เครดิตปก คุณออม รัชต์สารินท์ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ใhttps://ppantip.com/topic/39022888 บทนำ
https://ppantip.com/topic/39028501 บทที่1
https://ppantip.com/topic/39036780 บทที่2
https://ppantip.com/topic/39042887 บทที่3
https://ppantip.com/topic/39051172 บทที่4
https://ppantip.com/topic/39059955 บทที่5
https://ppantip.com/topic/39074462 บทที่6
https://ppantip.com/topic/39091708 บทที่7
https://ppantip.com/topic/39105675 บทที่8
https://ppantip.com/topic/39139909 บทที่9
https://ppantip.com/topic/39154064 บทที่10
https://ppantip.com/topic/39168405 บทที่ 11
https://ppantip.com/topic/39185244 บทที่ 12
https://ppantip.com/topic/39210173 บทที่ 13
https://ppantip.com/topic/39258129 บทที่ 14
“วู้ววว! วู้ววว! ผู้หมวด ทางนี้ๆ ”
จ่าสิงห์โดดลงจากรถบรรทุกมาชูสองมือโบกเรียกใหญ่ เห็นเป็นเงาดำ ผู้หมวดเจนขยี้ตาเหมือนจะตาฝาด มีใครยืนอยู่ด้านหลังของจ่าอีกหลายคน บังคับเอ็นดูโร่หันล้อกลับมาก่อนที่จะบ่ายหน้าไปที่ทุ่งใหญ่ เป็นอันบังคับรถวกกลับมา จ่ารีบเข้ามายัดแท่งพลุไฟให้กับมือ บอกกล่าวให้ระวังสไนเปอร์ของฝ่ายศัตรู แล้วชี้นิ้วไปที่หอสูงสังเกตการณ์ที่ตั้งอยู่ในเขตทหาร บอกพวกมันต้องซุ่มอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน
สไนเปอร์ หรือ พลซุ่มยิง ที่จ่าสิงห์พูด หมายถึง ผู้ที่ถูกฝึกฝนมาอย่างชำนาญและเชี่ยวชาญในการยิงปืนระยะไกล โดยทำหน้าที่ยิงเพื่อหวังผลในการจำกัดการเคลื่อนไหวของข้าศึกจากระยะไกล รวมถึงต้องมีการอำพรางตัวเพื่อไม่ให้ข้าศึกรู้ตัวระหว่างซุ่มยิงอีกด้วย ซึ่งพลซุ่มยิง มักจะต้องทำงานควบคู่กันกับพลชี้เป้า หรือ สปอตเตอร์
พอต่างยืนเงียบเสียง ได้ยินเพียงลมหายใจของกันและกัน เสียงดังปัง! สะเทือนมาตามคลื่นอากาศ
“เชื่อผม ถ้าผมเป็นมัน ผมจะขึ้นไปอยู่บนนั่น ผู้หมวดจะต้องระวังตัวเอาไว้”
“จ่ามือสไนเปอร์มาก่อนสินะครับ ถึงมองออก” คนหนุ่มมองอย่างทึ่ง
พอหันไปเอามือป้องมองตาม ทีแรกคิดกังวลเหมือนกัน จะมีพลซุ่มยิงดักยิงจากในป่าละเมาะ จะขับรถเข้าไปเบี่ยงเบนความสนใจของมือปืน จ่าสิงห์ส่ายหน้า บอกข้างในมันดงกับระเบิด ชัยภูมิที่เหมาะในการซุ่มยิงจะต้องเป็นหอสังเกตการณ์เท่านั้น
“จากหอสูงถึงทุ่งมันสำปะหลัง ระยะมันไกลจากกันไม่น้อยนะจ่า” เขาเอามือป้อง แลเห็นหอที่ว่าเห็นสูงแค่กอไผ่ตรงหน้า จากระยะทางที่ไกลออกไปพอสมควร
“อย่าประมาทฝีมือพวกสไนเปอร์ครับ ระยะเท่านี้ คงกิโลเมตรกว่าๆ ผมมั่นใจพวกมันมือถึงแน่ ดีไม่ดี พวกที่หนีออกมาจะไม่รอดสักราย พวกมันยิงโดยใช้กล้องอินฟราเรดนำทาง หลบซ่อนในดงมันไปก็เท่านั้น ยังไงก็ไม่พ้นสายตา ผู้กองอันตรายมากนะครับ จะผ่านพวกมันไปช่วยพวกคนงานได้ จะต้องใช้พลุไฟที่ผมให้ จุดรบกวนการมองเห็นจากกล้องอินฟราเรดเท่านั้น”
เขาเดาะพลุในมือ หรี่ตาซึมอย่างใช้ความคิด มันเสี่ยงมาก ของแค่นี้ไม่น่าจะรับมือกับสไนเปอร์ได้เลย
“ขอบใจจ่ามากที่เตือน ผมประมาทเกินไป ไม่ได้คิดแผนรับมือไว้เลย คิดว่าอำพรางตัวในความมืด แล้วจะรอดได้” กระแสเสียงของเขาเบาต่ำลงถนัดใจ เพราะกำลังเร่งใช้ความคิด
“กลางคืนมันง่ายในการสังหารเหยื่อยิ่งกลางวันอีกครับผู้หมวด เพราะใช้กล้องมองหาความร้อนจากร่างกายของคน ให้หลบซ่อนตัวในพงรกทึบขนาดไหนก็เห็น ถ้ากลางวันใช้แค่กล้องส่องระยะอย่างเดียว ยังหลงตาไปได้ ยังจะมีโอกาสรอดมากกว่า พื้นดินมีความร้อนสะสมจากแสงแดด เวลานี้กลางคืนนี้มันเหมาะมากกับพวกเหยี่ยวราตรีจะล่าเหยื่อของมัน” อดีตพลแม่นปืนกล่าวด้วยประสบการณ์ล้วนๆ
ผู้หมวดดีดนิ้วดังแป้ก ยิ้มแยกเขี้ยวเพราะคิดแผนออกแล้ว
“จ่า! ผมขอน้ำมันเบนซิน”
จ่าสิงห์หัวเราะดังฮึกๆ ในลำคอด้วยความคิดทันกัน
“จะเผาทุ่งเลยเหรอ ผู้หมวด”
“ฃ่วยไม่ได้ จ่ามีไอเดียใหม่ให้ผมมั้ย”
กว่าจะวิ่งไปวิ่งกลับมาพร้อมกระติกน้ำมันเชื้อเพลิง จ่าสิงห์หอบแฮ่ก สีหน้าขาวเปิด สองเท้าเหยียบย่ำหญ้าขนเป็นแปลง แกลลอนน้ำมันถูกผูกห้อยข้างรถ กลิ่นเหม็นเขียวของหญ้าเคล้ากับกลิ่นสารระเหยของน้ำมันระเหยเข้าจมูกทำเอาเกือบหน้ามืด พลันเอามือกุมหน้ากับสีข้างด้วยใบหน้าซีดเปิด
ผู้หมวดพึ่งสังเกตออร่าจากร่างกาย สีสันมันสับสนปนเป ที่เห็นชัดมีสีเขียวคือความมุ่งมั่น สีเหลืองบ่งบอกความซื่อสัตย์ สีแดงภาวะแห่งการฆ่าฟัน เป็นเรื่องปกติของพวกทหาร ที่น่าตกใจก็คือสีดำที่แผ่กว้างกว่า มันคือภาวะทุกข์ระทม อันเกิดจากความเสื่อมโทรมภายในร่างกาย...
ที่ตกใจคือมีวิญญาณของชายฉกรรจ์ ที่สวมชุดคล้ายทหารในสมัยโบราณหลายนาย มายืนคุมอยู่ด้านหลัง แต่ละนายสีหน้าเหี้ยมหาญ ในมือถือหอกดาบอาวธครบมือ ในลักษณะเดินตามเท่านั้น เหงื่อมือของผู้หมวดเย็น ไม่นึกว่าจะมีความสามารถเห็นวิญญาณได้ชัดเจนเช่นนี้เพิ่มขึ้นมาอีก
“จ่า...มีโรคประจำตัวใช่ไหม” เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาคนถูกถามตะลึง สายตาคู่นั้นไม่ยอมสบด้วยเลย ไม่เชื่อหูว่าจะถูกทักมาด้วยประโยคนี้
“ก็มีบ้าง ตามประสาคนเริ่มแก่ล่ะครับ” แกหายใจออกดังเฮือก
“แล้ว...ได้ไปหาหมอบ้างหรือยัง มียากินไหม”
“ผมรู้ตัวเองดีครับ ป่วยเป็นโรคอะไร” จ่าเอานิ้วขยี้จมูกอย่างหงุดหงิด เพราะเรื่องสุขภาพทำให้ถูกปลดประจำการจากกองทัพก่อนเวลาอันควร
มะเร็งตับ โรคร้ายที่ไม่แม้แต่จะบอกกับเมียคู่ทุกข์คู่ยาก หวังใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายเงียบๆ แต่แล้ววิญญาณของทหารหาญที่ปกป้องแผ่นดินไทย ได้ดลใจให้ทหารแม่นปืนรายนี้ได้ออกสู่สนามรบอีกครั้ง
“จ่า...ถ้าเสร็จภารกิจ ให้กลับไปพักผ่อนเถอะนะ เรื่องสุขภาพสำคัญ” แววตาคู่นั้นลุกวาว เงื้อหมัดต่อยเข้าปากผู้หมวดเต็มที่ ไม่คิดโต้ตอบอะไร เพียงถ่มน้ำลายปนเลือดออกมา คำพูดเมื่อกี้มันเป็นการดูหมิ่นน้ำใจชายชาติทหาร
“ไม่ได้! เรื่องยังไม่จบ ผมไม่ยอมถอย ชายชาติทหารจะไม่ยอมเอนหลังลงนอนตาหลับ ถ้ายังรู้ว่าศัตรูมันยังยืนอยู่บนแผ่นดินของเรา” กำปั้นขวาทุบอกดังปึก! กับอกข้างซ้าย ยืนยันหนักแน่นว่าจะขอสู้
“เอาล่ะๆ ผมเข้าใจแล้ว” ผู้หมวดตอบอย่างเหนื่อยใจ
รถบรรทุกทหารอีกคันแล่นผ่านมา มีนายทหารบนรถสั่งให้จอด เมื่อเห็นผิดสังเกตทหารสองนายทำไมยืนอยู่นอกเส้นทาง ฉายไฟฉายตะโกนเรียกออกไป โชคดีที่ผู้หมวดกับจ่าสิงห์สวมทหารฝ่ายเดียวกัน
[บทที15]....วิวาห์ลวง (เรดโรส)
“วู้ววว! วู้ววว! ผู้หมวด ทางนี้ๆ ”
จ่าสิงห์โดดลงจากรถบรรทุกมาชูสองมือโบกเรียกใหญ่ เห็นเป็นเงาดำ ผู้หมวดเจนขยี้ตาเหมือนจะตาฝาด มีใครยืนอยู่ด้านหลังของจ่าอีกหลายคน บังคับเอ็นดูโร่หันล้อกลับมาก่อนที่จะบ่ายหน้าไปที่ทุ่งใหญ่ เป็นอันบังคับรถวกกลับมา จ่ารีบเข้ามายัดแท่งพลุไฟให้กับมือ บอกกล่าวให้ระวังสไนเปอร์ของฝ่ายศัตรู แล้วชี้นิ้วไปที่หอสูงสังเกตการณ์ที่ตั้งอยู่ในเขตทหาร บอกพวกมันต้องซุ่มอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน
สไนเปอร์ หรือ พลซุ่มยิง ที่จ่าสิงห์พูด หมายถึง ผู้ที่ถูกฝึกฝนมาอย่างชำนาญและเชี่ยวชาญในการยิงปืนระยะไกล โดยทำหน้าที่ยิงเพื่อหวังผลในการจำกัดการเคลื่อนไหวของข้าศึกจากระยะไกล รวมถึงต้องมีการอำพรางตัวเพื่อไม่ให้ข้าศึกรู้ตัวระหว่างซุ่มยิงอีกด้วย ซึ่งพลซุ่มยิง มักจะต้องทำงานควบคู่กันกับพลชี้เป้า หรือ สปอตเตอร์
พอต่างยืนเงียบเสียง ได้ยินเพียงลมหายใจของกันและกัน เสียงดังปัง! สะเทือนมาตามคลื่นอากาศ
“เชื่อผม ถ้าผมเป็นมัน ผมจะขึ้นไปอยู่บนนั่น ผู้หมวดจะต้องระวังตัวเอาไว้”
“จ่ามือสไนเปอร์มาก่อนสินะครับ ถึงมองออก” คนหนุ่มมองอย่างทึ่ง
พอหันไปเอามือป้องมองตาม ทีแรกคิดกังวลเหมือนกัน จะมีพลซุ่มยิงดักยิงจากในป่าละเมาะ จะขับรถเข้าไปเบี่ยงเบนความสนใจของมือปืน จ่าสิงห์ส่ายหน้า บอกข้างในมันดงกับระเบิด ชัยภูมิที่เหมาะในการซุ่มยิงจะต้องเป็นหอสังเกตการณ์เท่านั้น
“จากหอสูงถึงทุ่งมันสำปะหลัง ระยะมันไกลจากกันไม่น้อยนะจ่า” เขาเอามือป้อง แลเห็นหอที่ว่าเห็นสูงแค่กอไผ่ตรงหน้า จากระยะทางที่ไกลออกไปพอสมควร
“อย่าประมาทฝีมือพวกสไนเปอร์ครับ ระยะเท่านี้ คงกิโลเมตรกว่าๆ ผมมั่นใจพวกมันมือถึงแน่ ดีไม่ดี พวกที่หนีออกมาจะไม่รอดสักราย พวกมันยิงโดยใช้กล้องอินฟราเรดนำทาง หลบซ่อนในดงมันไปก็เท่านั้น ยังไงก็ไม่พ้นสายตา ผู้กองอันตรายมากนะครับ จะผ่านพวกมันไปช่วยพวกคนงานได้ จะต้องใช้พลุไฟที่ผมให้ จุดรบกวนการมองเห็นจากกล้องอินฟราเรดเท่านั้น”
เขาเดาะพลุในมือ หรี่ตาซึมอย่างใช้ความคิด มันเสี่ยงมาก ของแค่นี้ไม่น่าจะรับมือกับสไนเปอร์ได้เลย
“ขอบใจจ่ามากที่เตือน ผมประมาทเกินไป ไม่ได้คิดแผนรับมือไว้เลย คิดว่าอำพรางตัวในความมืด แล้วจะรอดได้” กระแสเสียงของเขาเบาต่ำลงถนัดใจ เพราะกำลังเร่งใช้ความคิด
“กลางคืนมันง่ายในการสังหารเหยื่อยิ่งกลางวันอีกครับผู้หมวด เพราะใช้กล้องมองหาความร้อนจากร่างกายของคน ให้หลบซ่อนตัวในพงรกทึบขนาดไหนก็เห็น ถ้ากลางวันใช้แค่กล้องส่องระยะอย่างเดียว ยังหลงตาไปได้ ยังจะมีโอกาสรอดมากกว่า พื้นดินมีความร้อนสะสมจากแสงแดด เวลานี้กลางคืนนี้มันเหมาะมากกับพวกเหยี่ยวราตรีจะล่าเหยื่อของมัน” อดีตพลแม่นปืนกล่าวด้วยประสบการณ์ล้วนๆ
ผู้หมวดดีดนิ้วดังแป้ก ยิ้มแยกเขี้ยวเพราะคิดแผนออกแล้ว
“จ่า! ผมขอน้ำมันเบนซิน”
จ่าสิงห์หัวเราะดังฮึกๆ ในลำคอด้วยความคิดทันกัน
“จะเผาทุ่งเลยเหรอ ผู้หมวด”
“ฃ่วยไม่ได้ จ่ามีไอเดียใหม่ให้ผมมั้ย”
กว่าจะวิ่งไปวิ่งกลับมาพร้อมกระติกน้ำมันเชื้อเพลิง จ่าสิงห์หอบแฮ่ก สีหน้าขาวเปิด สองเท้าเหยียบย่ำหญ้าขนเป็นแปลง แกลลอนน้ำมันถูกผูกห้อยข้างรถ กลิ่นเหม็นเขียวของหญ้าเคล้ากับกลิ่นสารระเหยของน้ำมันระเหยเข้าจมูกทำเอาเกือบหน้ามืด พลันเอามือกุมหน้ากับสีข้างด้วยใบหน้าซีดเปิด
ผู้หมวดพึ่งสังเกตออร่าจากร่างกาย สีสันมันสับสนปนเป ที่เห็นชัดมีสีเขียวคือความมุ่งมั่น สีเหลืองบ่งบอกความซื่อสัตย์ สีแดงภาวะแห่งการฆ่าฟัน เป็นเรื่องปกติของพวกทหาร ที่น่าตกใจก็คือสีดำที่แผ่กว้างกว่า มันคือภาวะทุกข์ระทม อันเกิดจากความเสื่อมโทรมภายในร่างกาย...
ที่ตกใจคือมีวิญญาณของชายฉกรรจ์ ที่สวมชุดคล้ายทหารในสมัยโบราณหลายนาย มายืนคุมอยู่ด้านหลัง แต่ละนายสีหน้าเหี้ยมหาญ ในมือถือหอกดาบอาวธครบมือ ในลักษณะเดินตามเท่านั้น เหงื่อมือของผู้หมวดเย็น ไม่นึกว่าจะมีความสามารถเห็นวิญญาณได้ชัดเจนเช่นนี้เพิ่มขึ้นมาอีก
“จ่า...มีโรคประจำตัวใช่ไหม” เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาคนถูกถามตะลึง สายตาคู่นั้นไม่ยอมสบด้วยเลย ไม่เชื่อหูว่าจะถูกทักมาด้วยประโยคนี้
“ก็มีบ้าง ตามประสาคนเริ่มแก่ล่ะครับ” แกหายใจออกดังเฮือก
“แล้ว...ได้ไปหาหมอบ้างหรือยัง มียากินไหม”
“ผมรู้ตัวเองดีครับ ป่วยเป็นโรคอะไร” จ่าเอานิ้วขยี้จมูกอย่างหงุดหงิด เพราะเรื่องสุขภาพทำให้ถูกปลดประจำการจากกองทัพก่อนเวลาอันควร
มะเร็งตับ โรคร้ายที่ไม่แม้แต่จะบอกกับเมียคู่ทุกข์คู่ยาก หวังใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายเงียบๆ แต่แล้ววิญญาณของทหารหาญที่ปกป้องแผ่นดินไทย ได้ดลใจให้ทหารแม่นปืนรายนี้ได้ออกสู่สนามรบอีกครั้ง
“จ่า...ถ้าเสร็จภารกิจ ให้กลับไปพักผ่อนเถอะนะ เรื่องสุขภาพสำคัญ” แววตาคู่นั้นลุกวาว เงื้อหมัดต่อยเข้าปากผู้หมวดเต็มที่ ไม่คิดโต้ตอบอะไร เพียงถ่มน้ำลายปนเลือดออกมา คำพูดเมื่อกี้มันเป็นการดูหมิ่นน้ำใจชายชาติทหาร
“ไม่ได้! เรื่องยังไม่จบ ผมไม่ยอมถอย ชายชาติทหารจะไม่ยอมเอนหลังลงนอนตาหลับ ถ้ายังรู้ว่าศัตรูมันยังยืนอยู่บนแผ่นดินของเรา” กำปั้นขวาทุบอกดังปึก! กับอกข้างซ้าย ยืนยันหนักแน่นว่าจะขอสู้
“เอาล่ะๆ ผมเข้าใจแล้ว” ผู้หมวดตอบอย่างเหนื่อยใจ
รถบรรทุกทหารอีกคันแล่นผ่านมา มีนายทหารบนรถสั่งให้จอด เมื่อเห็นผิดสังเกตทหารสองนายทำไมยืนอยู่นอกเส้นทาง ฉายไฟฉายตะโกนเรียกออกไป โชคดีที่ผู้หมวดกับจ่าสิงห์สวมทหารฝ่ายเดียวกัน