World Economic Forum รายงานดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก ประจำปี 2562 จากการสำรวจ 141 ประเทศ พบว่าสิงคโปร์ขึ้นสู่ประเทศที่มีความสามารถทางการแข่งขันสูงสุด แทนที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งโดนฤทธิ์สงครามการค้าทุบจนร่วงไปอยู่อันดับสอง
ส่วนประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 40 ลดลงจากปีที่แล้วในอันดับที่ 38 ส่วนหนึ่งมาจากคะแนนด้านโครงสร้างพื้นฐานของไทยลดลงจาก 69.7 เหลือ 67.8 สาเหตุหลักจากความหนาแน่นของระบบทางรถไฟ และประสิทธิภาพการให้บริการด้านรถไฟ แต่ก็ทำได้ดีในเรื่องของการเชื่อมต่อสนามบิน
ส่วนข้อสังเกตที่สำคัญปีนี้ เวียดนามเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดสูงสุดในโลก โดยมีค่าดัชนีเพิ่มขึ้นถึง 3.5 คะแนน ขยับขึ้นถึง 10 อันดับ จากอันดับ 77 เมื่อปีที่แล้วมาสู่อันดับที่ 67 สาเหตุสำคัญจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ตลาดที่มีขนาดใหญ่ พร้อมรองรับการลงทุนต่างชาติ และแรงงานราคาถูกกับทั้งมีคุณภาพ
แม้ว่าขณะนี้เวียดนามยังไม่ใช่คู่เเข่งที่น่ากลัวสำหรับประเทศไทย แต่หากเวียดนามรักษาระดับการเจริญเติบโตลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องไปอีก 3 ปี จะถือว่าเป็นคู่เเข่งที่น่ากลัว แต่จะน่ากลัวแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับการพัฒนาและปรับตัวของไทยเองด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า หากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงรถไฟทางคู่และรถไฟฟ้าแล้วเสร็จ จะเป็นความหวังให้อันดับของไทยดีขึ้น แต่จะต้องปรับปรุงเรื่องความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐไปพร้อม ๆ กันด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ขีดความสามารถแข่งขันไทยร่วง จากอันดับ 38 เป็น 40
https://news.thaipbs.or.th/content/285028
ถ้าพิจารณาจากเหตุปัจจัยในการขึ้น-ลงของระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ จะเห็นได้ว่าเกี่ยวข้องกับการลงทุนและความพร้อมของประเทศในการดึงดูดการลงทุนด้วย ตัวอย่างเวียดนาม ที่มีปัจจัยหนุนให้ขยับอันดับขึ้นมาแบบก้าวกระโดด ส่วนหนึ่งก็มาจากการพัฒนาความพร้อม เพื่อรองรับการลงทุนจากต่างชาตินั่นเอง
ขณะที่ประเทศไทยก็มีแผนรองรับการลงทุน เพื่อพัฒนาและยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ โดยผ่านโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เป็นแกนหลัก ที่นำร่องด้วยโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เป็นหัวขบวนนำพาความเจริญอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย ทั้งด้านคมนาคม ขนส่ง โลจิสติกส์ ทั้งทางบก ราง น้ำ และอากาศ ท่าเรือน้ำลึก สนามบิน นิคมอุตสาหกรรม เมืองอัจฉริยะ เขตเศรษฐกิจพิเศษ ฯลฯ ล้วนจะมาเพิ่มมูลค่า สร้างผลประโยชน์มหาศาลแก่ประเทศชาติและประชาชนคนไทยทุกคน
สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินนั้น ล่าสุดวันนี้มีข่าวดีแล้วว่า พร้อมจะมีการลงนามสัญญาในวันที่ 25 ต.ค. นี้แน่นอน หลังจากที่ทางการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท. สามารถเคลียร์ปัญหาการส่งมอบพื้นที่ได้ โดยพร้อมส่งมอบช่วงแรกครบ 100% ให้กลุ่มซีพีเอชเข้าไปก่อสร้างได้ก่อน ตั้งแต่สถานีพญาไทถึงสุวรรณภูมิ (ส่วนที่เหลือนั้นจะทยอยส่งมอบ ทั้งหมดไม่เกิน 2 ปี 3 เดือน)
ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหาให้ผ่านไปได้อย่าง Win-Win โดยไม่มีใครต้องเจ็บ เมื่อทุกคนมองที่ผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก มีความรับผิดชอบในส่วนของตน ปัญหาย่อมหมดไป และพร้อมผสานพลังกันผลักดันกลไกขับเคลื่อนประเทศ เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศกันต่อไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ไฮสปีดอีอีซีโชว์แผนเคลียร์ที่ดินพญาไท-สุวรรณภูมิพร้อม 100% ที่เหลือรอ 1-2 ปี หลังลงนาม
https://www.prachachat.net/property/news-379693
ไฮสปีดเทรนอีอีซี พร้อมสตาร์ทกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
ส่วนประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 40 ลดลงจากปีที่แล้วในอันดับที่ 38 ส่วนหนึ่งมาจากคะแนนด้านโครงสร้างพื้นฐานของไทยลดลงจาก 69.7 เหลือ 67.8 สาเหตุหลักจากความหนาแน่นของระบบทางรถไฟ และประสิทธิภาพการให้บริการด้านรถไฟ แต่ก็ทำได้ดีในเรื่องของการเชื่อมต่อสนามบิน
ส่วนข้อสังเกตที่สำคัญปีนี้ เวียดนามเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดสูงสุดในโลก โดยมีค่าดัชนีเพิ่มขึ้นถึง 3.5 คะแนน ขยับขึ้นถึง 10 อันดับ จากอันดับ 77 เมื่อปีที่แล้วมาสู่อันดับที่ 67 สาเหตุสำคัญจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ตลาดที่มีขนาดใหญ่ พร้อมรองรับการลงทุนต่างชาติ และแรงงานราคาถูกกับทั้งมีคุณภาพ
แม้ว่าขณะนี้เวียดนามยังไม่ใช่คู่เเข่งที่น่ากลัวสำหรับประเทศไทย แต่หากเวียดนามรักษาระดับการเจริญเติบโตลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องไปอีก 3 ปี จะถือว่าเป็นคู่เเข่งที่น่ากลัว แต่จะน่ากลัวแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับการพัฒนาและปรับตัวของไทยเองด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า หากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงรถไฟทางคู่และรถไฟฟ้าแล้วเสร็จ จะเป็นความหวังให้อันดับของไทยดีขึ้น แต่จะต้องปรับปรุงเรื่องความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐไปพร้อม ๆ กันด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ถ้าพิจารณาจากเหตุปัจจัยในการขึ้น-ลงของระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ จะเห็นได้ว่าเกี่ยวข้องกับการลงทุนและความพร้อมของประเทศในการดึงดูดการลงทุนด้วย ตัวอย่างเวียดนาม ที่มีปัจจัยหนุนให้ขยับอันดับขึ้นมาแบบก้าวกระโดด ส่วนหนึ่งก็มาจากการพัฒนาความพร้อม เพื่อรองรับการลงทุนจากต่างชาตินั่นเอง
ขณะที่ประเทศไทยก็มีแผนรองรับการลงทุน เพื่อพัฒนาและยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ โดยผ่านโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เป็นแกนหลัก ที่นำร่องด้วยโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เป็นหัวขบวนนำพาความเจริญอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย ทั้งด้านคมนาคม ขนส่ง โลจิสติกส์ ทั้งทางบก ราง น้ำ และอากาศ ท่าเรือน้ำลึก สนามบิน นิคมอุตสาหกรรม เมืองอัจฉริยะ เขตเศรษฐกิจพิเศษ ฯลฯ ล้วนจะมาเพิ่มมูลค่า สร้างผลประโยชน์มหาศาลแก่ประเทศชาติและประชาชนคนไทยทุกคน
สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินนั้น ล่าสุดวันนี้มีข่าวดีแล้วว่า พร้อมจะมีการลงนามสัญญาในวันที่ 25 ต.ค. นี้แน่นอน หลังจากที่ทางการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท. สามารถเคลียร์ปัญหาการส่งมอบพื้นที่ได้ โดยพร้อมส่งมอบช่วงแรกครบ 100% ให้กลุ่มซีพีเอชเข้าไปก่อสร้างได้ก่อน ตั้งแต่สถานีพญาไทถึงสุวรรณภูมิ (ส่วนที่เหลือนั้นจะทยอยส่งมอบ ทั้งหมดไม่เกิน 2 ปี 3 เดือน)
ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหาให้ผ่านไปได้อย่าง Win-Win โดยไม่มีใครต้องเจ็บ เมื่อทุกคนมองที่ผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก มีความรับผิดชอบในส่วนของตน ปัญหาย่อมหมดไป และพร้อมผสานพลังกันผลักดันกลไกขับเคลื่อนประเทศ เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศกันต่อไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้