ศึกษาคำว่า "ปราโมทย์" ให้ดีๆ จะลึกซึ้งมาก

ศึกษาคำว่า "ปราโมทย์" ให้ดีๆ จะลึกซึ้งมาก

  ปราโมทย์จะทำให้เราดำรงความดีอยู่ได้ ดำรงสิ่งที่เป็นบุญกุศลอยู่ได้ ถ้าไม่เช่นนั้นจะถูกมารแทรกแล้วหายไป 

  ปราโมทย์ก็คือยินดีที่มีดีอยู่ตรงนี้ บางครั้งเรามีดีอยู่ตรงนี้ เราชักจะไม่ยินดีแล้ว พอเราชักไม่ยินดีก็จะไม่ทำแล้ว ถ้าเรายินดีกับสิ่งที่เรายินดี เราจะทำอยู่เรื่อยๆ โดยอัตโนมัติ นี่คือปราโมทย์ทำให้เรายินดีอยู่เรื่อย จึงเกิดภาวะยินดีต่อเนื่อง จะทำให้เราปฏิบัติต่อเนื่องได้

  ปราโมทย์จะเสริมให้ตัวตบะแข็งแรง เพราะตบะต้องอาศัยปราโมทย์ ถ้าหากว่ายังไม่พอใจกับสิ่งตรงนี้แล้วจะกระทำทำไม? จะดำรงทำไม? ภาษาชาวบ้านจะบอกว่า มีกำลังใจ มีพละ มีกำลังที่จะทำ เหมือนกับว่าเราจะหยิบอะไรก็ต้องมีแรง ใจเราอยากหยิบสิ่งของแต่ไม่มีแรงเราก็หยิบอะไรไม่ได้หรอก

  ปราโมทย์เปรียบเสมือนแผ่นดิน เป็นภูมิพละ คือ มีกำลัง

  สมาธิก็เป็นสายปราโมทย์ เป็นพละ เป็นกำลัง 

  เราจะมีปิติปราโมทย์เราจะต้องมีสมาธิ เรามีปราโมทย์เรามีสมาธิ นี่จะย้อนกลับหลังแล้ว 

  เราทำสมาธิเพื่อให้เกิดปราโมทย์ แต่ปราโมทย์ก็ทำให้ดำรงรักษาสมาธิ เกื้อหนุนกัน รักษาสมาธิทำให้สมาธิมีมากขึ้น พอสมาธิมีมากขึ้นก็จะมาเกื้อหนุนปิติปราโมทย์ คล้ายๆกับเป็นแม่แรงหมุนเป็นวงกลมขึ้นสูงไปเรื่อยๆ

  ถ้าเราไม่มีปราโมทย์เราก็ไม่อยากทำสมาธิ เพราะสมาธิมันหายไป เป็นสมาธิที่ไม่ต่อเนื่อง สมาธิไม่เจริญ ไม่เติบโตขึ้นมา 

  แต่ถ้าเรามีปราโมทย์สมาธิก็จะต่อเนื่อง สมาธิเจริญเติบโต ทำให้เกิดปิติปราโมทย์มากขึ้นอีก พอปิติปราโมทย์ก็มากขึ้น ก็ทำให้สมาธิมากขึ้น
  สิ่งหนึ่งลดถอย อีกอันหนึ่งก็ลดถอยแน่นอน 

  ฉะนั้น ปราโมทย์เป็นตัวดำรงรักษาทำให้เกิดไปเรื่อยๆ

  ถ้าอย่างนั้น พลังขององค์พ่อวิษณุนารายณ์ เป็นพลังแห่งการดำรงรักษาอยู่ ต้องมีปราโมทย์ ถ้าหากว่าท่านไม่มีปราโมทย์ท่านจะไปช่วยเหลือเทวดาทำไม? ก็เบื่อ? แต่เพราะท่านฯ มีปราโมทย์ก็ยินดีที่จะทำ

  ปราโมทย์เป็นตัวหนึ่งที่จะทำให้เกิดความต่อเนื่อง

  ถ้าเราประกอบอาชีพค้าขาย หรือเป็นข้าราชการ ฯลฯ ถ้าเราไม่ดีใจกับอาชีพของเรา เราก็จะเบื่อมาก เช่น ถ้าเราขายน้ำปั่น ถ้าเราไม่ดีใจ ไม่ปราโมทย์เราก็จะเบื่อที่จะทำ แต่ถ้าเราโมทย์ พรุ่งนี้คงตื่นเต้น หรือได้เงินมากกว่านี้ เราก็อยากจะไปขายน้ำปั่นต่อ มีคนมาสั่งน้ำปั่น เราก็จะดีใจ ก็จะทำให้เรามีสมาธิในการทำน้ำปั่น แต่ถ้าเราทำงานแล้วขาดปราโมทย์ เราก็จะไม่กระตือรือร้น เชื่องซึม

  ถ้าเราขายน้ำเราก็จะได้อานิสงส์ มีผลงาน ถ้าไม่มีผลงานก็จะไม่เกิดปราโมทย์ ไม่มีกำลังใจ

  พอเราทำสิ่งใดแล้วเกิดอานิสงส์ก็จะส่งผลให้เกิดปิติ แล้วก็ส่งผลไปที่ปราโมทย์

  แล้วปราโมทย์กับปัสสัทธิเหมือนกันไหม? ก็คือ ถ้าหากว่าเรามีปราโมทย์ทั้ง ๑๒ ข้อ ก็ย่อมเกิดความปัสสัทธิ คือ ความสงบใจ พอสงบแล้วก็จะวาง ถ้าเราไม่ปัสสัทธิ เราจะวางได้อย่างไร มันผ่านไม่ได้ เพราะมีปม 

  เพราะปัสสัทธิจะเป็นตัวคลายปม ก็คือ "วาง" ถึงจะผ่านรูเข็มได้ 

  ฉะนั้น สุดท้ายก็ต้องมีปัสสัทธิ คือ ความสงบใจ 

  พอเราสงบใจ จึงเห็นเป็นตถตา เป็นเช่นนั้นเอง

  เราจะต้องเข้าสู่ภาวะปัสสัทธิถึงจะเห็นถึงตถตา  พบตถตาได้ เป็นสุขแห่งแท้จริง คือ นิพพาน

^_^  ..._/\_...  ^_^ 
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา

อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่