สวัสดีค่ะ ชื่อพิมนะคะ
พอดีพิมเพิ่งจัดงานศพแม่ผ่านพ้นไปเมื่อเดือนก่อน แล้วมีหลายคนถามถึงขั้นตอนในการจัดงาน รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ วันนี้พิมก็เลยจะมาเล่ารายละเอียดให้ฟัง เผื่อว่าจะมีประโยชน์บ้างนะคะ
(ใครที่อยากอ่านเฉพาะขั้นตอนการจัดงานศพ ข้ามไป คห.1 เลยค่ะ)
ก่อนจะไปถึงเรื่องงานศพ ขอเล่าก่อนนิดนึงค่ะว่า แม่พิมเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งนะคะ
แม่พิมถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมปลายระยะที่ 3 เมื่อประมาณปลายปี 2557 หลังจากนั้นแม่ก็ได้เข้ารับการรักษาตามที่หมอแนะนำทั้งคีโม ฉายแสง จนผ่านไปประมาณปีนึงแม่ก็กลับมาใช้ชีวิตเหมือนปกติ แต่ปรับในเรื่องของการกิน การดูแลตัวเอง และยังคงแวะเวียนไปพบหมอ รับยา ตามนัดทุกเดือนค่ะ
จนประมาณกรกฎาคม 2560 ช่วงนั้นพิมเปิดร้านขายอาหารนะคะ แล้ววันนึงขณะที่แม่นั่งตำเครื่องแกง อยู่ดี ๆ แม่ก็ปวดจี๊ดตรงสะโพก และปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนั้นเข้าใจว่าเพราะแม่นั่งท่าเดียวนานๆ 2 ชม. กว่า ก็เลยพาแม่ไปหาหมอ รพ. ใกล้บ้าน แต่กินยาฉีดยาอยู่พักใหญ่ก็ไม่ค่อยดีขึ้น พอถึงวันพบหมอมะเร็งก็เลยลองคุย ๆ กับหมอเรื่องนี้ดู สุดท้ายก็พบว่าสาเหตุที่ปวดคือมะเร็งมันลามไปที่กระดูกบริเวณสะโพกแล้วค่ะ จำได้ว่าตอนนั้นหมอก็รักษาด้วยการให้คีโมกับฉายแสงเหมือนรอบแรก จนอาการดีขึ้น เดินเหิรไปไหนมาไหนได้เหมือนไม่เคยปวดมาก่อนนะคะ
แต่แล้วพอเดือนมกราคม 2562 (ต้นปีที่ผ่านมา) ระหว่างที่แม่เปลี่ยนเสื้อผ้า จังหวะที่แม่กำลังยกขาเพื่อถอดกางเกง แม่ก็ได้ยินเสียงกระดูกที่หน้าขาขวาหักดังเป๊าะ (ไม่ได้ลื่นล้ม) แม่ปวดจนเป็นลมหมดสติ พิมรีบเรียกรถฉุกเฉินเพื่อพาแม่ส่ง รพ. หมอบอกว่าต้องผ่าตัดด่วน แต่หมอใน รพ. ที่แม่รักษามะเร็งอยู่ไม่สามารถทำการรักษาเคสนี้ได้ แม่จึงถูกส่งตัวไปรักษาที่ รพ. ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติค่ะ ซึ่งตอนแรกหมอมีแผนว่าจะผ่าตัดใส่เหล็กเฉพาะขาข้างที่กระดูกหัก เพราะค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่หลังจากที่หมอเอ็กซเรย์กระดูกทั้งสองข้างแล้ว ก็พบว่าต้องผ่าตัดใส่เหล็กทั้งสองข้างเลย เพราะอีกข้างก็กำลังจะหักเหมือนกันนะคะ
แม่ใช้เวลาในการผ่าตัด รวมถึงพักฟื้นที่ รพ. และฉายแสงส่วนสะโพก-เอว ประมาณเกือบ 3 เดือน หลังจากฉายแสงเสร็จแม่ได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บนเตียง เพราะหมอห้ามแม่ยืนเดินเด็ดขาด เนื่องจากกระดูกส่วนอื่นก็พรุนไปหมดแล้วค่ะ
ผ่านมาจนถึงประมาณเดือนเมษา อยู่ดี ๆ แม่ก็ปวดข้างในตรงบริเวณใต้ราวนมลงมา พิมก็เลยรีบพาแม่ไปตรวจ พบว่ามะเร็งมันลามไปที่ตับนะคะ หลังจากนั้นไม่นานหูข้างขวาแม่ก็เริ่มไม่ได้ยิน ตาขวาก็เริ่มพร่ามัว และเริ่มจำบางอย่างไม่ได้ เลยไปตรวจอีกครั้งก็พบว่ามะเร็งมันลามไปที่สมองแล้ว ช่วงนี้คือนอกจากแม่จะปวดมากแล้ว แม่ก็ยังกินอะไรไม่ได้ กินคำนึงสองคำก็อาเจียนหมด แม้กระทั่งน้ำเปล่าก็ยังอาเจียน ยาก็อาเจียน ไม่กินอะไรก็อาเจียน น้ำหนักลดฮวบฮาบ หมอเลยสั่งให้แม่กินอาหารและยาทางสายยางแทน รวมถึงใส่ท่อปัสสาวะและสวนอุจจาระด้วย เพราะแม่ไม่สามาถขับถ่ายเองได้แล้วค่ะ
จนประมาณช่วง 2-3 เดือนก่อนแม่จะเสียชีวิต แม่เริ่มเพ้อหนัก แม่ต้องไปนอน รพ. เพื่อฉายแสงส่วนสมอง พิมและทุกคนในบ้านสลับไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ทุกวัน แต่แม่จำไม่ได้ ขนาดพิมและลูก ๆ ทุกคนยืนอยู่ข้างเตียง แม่ก็จะควักมือเรียกญาติเตียงอื่นๆ แล้วร้องไห้โฮดัง ๆ บอกว่า ช่วยป้าด้วย ป้าอยู่คนเดียว ถูกลูกทิ้ง ...ประมาณนี้นะคะ
แล้วพอกลับมานอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน แม่ก็จะพูดบ่อย ๆ ว่า ช่วยแม่หน่อยเถอะ แม่อยากตาย แม่ทนไม่ไหวแล้ว ทำไมมันทรมานอย่างนี้ ..... บวกกับแผลกดทับที่ขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือที่หมอบอกว่า ถึงจะทำแผลยังไง ดูแลดียังไง ก็ไม่มีวันที่แผลตจะดีขึ้น เพราะร่างกายแม่ไม่ตอบสนองแล้ว เรียกว่าช่วงนั้นเป็นอะไรที่หดหู่มากเลย แต่พิมและทุกคนในบ้านก็ทำเต็มที่ค่ะ
และในช่วงประมาณ 10 วัน สุดท้ายก่อนแม่พิมจะเสียชีวิต เป็นช่วงที่บอกเลยว่า แม่คงทรมานที่สุด แม่ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดได้ ทำได้แค่ส่งเสียงอื้ออ้า และเหมือนแม่ไม่มีสติอยู่กับตัวแล้ว ดวงตาแม่เลื่อนลอย ไม่มีการตอบสนอง สีผิวบริเวณหน้าค่อย ๆ คล้ำดำมากขึ้นทุกวัน ๆ และเหมือนแม่เห็นอะไรที่ทุกคนไม่เห็น (น่าจะเพราะเพราะมะเร็งกินเนื้อสมองไปเยอะ) ทำให้แม่เพ้อหนักมากขึ้น รวมถึงกรีดร้อง และร้องไห้โฮเป็นระยะ ๆ นะคะ
จนในที่สุดแม่พิมก็คงไม่ไหวแล้ว เช้าวันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562 แม่ก็จากไปอย่างสงบค่ะ
จัดงานศพ ต้องทำอะไรบ้าง วันนี้ขอมาเล่าให้ฟังในฐานะที่เพิ่งจัดงานศพแม่ไปนะคะ
พอดีพิมเพิ่งจัดงานศพแม่ผ่านพ้นไปเมื่อเดือนก่อน แล้วมีหลายคนถามถึงขั้นตอนในการจัดงาน รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ วันนี้พิมก็เลยจะมาเล่ารายละเอียดให้ฟัง เผื่อว่าจะมีประโยชน์บ้างนะคะ
(ใครที่อยากอ่านเฉพาะขั้นตอนการจัดงานศพ ข้ามไป คห.1 เลยค่ะ)
ก่อนจะไปถึงเรื่องงานศพ ขอเล่าก่อนนิดนึงค่ะว่า แม่พิมเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งนะคะ
แม่พิมถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมปลายระยะที่ 3 เมื่อประมาณปลายปี 2557 หลังจากนั้นแม่ก็ได้เข้ารับการรักษาตามที่หมอแนะนำทั้งคีโม ฉายแสง จนผ่านไปประมาณปีนึงแม่ก็กลับมาใช้ชีวิตเหมือนปกติ แต่ปรับในเรื่องของการกิน การดูแลตัวเอง และยังคงแวะเวียนไปพบหมอ รับยา ตามนัดทุกเดือนค่ะ
จนประมาณกรกฎาคม 2560 ช่วงนั้นพิมเปิดร้านขายอาหารนะคะ แล้ววันนึงขณะที่แม่นั่งตำเครื่องแกง อยู่ดี ๆ แม่ก็ปวดจี๊ดตรงสะโพก และปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนั้นเข้าใจว่าเพราะแม่นั่งท่าเดียวนานๆ 2 ชม. กว่า ก็เลยพาแม่ไปหาหมอ รพ. ใกล้บ้าน แต่กินยาฉีดยาอยู่พักใหญ่ก็ไม่ค่อยดีขึ้น พอถึงวันพบหมอมะเร็งก็เลยลองคุย ๆ กับหมอเรื่องนี้ดู สุดท้ายก็พบว่าสาเหตุที่ปวดคือมะเร็งมันลามไปที่กระดูกบริเวณสะโพกแล้วค่ะ จำได้ว่าตอนนั้นหมอก็รักษาด้วยการให้คีโมกับฉายแสงเหมือนรอบแรก จนอาการดีขึ้น เดินเหิรไปไหนมาไหนได้เหมือนไม่เคยปวดมาก่อนนะคะ
แต่แล้วพอเดือนมกราคม 2562 (ต้นปีที่ผ่านมา) ระหว่างที่แม่เปลี่ยนเสื้อผ้า จังหวะที่แม่กำลังยกขาเพื่อถอดกางเกง แม่ก็ได้ยินเสียงกระดูกที่หน้าขาขวาหักดังเป๊าะ (ไม่ได้ลื่นล้ม) แม่ปวดจนเป็นลมหมดสติ พิมรีบเรียกรถฉุกเฉินเพื่อพาแม่ส่ง รพ. หมอบอกว่าต้องผ่าตัดด่วน แต่หมอใน รพ. ที่แม่รักษามะเร็งอยู่ไม่สามารถทำการรักษาเคสนี้ได้ แม่จึงถูกส่งตัวไปรักษาที่ รพ. ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติค่ะ ซึ่งตอนแรกหมอมีแผนว่าจะผ่าตัดใส่เหล็กเฉพาะขาข้างที่กระดูกหัก เพราะค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่หลังจากที่หมอเอ็กซเรย์กระดูกทั้งสองข้างแล้ว ก็พบว่าต้องผ่าตัดใส่เหล็กทั้งสองข้างเลย เพราะอีกข้างก็กำลังจะหักเหมือนกันนะคะ
แม่ใช้เวลาในการผ่าตัด รวมถึงพักฟื้นที่ รพ. และฉายแสงส่วนสะโพก-เอว ประมาณเกือบ 3 เดือน หลังจากฉายแสงเสร็จแม่ได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บนเตียง เพราะหมอห้ามแม่ยืนเดินเด็ดขาด เนื่องจากกระดูกส่วนอื่นก็พรุนไปหมดแล้วค่ะ
ผ่านมาจนถึงประมาณเดือนเมษา อยู่ดี ๆ แม่ก็ปวดข้างในตรงบริเวณใต้ราวนมลงมา พิมก็เลยรีบพาแม่ไปตรวจ พบว่ามะเร็งมันลามไปที่ตับนะคะ หลังจากนั้นไม่นานหูข้างขวาแม่ก็เริ่มไม่ได้ยิน ตาขวาก็เริ่มพร่ามัว และเริ่มจำบางอย่างไม่ได้ เลยไปตรวจอีกครั้งก็พบว่ามะเร็งมันลามไปที่สมองแล้ว ช่วงนี้คือนอกจากแม่จะปวดมากแล้ว แม่ก็ยังกินอะไรไม่ได้ กินคำนึงสองคำก็อาเจียนหมด แม้กระทั่งน้ำเปล่าก็ยังอาเจียน ยาก็อาเจียน ไม่กินอะไรก็อาเจียน น้ำหนักลดฮวบฮาบ หมอเลยสั่งให้แม่กินอาหารและยาทางสายยางแทน รวมถึงใส่ท่อปัสสาวะและสวนอุจจาระด้วย เพราะแม่ไม่สามาถขับถ่ายเองได้แล้วค่ะ
จนประมาณช่วง 2-3 เดือนก่อนแม่จะเสียชีวิต แม่เริ่มเพ้อหนัก แม่ต้องไปนอน รพ. เพื่อฉายแสงส่วนสมอง พิมและทุกคนในบ้านสลับไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ทุกวัน แต่แม่จำไม่ได้ ขนาดพิมและลูก ๆ ทุกคนยืนอยู่ข้างเตียง แม่ก็จะควักมือเรียกญาติเตียงอื่นๆ แล้วร้องไห้โฮดัง ๆ บอกว่า ช่วยป้าด้วย ป้าอยู่คนเดียว ถูกลูกทิ้ง ...ประมาณนี้นะคะ
แล้วพอกลับมานอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน แม่ก็จะพูดบ่อย ๆ ว่า ช่วยแม่หน่อยเถอะ แม่อยากตาย แม่ทนไม่ไหวแล้ว ทำไมมันทรมานอย่างนี้ ..... บวกกับแผลกดทับที่ขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือที่หมอบอกว่า ถึงจะทำแผลยังไง ดูแลดียังไง ก็ไม่มีวันที่แผลตจะดีขึ้น เพราะร่างกายแม่ไม่ตอบสนองแล้ว เรียกว่าช่วงนั้นเป็นอะไรที่หดหู่มากเลย แต่พิมและทุกคนในบ้านก็ทำเต็มที่ค่ะ
และในช่วงประมาณ 10 วัน สุดท้ายก่อนแม่พิมจะเสียชีวิต เป็นช่วงที่บอกเลยว่า แม่คงทรมานที่สุด แม่ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดได้ ทำได้แค่ส่งเสียงอื้ออ้า และเหมือนแม่ไม่มีสติอยู่กับตัวแล้ว ดวงตาแม่เลื่อนลอย ไม่มีการตอบสนอง สีผิวบริเวณหน้าค่อย ๆ คล้ำดำมากขึ้นทุกวัน ๆ และเหมือนแม่เห็นอะไรที่ทุกคนไม่เห็น (น่าจะเพราะเพราะมะเร็งกินเนื้อสมองไปเยอะ) ทำให้แม่เพ้อหนักมากขึ้น รวมถึงกรีดร้อง และร้องไห้โฮเป็นระยะ ๆ นะคะ
จนในที่สุดแม่พิมก็คงไม่ไหวแล้ว เช้าวันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562 แม่ก็จากไปอย่างสงบค่ะ