[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ฝากช่องเพลงเเด้นมันส์ด้วยครับ
“ไปได้อะไรมาละนั่น”
แกถาม หน้าผากย่นขึ้นไปด้วย ลูกศิษย์หนุ่มยิ้มพราย “ควายธนูขอรับ” แล้วก็แบบมือให้ดูของในอุ้งมือ คนแก่ต้องหาแว่นมาใส่เพื่อดูให้ชัด พอรับของมาจับพลิกไปมา สับหน้าหงึกๆ ครางอือในลำคอ “ของดีเลยนะนี่ รู้สึกอาถรรพ์ของมันจะแรงไม่น้อย แล้วเอ็งไปได้มาตอนไหน ก่อนหน้าไม่เคยเอาออกมา”
“คุณพ่อพึ่งส่งมาทางไปรษณีย์ เพลานี้เองขอรับ บอกว่าเรียนใกล้สำเร็จเป็นสัปเหร่อแล้ว จะต้องมีของดีคุ้มครองกาย เลยจัดการส่งมาให้” เขายิ้มเห็นฟันทุกซี่ โปรเฟรสเซอร์บุญคำพยักหน้ารับหงึกๆ เหมือนเจ้านกแสกไม่มีผิด “มิน่า ของดีขนาดนี้ ท่าน ส.ส. ส่งมานี่เอง”
“ตาแก่ ควายธนูของดีใช่ม๊า” จู่ๆ รักยมก็โพล่งขึ้นมา มือเท้าสะเอวทำท่าขึงขัง สัปเหร่อบุญคำจะง้างเท้าถีบเข้าให้ ข้อหาไม่รู้จักเด็ก รู้จักผู้ใหญ่ แต่หลบไวมาก เข้ามาหลบหลังเวทย์
“ฮึ๋ย! ไอ้เด็กผี”
“จุ๊ จุ๊” เวทย์ทำนิ้วจุ๊ปาก ไม่ให้รักยมขัด
“ควายธนู รุ่นล่าสุด 2019 VIP class มันก็เหมือนรถซูเปอร์คาร์ในโลกมนุษย์เซียวนาเอ็ง ตอนไปเรียนเอ็งให้มันแปลงเป็นรถยนต์ขับไปก็ได้ ไม่ต้องลำบากโหนรถเมล์อีกแล้ว เจ้านี่ยามเร่งความเร็วสูงสุด ทำความเร็วแสง+3 จานผี UFO ของเจ้า เปโตรทำความเร็วได้หนึ่งเท่าความเร็วแสง ชิดซ้ายไปเลย ท่าน ส.ส. เสียเบี้ยเสียอัฐให้ลูกชายเท่านี้มันเล็กน้อย ไม่ทำให้อัฐในหีบของท่านพร่องลงหรอก”
“โปรเฟรสเซอร์ลองมันหน่อยไหมขอรับ ได้ยินว่าเป็นนักเทสต์ไดร์ฟที่ชำนาญ เผื่อควายธนูตัวนี้มีข้อบกพร่อง จะได้ส่งกลับไปแก้ไขที่บริษัท”
“ถ้างั้น ก็ส่งมันมาเลย ข้าชักร้อนวิชาแล้วว่ะ” สัปเหร่อเฒ่าพลอยเห็นดี อ้าปากยิ้มเห็นฟันหลอ พอจะบริกรรมคาถาควบคุมควายธนูดินเจ็ดป่าช้า ทันใดของมันดวงตาแดงก่ำราวกับถ่านไฟ ทำเอาสัปเหร่อผู้ช่ำชองคาถาอาคมยังต้องผงะ มือลูบสีข้างครางซี้ด ยอมคืนให้เจ้าของแต่โดยดี แล้วกระเถิบห่างออกไปนั่งปลายแคร่
“พอแล้ว พอๆ แค่นี้ก็โดนมันขวิดสีข้าง ฤทธิ์มันร้าย ดีที่มันเชื่องกับเอ็ง”
“ถ้างั้น ผมจะบีบนวดให้โปรเฟรสเซอร์นะขอรับ นอนลงสิขอรับ” ดูท่าทางโปรเฟรสเซอร์จะเจ็บพอดู ควายธนูจะเชื่องก็แต่เฉพาะคนเป็นเจ้าของเท่านั้น ได้แต่สั่นหัวไม่น่าเลย
“เออดิว่ะ เอ็งมันศิษย์กตัญญูดีแท้” ลุงบุญคำลงไปนอนคว่ำหน้าราบกับแคร่ นึกในใจเวทย์เป็นคนอ่อนน้อมต่อครูบาอาจารย์ ข้อดีตรงนี้เหมือนคนเป็นพ่อไม่มีผิด วันหน้าจะเจริญ พอได้มือคนหนุ่มบีบนวด แกครางอี้ๆ นิ่วหน้าอย่างชอบใจใหญ่
“ดูท่าควายธนูไม่เชื่อง กระผมคงต้องส่งมันกลับ ไปให้บริษัทตรวจดูนะขอรับ”
“ไม่ต้องส่งกลับไปบริษัทดอก ของแบบนี้เขาเทสต์จนแน่ใจมันใช้งานได้ถึงส่งมอบให้ลูกค้า เรื่องจะใช้งานได้ดีแค่ไหน อยู่ที่คนใช้ ขอแค่ร่ายคาถากำกับอย่าให้ผิดอักขระตามคู่มือที่บริษัทเขาส่งมาให้ รับรองไม่มีปัญหา เมื่อกี้ข้าใช้มนต์อีกบทที่ใช้กับควายธนูของข้า เลยโดนดีเข้า ควายธนูของข้ามันรุ่นเก่าตกรุ่นไปนานแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น เอาของกระผมไปใช้นะขอรับ”
“ไม่ต้อง ไอ้แก่ของข้า มันไม่เคยเกเรนะ”
สายตาของแกมองไปยังโรงรถที่มีรถกระบะดัสสัน 720 สีขาวจอดอยู่ สภาพของมันเก่าคร่ำครา สีขาวกลายเป็นสีเปลือกไข่ กลางวันใช้ขับไปรับศพที่โรงพยาบาล กลางคืนหากพวกภูตผีปีศาจมากล้ำกรายหมายปองร้าย มันจะกลายร่างเป็นควายธนู ออกต่อสู้อย่างสุดฤทธิ์เพื่อปกป้องเจ้าของ
เวทย์บีบได้น้ำหนักมือ ทำเอาโปรเฟรสเซอร์ครางอี้ๆ แยกเขี้ยว
“แรงไปไหมขอรับ”
“กำลังดีเลย” แกเป่าปากฟู่ เพราะคลำโดนเส้น “คืนนี้เดือนมืด เอ็งเอาไปลองได้เลย รับรองไม่มีมนุษย์คนไหนมาเห็น รับรองพริบตาเดียวถึงดาวเสาร์ หรือจะไปให้ถึงแกแลคซี่อันโดรเมด้าบ้านเกิดของเจ้าเปโตรก็ยังได้ แต่อย่าไปทำเหมือนเจ้าเปโตรเซียวนา รายนั้นมันเที่ยวขับไอ้จานผีท่องไปทั่วโลก ไม่ดูตาม้าตาเรือจนโดนคนถ่ายภาพได้”
คราวนี้บีบเข้าเส้นบั้นเอวตรงจุด เล่นเอาคนแก่ครางอี้ๆๆ
“ตรงนั่นแหละ ย้ำแรงๆ อีกที”
“สีหน้าเหมือนจะเจ็บนะขอรับ”
“เอ็งไม่ต้องกลัวข้าเจ็บ กดแรงๆ เลย”
กว่าจะนวดเสร็จ รักยมไปนั่งหลับไปแล้ว หัวหลุดหล่นกลิ้งไปบนพื้น เวทย์พาโปรเฟรสเซอร์ไปส่งห้องนอน ภายในไม้กระดานฝาห้องล้วนเอาไม้ผาโลงมาตอกตะปูต่อๆ กันพอได้กันแดดกันฝน ด้วยฤทธิ์เหล้า 45 ดีกรีที่ดื่มเข้าไป พอได้เอนหลังบนฟูกโปรเฟรสเซอร์บุญคำก็กรนทันที
เวทย์จัดการเหน็บมุ้งให้เรียบร้อยกันยุ่งเข้า มุ้งเก่ามากมีรอยขาดต้องเย็บบ่อย เห็นทีต้องหาซื้อมาให้ใหม่แล้ว ท่านเป็นคนประหยัดใช้สอย เงินที่หามาได้จากอาชีพสัปเหร่อ เอาไปบริจาคช่วยวัดไม่น้อย สร้างผลบุญเป็นอันมาก อีกไม่นานท่านจะหมดอายุขัย ไปบังเกิดในเมืองหิมพานต์นคร เป็นผู้ยิ่งใหญ่ไม่น้อยกว่าพ่อของเขา
พอเสร็จกิจแล้ว เขาเดินออกมาเงยหน้าดูท้องฟ้า พระจันทร์ซ่อนอยู่หลังหมู่เมฆ หากแต่ดวงตาของชายหนุ่มยังคงใสแจ่ม ริมฝีปากขมุบขมิบ พร่ำถึงใครคนหนึ่ง ป่านนี้คงเข้านอนไปแล้ว พอหันมาในความมืด
ที่หน้าโกดังเก็บศพ ได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังเดาะลูกบอลเล่นดังตุบๆ ๆ พอขยี้ตาเพ่งดูก็เห็นเค้าร่างเหมือนเด็กเล็ก หากแต่ร่างนั้นกลับปราศจากศีรษะ ที่เดาะอยู่ นั่นก็คือศีรษะที่ขาดจากคอ เวทย์มือกุมท้ายทอยถอนหายใจ บางทีเหม่อๆ เห็นเข้าเล่นเอาตกใจเป็นเหมือนกัน
“นี่ต่อไปอย่าเล่นแผลงๆ แบบนี้อีกนะ คนในวัดมาเห็นเข้าจะกลัวเอา”
“ก็ยมเบื่อ” เสียงใสเย็นของรักยมตอบมา
“ถ้างั้น เราไปเทสต์ควายธนูกัน”
“เย้ๆๆ ได้ขี่มันแล้ว”
ที่เมื่อครู่พูดถึงเปโตร เขาคิดว่าชวนไปเทสต์เจ้าควายธนูนี่ด้วยกันดีกว่า ดึกดื่นเยี่ยงนี้ พวกพระเณรเด็กวัดคงไม่กล้าออกมาเดินเพ่นพ่าน ด้วยเคยโดนฤทธิ์เดชของรักยมเล่นงานจนครั่นคร้ามมาแล้ว
ฟ้าว ฟิ้ว วิ้ววววววววววว
สถานที่หลังวัดเปลี่ยวร้างมาก ต้นไม้สูงใหญ่แข่งกันขึ้นร่มครึ้ม ยิ่งมามีลมพัดแรงจนต้นไม้โยกครืน ทำให้เส้นขนบนร่างกายตั้งชัน เวทย์ยังคงเดินหน้าต่อไป เดิมทีเคยเป็นป่าช้าเก่า พอเปลี่ยนมาใช้เมรุเผาสมัยใหม่ มันยิ่งถูกปล่อยทิ้งร้าง ทำให้เป็นป่ารกชัฏ เขายืนหายใจดังเฮื้อก ด้วยอากาศในนี้มันอับ ตะครั่นตะครอจะเป็นไข้เอาได้ง่ายๆ
ในความเงียบวังเวงชนิดใบไม้หล่นใบเดียวยังได้ยิน ในวงแสงไฟฉายที่ถือสาดแสงไปมา เห็นเพียงซากปรักหักพังของศาลเจ้าที่ ตุ๊กตาคอหัก ของบูชาที่พังแล้ว ที่ถูกชาวบ้านนำมาทิ้งกองกันไว้ ยามลมโชยวูบมาที ได้กลิ่นสาบสาง กลิ่นธูปเทียน จานเครื่องเซ่นที่แห้งกรังติดจานสังกะสี
“คุณเปโตรขอรับ! อยู่ไหมขอรับ ออกมาพบกันหน่อย”
ลมแรงพัดมาอีกฮือใหญ่ แทบจะกลบเสียงเรียกของเขา กิ่งใบของโพธิ์ใหญ่ดังครืนซู่ซ่า ใบหล่นลงมาเกลื่อน เส้นผมของเวทย์ปลิวต้องใช้แขนป้องหน้า ทั้งฝุ่นและใบไม้แห้งปลิวตลบ หูคลับคล้ายจะได้ยินเสียงหวีดหวิวลอยมาตามลม
แรกเบาก่อน จากนั้นมันจึงดังขึ้นๆ คล้ายเสียงคนกรีดร้อง เสียงอันน่าขนลุก เวทย์ยิ้มพยักหน้ากับรักยม คืนนี้เปโตรอยู่ในวัดแน่นอน นึกว่าติดธุระไปทางอื่นเสียอีก รีบสาวเท้าไปทางต้นเสียงทันที ที่พักของเพื่อนสนิทของเวทย์อยู่ที่ดงต้นตาล
พื้นด้านล่างอุดมไปด้วยของบูชาที่หักพัง เช่นศาลเจ้าที่คนนำมาทิ้งไว้ พวงมาลัย ของเซ่นไหว้ที่ทุกต้นเดือนและครึ่งเดือนพวกคอหวยจะนำมาสักการะ ต้นไม้เก่าแก่แต่ละต้นมีแป้งลูบขอเลขเด็ดติดเต็ม พอตกกลางค่ำกลางคืนจะมีพวกคนแอบมาเสพยา รวมทั้งซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน สร้างความหนักใจให้พระในวัด พอเปโตรมาพำนักเท่านั้น ทำเอาคนพวกนี้เผ่นกันกระเจิง ไม่กล้าเหยียบย่างเข้ามาภายในวัดอีกเลย
เปโตรนั่งหลังพิงตาลต้นหนึ่ง รูปร่างผอมแห้ง บนหัวแทบไม่มีเส้นผม ทั้งเนื้อตัวมีเพียงผ้าปิดของสงวนเพียงผืนเดียว รักยมโดดไปมารอบตัวด้วยพบเจอตัวแล้ว
“เย้ๆๆ เจอตัวเจ้าเปรตโตแล้ว”
“อย่าพูดแบบนั้น เปโตรเป็นคนมาจากโลกอนาคตนะ” เวทย์ดุ รักยมพลอยเงียบหน้าจ๋อยไปเลย
ร่างของอสุรกายนั่งกอดเข่าก้มหน้า ผอมจนเห็นชายโครงพะงาบๆ เวทย์รู้สึกว่าคืนนี้เพื่อนเปโตรของเขาจะหงอยเหงาเซื่องซึมลงอย่างเห็นได้ชัด เปโตรเป็นนักศึกษาปริญญาโท เดินทางมาจากโลกอนาคต จากกลุ่มดาวอันโดรเมด้ารูปม้าบิน เพื่อมาศึกษาความเป็นอยู่ของมนุษย์ในอดีต
ด้วยร่างกายเป็นมนุษย์ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมจนมีขนาดใหญ่โต เพื่อที่จะใช้ชีวิตอยู่ในดาวที่มีแรงดึงดูดมากกว่าโลกมนุษย์ บริโภคแต่อาหารเหลวจึงมีปากที่เล็กมาก เลือกมาพำนักในวัดเดียวกับเวทย์จึงได้เป็นเพื่อนคุยกันทุกคืน ทั้งสองมักเสวนากันในหัวข้อ ทำไมมนุษย์ในยุคนี้ถึงได้ใช้ทรัพยากรในโลกอย่างสิ้นเปลืองจนเกิดมลพิษ ทำให้ในอนาคตต้องดิ้นรนไปอาศัยในดาวดวงอื่น
“เป็นอะไรไปอีกขอรับ หรือว่าคิดถึงบ้านอีกแล้ว” เวทย์ถาม
อสูรกายตาแดงเหมือนถ่านไฟ ใช้มือเท่าใบตาลยันกายลุกขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น จนเท่าต้นตาล เงยหน้าส่งเสียงกรีดร้องแหลมจากปากเท่ารูเข็ม ดังหวีดๆๆ แสยงไปทุกรูขุมขน ชนิดที่เวทย์ต้องเอามืออุดหูเอาไว้
“พอแล้วขอรับ! ลงมาพูดคุยกันก่อน” เขาไม่ชอบแหงนคอพูดอย่างนี้เลย รักยมดอดมาขวางหน้าเจ้านายไว้ มือเท้าสะเอวชี้หน้า แล้วเตะที่ต้นขาอันสูงยาวหลายป๊าบ ไม่ต่างอะไรจากมดไปสะกิดสะเกา
“ลงมาพูดกับเจ้านายของข้าดีๆ เลยนะเจ้าเปตรโต” รักยมชี้หน้าส่งเสียงขึ้นไป อสุรกายใช้เครื่องมือชนิดหนึ่งในมือเท่าใบลาน มีแสงไฟกะพริบปริบๆ ถูกนำมาแปะที่ลำคอเพื่อแปลภาษา ปากเท่ารูเข็มไม่สามารถใช้พูดได้ ต้องใช้เครื่องมืออิเลกโทรนิค แปลข้อความส่งตรงจากคลื่นสมองผ่านออกทางลำโพงอีกที
“เงียบเลยนะ เจ้าเด็กผี”
“เป็นอะไรไปขอรับ เมื่อกี้เหมือนจะร้องไห้” เวทย์ถามด้วยความเป็นห่วง ร่างสูงค่อยหดเล็กลงมายืนในระดับเดียวกั รักยมยังฉุนเฉียวเข้ามาเตะต่อย จนเขาต้องเปิดจุกขวดเรียกกลับเข้ามาเก็บไว้ก่อน นักศึกษาปริญญาโทจากกลุ่มดาวอันโดรเมด้ารูปม้าบิน แหงนคอมองไปบนท้องฟ้ามีน้ำตาซึม มองไปยังกลุ่มดาวบ้านเกิดของตนเอง
“ฉันเหงา และคิดถึงบ้านด้วย”
“อะ อ้าว ก็มีกระผมเป็นเพื่อนไงขอรับ”
“ไม่ใช่ เวทย์เป็นชาวหิมพานต์นคร ฉันอยากได้เพื่อนเป็นมนุษย์โลกจริงๆ” ร่างของเปโตรลงมานั่งกอดเข่าอีกครั้ง ขอบตามีน้ำตาซึม “เมื่อตอนหัวค่ำฉันเห็นพวกเณรเล่นซ่อนแอบกัน มีเณรน้อยรูปหนึ่งหลงเข้ามา ที่นี่มันรกแล้วยังมีงูพิษด้วยเป็นอันตราย ฉันเลยทักออกไป และจะพาออกไปส่งด้วย เท่านั้นแหละเณรน้อยวิ่งอ้าวไม่คิดชีวิตเลย แล้วฉันผิดอะไร ทำไมต้องหนีด้วย”
เวทย์กะพริบตาปริบๆ ว่าจะขำก็เกรงใจเพื่อนอยู่ไม่น้อย “อย่าคิดมากสิขอรับ เพลานี้มนุษย์โลก ยังไม่เข้าใจตัวตนของ เปโตร ต้องค่อยๆ ปรับเข้าหากันไปนะขอรับ”
ว่าแล้วเวทย์ก็ฉีกยิ้ม แบมืออวดควายธนูทองแดงให้ดู เชิญชวนให้ไปทดลองขับขี่เจ้านี่กัน ดวงตาโตปากจู๋เท่ารูเข็มขยับเอียงหน้าไปมา พอปลายนิ้วชี้ไปใกล้ ดูมันจะสะบัดเขาใส่ดังเพี้ยะ! ถึงกับครางซูดเหมือนกับโปรเฟรสเซอร์บุญคำ
ฤทธิ์มันร้ายจริง ด้วยถึงกับกางมือบอกไม่เอาด้วย เขาหลับตานิ่งเริ่มร่ายมนตร์คาถา ให้กลายเป็นรถแลมโบกีนี่สีดำแวววาว ยามเปิดประตู มองดูเบาะหนังเป็นมันระยับ
เปโตรเป่าปากปี๊ดๆ มันหรูระยับเลย สมกับเป็นของเล่นลูกคนรวย ดีที่เวทย์ไม่ถือตัว ตนเลยมีวาสนาได้นั่งมัน เสียงเครื่องยนต์ทำเอารักยมทนไม่ไหวดันจุกขวดออกมา เข้าประจำเบาะหลังร้องเย้ๆ จะได้ลองมันแล้ว
เสียงอ่าน...เวทย์ จอมไตร 2
“ไปได้อะไรมาละนั่น”
แกถาม หน้าผากย่นขึ้นไปด้วย ลูกศิษย์หนุ่มยิ้มพราย “ควายธนูขอรับ” แล้วก็แบบมือให้ดูของในอุ้งมือ คนแก่ต้องหาแว่นมาใส่เพื่อดูให้ชัด พอรับของมาจับพลิกไปมา สับหน้าหงึกๆ ครางอือในลำคอ “ของดีเลยนะนี่ รู้สึกอาถรรพ์ของมันจะแรงไม่น้อย แล้วเอ็งไปได้มาตอนไหน ก่อนหน้าไม่เคยเอาออกมา”
“คุณพ่อพึ่งส่งมาทางไปรษณีย์ เพลานี้เองขอรับ บอกว่าเรียนใกล้สำเร็จเป็นสัปเหร่อแล้ว จะต้องมีของดีคุ้มครองกาย เลยจัดการส่งมาให้” เขายิ้มเห็นฟันทุกซี่ โปรเฟรสเซอร์บุญคำพยักหน้ารับหงึกๆ เหมือนเจ้านกแสกไม่มีผิด “มิน่า ของดีขนาดนี้ ท่าน ส.ส. ส่งมานี่เอง”
“ตาแก่ ควายธนูของดีใช่ม๊า” จู่ๆ รักยมก็โพล่งขึ้นมา มือเท้าสะเอวทำท่าขึงขัง สัปเหร่อบุญคำจะง้างเท้าถีบเข้าให้ ข้อหาไม่รู้จักเด็ก รู้จักผู้ใหญ่ แต่หลบไวมาก เข้ามาหลบหลังเวทย์
“ฮึ๋ย! ไอ้เด็กผี”
“จุ๊ จุ๊” เวทย์ทำนิ้วจุ๊ปาก ไม่ให้รักยมขัด
“ควายธนู รุ่นล่าสุด 2019 VIP class มันก็เหมือนรถซูเปอร์คาร์ในโลกมนุษย์เซียวนาเอ็ง ตอนไปเรียนเอ็งให้มันแปลงเป็นรถยนต์ขับไปก็ได้ ไม่ต้องลำบากโหนรถเมล์อีกแล้ว เจ้านี่ยามเร่งความเร็วสูงสุด ทำความเร็วแสง+3 จานผี UFO ของเจ้า เปโตรทำความเร็วได้หนึ่งเท่าความเร็วแสง ชิดซ้ายไปเลย ท่าน ส.ส. เสียเบี้ยเสียอัฐให้ลูกชายเท่านี้มันเล็กน้อย ไม่ทำให้อัฐในหีบของท่านพร่องลงหรอก”
“โปรเฟรสเซอร์ลองมันหน่อยไหมขอรับ ได้ยินว่าเป็นนักเทสต์ไดร์ฟที่ชำนาญ เผื่อควายธนูตัวนี้มีข้อบกพร่อง จะได้ส่งกลับไปแก้ไขที่บริษัท”
“ถ้างั้น ก็ส่งมันมาเลย ข้าชักร้อนวิชาแล้วว่ะ” สัปเหร่อเฒ่าพลอยเห็นดี อ้าปากยิ้มเห็นฟันหลอ พอจะบริกรรมคาถาควบคุมควายธนูดินเจ็ดป่าช้า ทันใดของมันดวงตาแดงก่ำราวกับถ่านไฟ ทำเอาสัปเหร่อผู้ช่ำชองคาถาอาคมยังต้องผงะ มือลูบสีข้างครางซี้ด ยอมคืนให้เจ้าของแต่โดยดี แล้วกระเถิบห่างออกไปนั่งปลายแคร่
“พอแล้ว พอๆ แค่นี้ก็โดนมันขวิดสีข้าง ฤทธิ์มันร้าย ดีที่มันเชื่องกับเอ็ง”
“ถ้างั้น ผมจะบีบนวดให้โปรเฟรสเซอร์นะขอรับ นอนลงสิขอรับ” ดูท่าทางโปรเฟรสเซอร์จะเจ็บพอดู ควายธนูจะเชื่องก็แต่เฉพาะคนเป็นเจ้าของเท่านั้น ได้แต่สั่นหัวไม่น่าเลย
“เออดิว่ะ เอ็งมันศิษย์กตัญญูดีแท้” ลุงบุญคำลงไปนอนคว่ำหน้าราบกับแคร่ นึกในใจเวทย์เป็นคนอ่อนน้อมต่อครูบาอาจารย์ ข้อดีตรงนี้เหมือนคนเป็นพ่อไม่มีผิด วันหน้าจะเจริญ พอได้มือคนหนุ่มบีบนวด แกครางอี้ๆ นิ่วหน้าอย่างชอบใจใหญ่
“ดูท่าควายธนูไม่เชื่อง กระผมคงต้องส่งมันกลับ ไปให้บริษัทตรวจดูนะขอรับ”
“ไม่ต้องส่งกลับไปบริษัทดอก ของแบบนี้เขาเทสต์จนแน่ใจมันใช้งานได้ถึงส่งมอบให้ลูกค้า เรื่องจะใช้งานได้ดีแค่ไหน อยู่ที่คนใช้ ขอแค่ร่ายคาถากำกับอย่าให้ผิดอักขระตามคู่มือที่บริษัทเขาส่งมาให้ รับรองไม่มีปัญหา เมื่อกี้ข้าใช้มนต์อีกบทที่ใช้กับควายธนูของข้า เลยโดนดีเข้า ควายธนูของข้ามันรุ่นเก่าตกรุ่นไปนานแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น เอาของกระผมไปใช้นะขอรับ”
“ไม่ต้อง ไอ้แก่ของข้า มันไม่เคยเกเรนะ”
สายตาของแกมองไปยังโรงรถที่มีรถกระบะดัสสัน 720 สีขาวจอดอยู่ สภาพของมันเก่าคร่ำครา สีขาวกลายเป็นสีเปลือกไข่ กลางวันใช้ขับไปรับศพที่โรงพยาบาล กลางคืนหากพวกภูตผีปีศาจมากล้ำกรายหมายปองร้าย มันจะกลายร่างเป็นควายธนู ออกต่อสู้อย่างสุดฤทธิ์เพื่อปกป้องเจ้าของ
เวทย์บีบได้น้ำหนักมือ ทำเอาโปรเฟรสเซอร์ครางอี้ๆ แยกเขี้ยว
“แรงไปไหมขอรับ”
“กำลังดีเลย” แกเป่าปากฟู่ เพราะคลำโดนเส้น “คืนนี้เดือนมืด เอ็งเอาไปลองได้เลย รับรองไม่มีมนุษย์คนไหนมาเห็น รับรองพริบตาเดียวถึงดาวเสาร์ หรือจะไปให้ถึงแกแลคซี่อันโดรเมด้าบ้านเกิดของเจ้าเปโตรก็ยังได้ แต่อย่าไปทำเหมือนเจ้าเปโตรเซียวนา รายนั้นมันเที่ยวขับไอ้จานผีท่องไปทั่วโลก ไม่ดูตาม้าตาเรือจนโดนคนถ่ายภาพได้”
คราวนี้บีบเข้าเส้นบั้นเอวตรงจุด เล่นเอาคนแก่ครางอี้ๆๆ
“ตรงนั่นแหละ ย้ำแรงๆ อีกที”
“สีหน้าเหมือนจะเจ็บนะขอรับ”
“เอ็งไม่ต้องกลัวข้าเจ็บ กดแรงๆ เลย”
กว่าจะนวดเสร็จ รักยมไปนั่งหลับไปแล้ว หัวหลุดหล่นกลิ้งไปบนพื้น เวทย์พาโปรเฟรสเซอร์ไปส่งห้องนอน ภายในไม้กระดานฝาห้องล้วนเอาไม้ผาโลงมาตอกตะปูต่อๆ กันพอได้กันแดดกันฝน ด้วยฤทธิ์เหล้า 45 ดีกรีที่ดื่มเข้าไป พอได้เอนหลังบนฟูกโปรเฟรสเซอร์บุญคำก็กรนทันที
เวทย์จัดการเหน็บมุ้งให้เรียบร้อยกันยุ่งเข้า มุ้งเก่ามากมีรอยขาดต้องเย็บบ่อย เห็นทีต้องหาซื้อมาให้ใหม่แล้ว ท่านเป็นคนประหยัดใช้สอย เงินที่หามาได้จากอาชีพสัปเหร่อ เอาไปบริจาคช่วยวัดไม่น้อย สร้างผลบุญเป็นอันมาก อีกไม่นานท่านจะหมดอายุขัย ไปบังเกิดในเมืองหิมพานต์นคร เป็นผู้ยิ่งใหญ่ไม่น้อยกว่าพ่อของเขา
พอเสร็จกิจแล้ว เขาเดินออกมาเงยหน้าดูท้องฟ้า พระจันทร์ซ่อนอยู่หลังหมู่เมฆ หากแต่ดวงตาของชายหนุ่มยังคงใสแจ่ม ริมฝีปากขมุบขมิบ พร่ำถึงใครคนหนึ่ง ป่านนี้คงเข้านอนไปแล้ว พอหันมาในความมืด
ที่หน้าโกดังเก็บศพ ได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังเดาะลูกบอลเล่นดังตุบๆ ๆ พอขยี้ตาเพ่งดูก็เห็นเค้าร่างเหมือนเด็กเล็ก หากแต่ร่างนั้นกลับปราศจากศีรษะ ที่เดาะอยู่ นั่นก็คือศีรษะที่ขาดจากคอ เวทย์มือกุมท้ายทอยถอนหายใจ บางทีเหม่อๆ เห็นเข้าเล่นเอาตกใจเป็นเหมือนกัน
“นี่ต่อไปอย่าเล่นแผลงๆ แบบนี้อีกนะ คนในวัดมาเห็นเข้าจะกลัวเอา”
“ก็ยมเบื่อ” เสียงใสเย็นของรักยมตอบมา
“ถ้างั้น เราไปเทสต์ควายธนูกัน”
“เย้ๆๆ ได้ขี่มันแล้ว”
ที่เมื่อครู่พูดถึงเปโตร เขาคิดว่าชวนไปเทสต์เจ้าควายธนูนี่ด้วยกันดีกว่า ดึกดื่นเยี่ยงนี้ พวกพระเณรเด็กวัดคงไม่กล้าออกมาเดินเพ่นพ่าน ด้วยเคยโดนฤทธิ์เดชของรักยมเล่นงานจนครั่นคร้ามมาแล้ว
ฟ้าว ฟิ้ว วิ้ววววววววววว
สถานที่หลังวัดเปลี่ยวร้างมาก ต้นไม้สูงใหญ่แข่งกันขึ้นร่มครึ้ม ยิ่งมามีลมพัดแรงจนต้นไม้โยกครืน ทำให้เส้นขนบนร่างกายตั้งชัน เวทย์ยังคงเดินหน้าต่อไป เดิมทีเคยเป็นป่าช้าเก่า พอเปลี่ยนมาใช้เมรุเผาสมัยใหม่ มันยิ่งถูกปล่อยทิ้งร้าง ทำให้เป็นป่ารกชัฏ เขายืนหายใจดังเฮื้อก ด้วยอากาศในนี้มันอับ ตะครั่นตะครอจะเป็นไข้เอาได้ง่ายๆ
ในความเงียบวังเวงชนิดใบไม้หล่นใบเดียวยังได้ยิน ในวงแสงไฟฉายที่ถือสาดแสงไปมา เห็นเพียงซากปรักหักพังของศาลเจ้าที่ ตุ๊กตาคอหัก ของบูชาที่พังแล้ว ที่ถูกชาวบ้านนำมาทิ้งกองกันไว้ ยามลมโชยวูบมาที ได้กลิ่นสาบสาง กลิ่นธูปเทียน จานเครื่องเซ่นที่แห้งกรังติดจานสังกะสี
“คุณเปโตรขอรับ! อยู่ไหมขอรับ ออกมาพบกันหน่อย”
ลมแรงพัดมาอีกฮือใหญ่ แทบจะกลบเสียงเรียกของเขา กิ่งใบของโพธิ์ใหญ่ดังครืนซู่ซ่า ใบหล่นลงมาเกลื่อน เส้นผมของเวทย์ปลิวต้องใช้แขนป้องหน้า ทั้งฝุ่นและใบไม้แห้งปลิวตลบ หูคลับคล้ายจะได้ยินเสียงหวีดหวิวลอยมาตามลม
แรกเบาก่อน จากนั้นมันจึงดังขึ้นๆ คล้ายเสียงคนกรีดร้อง เสียงอันน่าขนลุก เวทย์ยิ้มพยักหน้ากับรักยม คืนนี้เปโตรอยู่ในวัดแน่นอน นึกว่าติดธุระไปทางอื่นเสียอีก รีบสาวเท้าไปทางต้นเสียงทันที ที่พักของเพื่อนสนิทของเวทย์อยู่ที่ดงต้นตาล
พื้นด้านล่างอุดมไปด้วยของบูชาที่หักพัง เช่นศาลเจ้าที่คนนำมาทิ้งไว้ พวงมาลัย ของเซ่นไหว้ที่ทุกต้นเดือนและครึ่งเดือนพวกคอหวยจะนำมาสักการะ ต้นไม้เก่าแก่แต่ละต้นมีแป้งลูบขอเลขเด็ดติดเต็ม พอตกกลางค่ำกลางคืนจะมีพวกคนแอบมาเสพยา รวมทั้งซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน สร้างความหนักใจให้พระในวัด พอเปโตรมาพำนักเท่านั้น ทำเอาคนพวกนี้เผ่นกันกระเจิง ไม่กล้าเหยียบย่างเข้ามาภายในวัดอีกเลย
เปโตรนั่งหลังพิงตาลต้นหนึ่ง รูปร่างผอมแห้ง บนหัวแทบไม่มีเส้นผม ทั้งเนื้อตัวมีเพียงผ้าปิดของสงวนเพียงผืนเดียว รักยมโดดไปมารอบตัวด้วยพบเจอตัวแล้ว
“เย้ๆๆ เจอตัวเจ้าเปรตโตแล้ว”
“อย่าพูดแบบนั้น เปโตรเป็นคนมาจากโลกอนาคตนะ” เวทย์ดุ รักยมพลอยเงียบหน้าจ๋อยไปเลย
ร่างของอสุรกายนั่งกอดเข่าก้มหน้า ผอมจนเห็นชายโครงพะงาบๆ เวทย์รู้สึกว่าคืนนี้เพื่อนเปโตรของเขาจะหงอยเหงาเซื่องซึมลงอย่างเห็นได้ชัด เปโตรเป็นนักศึกษาปริญญาโท เดินทางมาจากโลกอนาคต จากกลุ่มดาวอันโดรเมด้ารูปม้าบิน เพื่อมาศึกษาความเป็นอยู่ของมนุษย์ในอดีต
ด้วยร่างกายเป็นมนุษย์ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมจนมีขนาดใหญ่โต เพื่อที่จะใช้ชีวิตอยู่ในดาวที่มีแรงดึงดูดมากกว่าโลกมนุษย์ บริโภคแต่อาหารเหลวจึงมีปากที่เล็กมาก เลือกมาพำนักในวัดเดียวกับเวทย์จึงได้เป็นเพื่อนคุยกันทุกคืน ทั้งสองมักเสวนากันในหัวข้อ ทำไมมนุษย์ในยุคนี้ถึงได้ใช้ทรัพยากรในโลกอย่างสิ้นเปลืองจนเกิดมลพิษ ทำให้ในอนาคตต้องดิ้นรนไปอาศัยในดาวดวงอื่น
“เป็นอะไรไปอีกขอรับ หรือว่าคิดถึงบ้านอีกแล้ว” เวทย์ถาม
อสูรกายตาแดงเหมือนถ่านไฟ ใช้มือเท่าใบตาลยันกายลุกขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น จนเท่าต้นตาล เงยหน้าส่งเสียงกรีดร้องแหลมจากปากเท่ารูเข็ม ดังหวีดๆๆ แสยงไปทุกรูขุมขน ชนิดที่เวทย์ต้องเอามืออุดหูเอาไว้
“พอแล้วขอรับ! ลงมาพูดคุยกันก่อน” เขาไม่ชอบแหงนคอพูดอย่างนี้เลย รักยมดอดมาขวางหน้าเจ้านายไว้ มือเท้าสะเอวชี้หน้า แล้วเตะที่ต้นขาอันสูงยาวหลายป๊าบ ไม่ต่างอะไรจากมดไปสะกิดสะเกา
“ลงมาพูดกับเจ้านายของข้าดีๆ เลยนะเจ้าเปตรโต” รักยมชี้หน้าส่งเสียงขึ้นไป อสุรกายใช้เครื่องมือชนิดหนึ่งในมือเท่าใบลาน มีแสงไฟกะพริบปริบๆ ถูกนำมาแปะที่ลำคอเพื่อแปลภาษา ปากเท่ารูเข็มไม่สามารถใช้พูดได้ ต้องใช้เครื่องมืออิเลกโทรนิค แปลข้อความส่งตรงจากคลื่นสมองผ่านออกทางลำโพงอีกที
“เงียบเลยนะ เจ้าเด็กผี”
“เป็นอะไรไปขอรับ เมื่อกี้เหมือนจะร้องไห้” เวทย์ถามด้วยความเป็นห่วง ร่างสูงค่อยหดเล็กลงมายืนในระดับเดียวกั รักยมยังฉุนเฉียวเข้ามาเตะต่อย จนเขาต้องเปิดจุกขวดเรียกกลับเข้ามาเก็บไว้ก่อน นักศึกษาปริญญาโทจากกลุ่มดาวอันโดรเมด้ารูปม้าบิน แหงนคอมองไปบนท้องฟ้ามีน้ำตาซึม มองไปยังกลุ่มดาวบ้านเกิดของตนเอง
“ฉันเหงา และคิดถึงบ้านด้วย”
“อะ อ้าว ก็มีกระผมเป็นเพื่อนไงขอรับ”
“ไม่ใช่ เวทย์เป็นชาวหิมพานต์นคร ฉันอยากได้เพื่อนเป็นมนุษย์โลกจริงๆ” ร่างของเปโตรลงมานั่งกอดเข่าอีกครั้ง ขอบตามีน้ำตาซึม “เมื่อตอนหัวค่ำฉันเห็นพวกเณรเล่นซ่อนแอบกัน มีเณรน้อยรูปหนึ่งหลงเข้ามา ที่นี่มันรกแล้วยังมีงูพิษด้วยเป็นอันตราย ฉันเลยทักออกไป และจะพาออกไปส่งด้วย เท่านั้นแหละเณรน้อยวิ่งอ้าวไม่คิดชีวิตเลย แล้วฉันผิดอะไร ทำไมต้องหนีด้วย”
เวทย์กะพริบตาปริบๆ ว่าจะขำก็เกรงใจเพื่อนอยู่ไม่น้อย “อย่าคิดมากสิขอรับ เพลานี้มนุษย์โลก ยังไม่เข้าใจตัวตนของ เปโตร ต้องค่อยๆ ปรับเข้าหากันไปนะขอรับ”
ว่าแล้วเวทย์ก็ฉีกยิ้ม แบมืออวดควายธนูทองแดงให้ดู เชิญชวนให้ไปทดลองขับขี่เจ้านี่กัน ดวงตาโตปากจู๋เท่ารูเข็มขยับเอียงหน้าไปมา พอปลายนิ้วชี้ไปใกล้ ดูมันจะสะบัดเขาใส่ดังเพี้ยะ! ถึงกับครางซูดเหมือนกับโปรเฟรสเซอร์บุญคำ
ฤทธิ์มันร้ายจริง ด้วยถึงกับกางมือบอกไม่เอาด้วย เขาหลับตานิ่งเริ่มร่ายมนตร์คาถา ให้กลายเป็นรถแลมโบกีนี่สีดำแวววาว ยามเปิดประตู มองดูเบาะหนังเป็นมันระยับ
เปโตรเป่าปากปี๊ดๆ มันหรูระยับเลย สมกับเป็นของเล่นลูกคนรวย ดีที่เวทย์ไม่ถือตัว ตนเลยมีวาสนาได้นั่งมัน เสียงเครื่องยนต์ทำเอารักยมทนไม่ไหวดันจุกขวดออกมา เข้าประจำเบาะหลังร้องเย้ๆ จะได้ลองมันแล้ว