยองค์คณะได้นัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ ในวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๐๐ น.

เอาละมังครับ.... วันนี้ เรียนกฎหมายใกล้หัวจะทิ่มบ่อกันอยู่แล้ว พวกที่มาวอแวกับผมระวังนะ ผมไม่ฟ้องหรอก แต่จะไปร้องเรียนท่าน "รัฐมนตรีชาดา" เดี๋ยวจะว่าไม่บอก!    

https://www.thaipost.net/columnist-people/449512/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่