ร้าน The SteakHouse Co Bangkok เห็นขึ้นหน้า Feed ใน Facebook หลายวันละ (สงสัยพี่มาร์คอยากจะให้เข้าไปชิม) ร้านก็อยู่ไม่ไกลตรงถนนสีลม อยู่ในซอยเดียวกับ FoodLand สาขาพัฒน์พงศ์ จุดเด่นของที่ร้านนี้คือสเต็ก มีให้เลือกทานทั้งแบบ A La Carte สั่งเป็นจานๆ และบุฟเฟ่ต์ที่จัดขึ้นทุกวันอาทิตย์ (โดยมีแค่เมนูเนื้ออบออสเตรเลียเพียงอย่างเดียว) ในราคาเพียง 595 บาท ถ้าดื่มไวน์ด้วยราคาแค่ 699 บาททานได้ตั้งแต่ 12:00 น.ถึง 18:00 น. แต่บุฟเฟ่ต์ที่เราจะเข้าไปทานกันวันนี้ เป็นในรูปแบบของสเต็กชั้นดี ที่เข้าไปที่ร้านทานได้ทุกวัน ไม่ต้องรอแค่วันอาทิตย์ เนื้อวัวที่ทางร้านเลือกใช้เสิร์ฟในบุฟเฟ่ต์จะดีแค่ไหนกันแน่? เดี๋ยวเข้าไปพิสูจน์ความอร่อยด้วยกันครับ
มาถึงหน้าร้านแว๊บแรกต้องยอมรับตามตรงว่าไม่ได้นึกถึงร้านสเต็กเลย นึกว่าร้านนั่งดื่มแถวนี้ (ถ้ามีผู้หญิงมานั่งหน้าร้านก็คือใช่เลย แถมอยู่ซอยติดๆกันด้วย) แต่พอมองอ่านป้ายดีๆก็คือเป็นร้านสเต็กนี่เอง มีโปรโมชั่นที่เราได้บอกไปแล้วเบื้องต้นวางอยู่เป็นป้ายใหญ่หน้าร้าน ใครที่สูบบุหรี่หรืออยากชิลล์กับเพื่อนก็สามารถนั่งบริเวณด้านหน้าร้านตรงนี้ได้ แต่สำหรับผมแล้ววันนี้อากาศค่อนข้างร้อน อีกอย่างเก้าอี้สูงนั่งไม่ค่อยสบาย ขอเข้าไปข้างในดีกว่าครับ
เดินเข้ามาในร้านครั้งแรกอยู่ดีๆก็มีชาวต่างชาติคนนึง เข้ามาต้อนรับเราเป็นอย่างดี ซึ่งเราก็ไม่ค่อยสันทัดภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่ก็เลยรู้สึกเกรงๆนิดนึง มองหาและเรียกให้น้องพนักงานที่เป็นคนไทยมาช่วยบริการแทน เพราะว่าพูดภาษาอังกฤษกันไม่ค่อยแข็งแรง ศัพท์ภายในร้านอาหารใช้ไม่ค่อยเป็น น้องพนักงานบอกว่าคนนี้เป็นผู้จัดการร้าน เพราะที่นี่นานๆจะมีคนไทยเข้ามาที่ร้านนี้ทีนึง (ดูแล้วเอาใจใส่ค่อนข้างดีเลยครับ) บรรยากาศการตกแต่งภายในร้าน เป็นสไตล์ลอฟท์ ตัดด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้หุ้มหนังสีแดงทั้งร้าน รวมถึงการเล่นแสงต่างๆภายในร้าน โดยเฉพาะบริเวณบาร์เครื่องดื่มก็เป็นแสงสีแดงเช่นเดียวกัน รู้สึกถึงความเป็นร้านสเต็กขึ้นมาแล้ว ก่อนอื่นเราต้องหาที่นั่งกันก่อนครับ
โดยเมนูที่เราจะสั่งวันนี้ เป็น All You Can Eat Steak ราคาคนละ 995 บาท Net. โดยในชุดสามารถเลือกได้ว่าจะทานซุปหรือสลัด (เลือกได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่งและไม่สามารถเติมได้) สเต็กมีแต่เนื้อวัวที่สามารถสั่งได้ไม่อั้นเป็น Australian Grass Fed Steaks มีให้เลือกทาน 2 ส่วนเป็น Striploin และ Ribeye (โดยในแต่ละจานสามารถเลือกได้ว่าจะเสิร์ฟมันฝรั่งแบบไหนและจะทานกับซอสอะไร) เมื่อทานจนอิ่มแล้วก็เลือกได้ว่าจะทานเป็นไอศครีมหรือช็อกโกแลตมูส(เลือกได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่งแค่ถ้วยเดียว) ส่วนเครื่องดื่มมีให้เลือกเป็นไวน์ขาว (sparking wine) หรือไวน์แดง (เลือกได้คนละ 1 แก้ว) เหมือนเป็นบุฟเฟ่ต์กึ่งอาหารคอร์ส แต่สามารถเติมเนื้อได้เรื่อยๆจนกว่าจะอิ่ม ยิ่งเป็นเนื้อออสเตรเลียเกรดที่เลี้ยงด้วยหญ้าแบบนี้ ราคาไม่ถูกแน่นอนครับ (ใครอยากรู้ว่าเนื้อของวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้าต่างจากปกติยังไง ไปหาข้อมูลเองนะครับ) ส่วนใครที่ดื่มน้ำเยอะอาจจะไม่ถูกใจสิ่งนี้ เพราะต้องเสียตังค์ค่าน้ำเพิ่มเติม ทางร้านเลยแนบใบ Free flow cocktail มาให้ด้วยราคา 699 บาท สั่งได้ทั้งค็อกเทลและม็อกเทลไม่อั้น 9 เมนู ถ้านับเฉลี่ยเมนูละ 100 บาทนับก็ถือว่าคุ้ม มองหน้ากันว่าจะเอายังไงจะเพิ่มไหม สรุปคือเอาด้วยครับเพราะว่าแฟนผมอยากดื่ม ไหนๆก็มาแล้วจัดเต็มเลยแล้วกัน เป็นชุด 995 + 699 บาท นั่งทานได้ 2 ชั่วโมงครับผม
สั่งอาหารชุดแรกไปเรียบร้อย อยู่ดีๆทางร้านก็ยกกล่องสีแดงขนาดใหญ่นี้ออกมา มันคือชุดมีดสำหรับทานกับสเต็กครับ โดยเราสามารถเลือกได้ตามใจเลยว่าจะใช้มีดขนาดใหญ่หรือมีดขนาดเล็ก ไปจนถึงมีดหั่นแบบปกติ ด้วยความสงสัยเลยถามน้องพนักงานว่ามันต่างกันยังไง ? น้องบอกว่าไม่ต่างกันค่ะ แต่อันใหญ่จะช่วยทำให้มีแรงในการหั่นมากกว่า แต่ถ้าไม่ถนัดจะเปลี่ยนเป็นอันเล็กแทนก็ได้ อันนี้แล้วแต่ตามความถนัดของลูกค้าเลือกหยิบได้เลย งั้นหยิบอันใหญ่แล้วกันครับ เผื่อเนื้อเหนียวจะได้ไม่เหนื่อยมาก ถึงเนื้อในเมนูที่นี่ถึงจะบอกว่าชั้นดี แต่เราก็ไม่ไว้ใจครับ
ครัวที่นี่เป็นแบบกระจก เราเลยสามารถเก็บบรรยากาศภายในครัวกลับมาได้ หัวหน้าเชฟ ของที่นี่เป็นชาวต่างประเทศ ดูฝีมือการย่างเนื้อแล้วไม่ธรรมดา เตาที่ใช้น่าจะเป็นเตาเหล็กที่ใช้ถ่าน ไฟค่อนข้างแรง (สังเกตได้จากควันโขมง) ย่างจนเกรียมเป็นลายตารางสวยงาม นอกจากจะย่างได้สวยงามตามที่สั่งแล้ว ยังมีการพักเนื้อก่อนเสิร์ฟอีกด้วย เรียกได้ว่าฝีมือการย่างเนื้อไม่ธรรมดาจริงๆครับ เสิร์ฟชิ้นค่อนข้างใหญ่ทีเดียว ถามน้องพนักงานว่าชิ้นละกี่กรัม ? ชิ้นละ 250 กรัมค่ะ ถ้าทานสัก 4 ชิ้นก็ 1 กก.ก็คุ้มราคาบุฟเฟ่ต์แล้ว เนื้อจะคุณภาพดีแค่ไหน เดี๋ยวรอไปเสิร์ฟครับ
ค็อกเทลและม็อกเทลในบุฟเฟ่ต์ราคา 699 บาท นั่งดื่มได้เต็มที่ตลอด 2 ชั่วโมงเต็ม เมื่อเราสั่งปุ๊บบาร์เทนเดอร์ก็จะทำการชงให้สดใหม่แก้วต่อแก้ว เราสามารถเดินมาชมลีลาการชงของบาร์เทนเดอร์ได้ที่นี่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนที่ดื่มบ่อยๆแต่เท่าที่ดูแล้วฝีมือก็ไม่ธรรมดา เดี๋ยวลองสั่งมาชิมก่อนสัก 2 เมนูครับ ถ้าถูกใจเมนูไหนค่อยมาสั่งเพิ่มเอา ส่วนใครที่อยากมาดื่มแบบบุฟเฟ่ต์ไม่ทานสเต็กที่ร้านก็สามารถเข้ามานั่งดื่มได้ครับ สอบถามทางร้านให้เรียบร้อย
Cocktail 2 แก้วแรกสั่งเป็น Singapore Slin (Gin,Cherry, Grenadine,Lime) และ Cosmopolitan (Vodka,Triple Sec,Cranberry,Lime,Syrup) รสชาติของ Cocktail ออกไปทางเปรี้ยว มีกลิ่นแอลกอฮอล์บางๆรสชาติทานค่อนข้างง่าย (ผมบอกให้เขาใส่แอลกอฮอล์น้อยๆ) พอมีกลิ่น รสชาติหวานอ่อนๆทานเพลินดีครับ
สำหรับคนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอลล์ก็สั่งเป็นม็อกเทลมาทานได้ สั่งมาชิมสัก 2 เมนู เมนูแรกชื่อ Shirley Temple (Orange, Grenadine,Lime, Syrup,Soda) มันคือน้ำส้มโซดาใส่มะนาวที่เพิ่มน้ำเชื่อมสีแดงลงไป รสชาติหวานเปรี้ยวซ่า 2. Mango Mule (Ginger,Alo,Lime,Mint,Mango) น้ำมะม่วงผสมขิงว่านหางจระเข้เคี้ยวหนึบมีความเปรี้ยวและหอมกลิ่นมิ้นท์ส่วนตัวแล้วชอบแก้วนี้ที่สุดในบรรดาทั้งหมด สั่งมาเบิ้ลอีกแก้วด้วย ทานแล้วสดชื่นดีครับ
สลัดและซุปมาเสิร์ฟก่อนตามคอร์สเมนูที่เราสั่งไป วันนี้เป็นซีซ่าสลัด ใส่เบคอนทอด ขนมปังกรอบ ราดด้วยน้ำสลัดซีซ่าโรยหน้าด้วยพาเมซานชีสและปลาแองโชวี่ ปกติไปทานซีซ่าสลัดที่อื่นมักจะไม่ค่อยเห็นใส่ปลาแองโชวี่ ส่วนใครที่กลัวกลิ่นของมันนั้นบอกเลยว่าร้านนี้ไม่มีกลิ่นรุนแรง มีความคล้ายๆกับทานปลาเค็มตัวเล็ก วิธีการทานคือสับปลาให้เป็นชิ้นเล็กๆและคลุกกับสลัดรสชาติหวานมัน หอมกลิ่นพาเมซานชีส ตัดด้วยความเค็มมันของปลา กรอบเบคอนทอดกับขนมปังกรอบ รสชาติลงตัวสุดๆ ส่วนซุปของที่ร้านเสิร์ฟเป็นซุปมันฝรั่ง ที่มีความคล้ายกับมันฝรั่งบดรสชาติหอมมันทานง่าย ไม่หนักหน่วงครีมมากจนเกินไปได้ ซดเรื่อยๆ (แต่พอตั้งทิ้งให้เย็นแล้วแอบเหนียวและเค็มเหมือนกันนะ) ถ้าส่วนตัวแล้วแนะนำว่าให้สั่งเป็นสลัด เพราะใส่วัตถุดิบที่หลากหลายและทานแล้วสดชื่นมากกว่า ส่วนใครไม่ชอบทานผัก ก็สั่งเป็นซุปแทนครับ แต่แนะนำว่าอย่าทิ้งเอาไว้จนเย็นนะ โดยรวมแล้วรสชาติผ่านเลยครับ
ก่อนที่สเต็กเนื้อจะมาเสิร์ฟ ทางร้านก็จะทำการเสิร์ฟไวน์ให้ทานคู่กับเนื้อ มีให้เลือกทั้งไวน์ขาวแบบ sparking wine และไวน์แดง ไวน์ขาวรสชาติเปรี้ยวซ่าหอมกลิ่นองุ่นอ่อนๆทานง่าย แต่ส่วนตัวแล้วว่าน่าจะเหมาะกับจานปลามากกว่า ส่วนใครที่เป็นสายเนื้อและไวน์ล่ะก็แนะนำให้สั่งเป็นไวน์แดง ดื่มเข้าไปครั้งแรกมีความหอมกลิ่นไม้โอ๊คเต็มปาก ตามด้วยกลิ่นขององุ่นบางๆ มีความฝาดอ่อนๆ ขมในคอนิดๆเวลากลืน ส่วนกลิ่นแอลกอฮอล์นั้นไม่ค่อยรุนแรงมาก ถ้าได้ทานกับเนื้อวัวดีๆ บอกเลยว่าเข้ากันสุดๆ แต่ในบุฟเฟ่ต์เสิร์ฟไวน์ชั้นดีขนาดนี้เลยหรอ ? สอบถามพนักงานได้ความว่าไวน์ของที่นี่นำเข้าจากประเทศอิตาลี มีคลังเก็บไวน์อยู่หลังร้าน โดยไวน์ที่นำมาเสิร์ฟนี้ยกมาทั้งถังไม้โอ๊ค มีเครื่องจ่ายไวน์อยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ ตอบไม่ได้ว่าหมักแต่ปีไหน แต่รสชาติแตกต่างจากไวน์ขวดที่ซื้อทั่วไปแน่นอน
เมนูแรกเป็นสเต็กเนื้อส่วนริปอายย่างแบบ Medium Rare เสิร์ฟมาพร้อมกับเนยทรัฟเฟิล มันฝรั่งทอดแบบหยัก และกระเทียมย่าง โดยซอสของที่ร้านมีให้เลือกทั้งหมด 6 แบบ (เดี๋ยวเราจะไล่ชิมให้หมดทุกแบบ) ส่วนฝีมือของเชฟในการย่างสเต็กนั้นบอกเลยว่าสุดยอด ด้านนอกเกรียมสวย ด้านในอมชมพูได้ดั่งใจ ตามแบบฉบับเนื้อสเต็กที่ดีในอุดมคติ เนื้อส่วนริบอายเป็นส่วนที่แทรกไขมันนุ่ม ไม่มีกลิ่นเลือดหรือกินคาวแบบเนื้อออสเตรเลียปกติตามร้านบุฟเฟ่ต์ (นี่คือความแตกต่างของเนื้อวัวที่เลี้ยวด้วยหญ้า) มันคือสเต็กเนื้อชั้นดี ที่พิถีพิถันในการย่างและค่อยนำมาเสิร์ฟ ทานคู่กับเนยเห็ด truffle เพิ่มความหอมมันในปาก และแก้เลี่ยนด้วยกระเทียมย่างอีกนิด Perfect สุดๆครับ
****** เกิน 10,000 ตัวอักษร ขอรีวิวต่อในช่อง Comment นะครับ *****
[CR] รีวิว SteakHouse Co บุฟเฟ่ต์เนื้อย่างคุณภาพสูงกับไวน์รสชาติเยี่ยม และค๊อกเทลไม่อั้นเริ่มที่ 995 บาท!
มาถึงหน้าร้านแว๊บแรกต้องยอมรับตามตรงว่าไม่ได้นึกถึงร้านสเต็กเลย นึกว่าร้านนั่งดื่มแถวนี้ (ถ้ามีผู้หญิงมานั่งหน้าร้านก็คือใช่เลย แถมอยู่ซอยติดๆกันด้วย) แต่พอมองอ่านป้ายดีๆก็คือเป็นร้านสเต็กนี่เอง มีโปรโมชั่นที่เราได้บอกไปแล้วเบื้องต้นวางอยู่เป็นป้ายใหญ่หน้าร้าน ใครที่สูบบุหรี่หรืออยากชิลล์กับเพื่อนก็สามารถนั่งบริเวณด้านหน้าร้านตรงนี้ได้ แต่สำหรับผมแล้ววันนี้อากาศค่อนข้างร้อน อีกอย่างเก้าอี้สูงนั่งไม่ค่อยสบาย ขอเข้าไปข้างในดีกว่าครับ
เดินเข้ามาในร้านครั้งแรกอยู่ดีๆก็มีชาวต่างชาติคนนึง เข้ามาต้อนรับเราเป็นอย่างดี ซึ่งเราก็ไม่ค่อยสันทัดภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่ก็เลยรู้สึกเกรงๆนิดนึง มองหาและเรียกให้น้องพนักงานที่เป็นคนไทยมาช่วยบริการแทน เพราะว่าพูดภาษาอังกฤษกันไม่ค่อยแข็งแรง ศัพท์ภายในร้านอาหารใช้ไม่ค่อยเป็น น้องพนักงานบอกว่าคนนี้เป็นผู้จัดการร้าน เพราะที่นี่นานๆจะมีคนไทยเข้ามาที่ร้านนี้ทีนึง (ดูแล้วเอาใจใส่ค่อนข้างดีเลยครับ) บรรยากาศการตกแต่งภายในร้าน เป็นสไตล์ลอฟท์ ตัดด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้หุ้มหนังสีแดงทั้งร้าน รวมถึงการเล่นแสงต่างๆภายในร้าน โดยเฉพาะบริเวณบาร์เครื่องดื่มก็เป็นแสงสีแดงเช่นเดียวกัน รู้สึกถึงความเป็นร้านสเต็กขึ้นมาแล้ว ก่อนอื่นเราต้องหาที่นั่งกันก่อนครับ
โดยเมนูที่เราจะสั่งวันนี้ เป็น All You Can Eat Steak ราคาคนละ 995 บาท Net. โดยในชุดสามารถเลือกได้ว่าจะทานซุปหรือสลัด (เลือกได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่งและไม่สามารถเติมได้) สเต็กมีแต่เนื้อวัวที่สามารถสั่งได้ไม่อั้นเป็น Australian Grass Fed Steaks มีให้เลือกทาน 2 ส่วนเป็น Striploin และ Ribeye (โดยในแต่ละจานสามารถเลือกได้ว่าจะเสิร์ฟมันฝรั่งแบบไหนและจะทานกับซอสอะไร) เมื่อทานจนอิ่มแล้วก็เลือกได้ว่าจะทานเป็นไอศครีมหรือช็อกโกแลตมูส(เลือกได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่งแค่ถ้วยเดียว) ส่วนเครื่องดื่มมีให้เลือกเป็นไวน์ขาว (sparking wine) หรือไวน์แดง (เลือกได้คนละ 1 แก้ว) เหมือนเป็นบุฟเฟ่ต์กึ่งอาหารคอร์ส แต่สามารถเติมเนื้อได้เรื่อยๆจนกว่าจะอิ่ม ยิ่งเป็นเนื้อออสเตรเลียเกรดที่เลี้ยงด้วยหญ้าแบบนี้ ราคาไม่ถูกแน่นอนครับ (ใครอยากรู้ว่าเนื้อของวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้าต่างจากปกติยังไง ไปหาข้อมูลเองนะครับ) ส่วนใครที่ดื่มน้ำเยอะอาจจะไม่ถูกใจสิ่งนี้ เพราะต้องเสียตังค์ค่าน้ำเพิ่มเติม ทางร้านเลยแนบใบ Free flow cocktail มาให้ด้วยราคา 699 บาท สั่งได้ทั้งค็อกเทลและม็อกเทลไม่อั้น 9 เมนู ถ้านับเฉลี่ยเมนูละ 100 บาทนับก็ถือว่าคุ้ม มองหน้ากันว่าจะเอายังไงจะเพิ่มไหม สรุปคือเอาด้วยครับเพราะว่าแฟนผมอยากดื่ม ไหนๆก็มาแล้วจัดเต็มเลยแล้วกัน เป็นชุด 995 + 699 บาท นั่งทานได้ 2 ชั่วโมงครับผม
สั่งอาหารชุดแรกไปเรียบร้อย อยู่ดีๆทางร้านก็ยกกล่องสีแดงขนาดใหญ่นี้ออกมา มันคือชุดมีดสำหรับทานกับสเต็กครับ โดยเราสามารถเลือกได้ตามใจเลยว่าจะใช้มีดขนาดใหญ่หรือมีดขนาดเล็ก ไปจนถึงมีดหั่นแบบปกติ ด้วยความสงสัยเลยถามน้องพนักงานว่ามันต่างกันยังไง ? น้องบอกว่าไม่ต่างกันค่ะ แต่อันใหญ่จะช่วยทำให้มีแรงในการหั่นมากกว่า แต่ถ้าไม่ถนัดจะเปลี่ยนเป็นอันเล็กแทนก็ได้ อันนี้แล้วแต่ตามความถนัดของลูกค้าเลือกหยิบได้เลย งั้นหยิบอันใหญ่แล้วกันครับ เผื่อเนื้อเหนียวจะได้ไม่เหนื่อยมาก ถึงเนื้อในเมนูที่นี่ถึงจะบอกว่าชั้นดี แต่เราก็ไม่ไว้ใจครับ
ครัวที่นี่เป็นแบบกระจก เราเลยสามารถเก็บบรรยากาศภายในครัวกลับมาได้ หัวหน้าเชฟ ของที่นี่เป็นชาวต่างประเทศ ดูฝีมือการย่างเนื้อแล้วไม่ธรรมดา เตาที่ใช้น่าจะเป็นเตาเหล็กที่ใช้ถ่าน ไฟค่อนข้างแรง (สังเกตได้จากควันโขมง) ย่างจนเกรียมเป็นลายตารางสวยงาม นอกจากจะย่างได้สวยงามตามที่สั่งแล้ว ยังมีการพักเนื้อก่อนเสิร์ฟอีกด้วย เรียกได้ว่าฝีมือการย่างเนื้อไม่ธรรมดาจริงๆครับ เสิร์ฟชิ้นค่อนข้างใหญ่ทีเดียว ถามน้องพนักงานว่าชิ้นละกี่กรัม ? ชิ้นละ 250 กรัมค่ะ ถ้าทานสัก 4 ชิ้นก็ 1 กก.ก็คุ้มราคาบุฟเฟ่ต์แล้ว เนื้อจะคุณภาพดีแค่ไหน เดี๋ยวรอไปเสิร์ฟครับ
ค็อกเทลและม็อกเทลในบุฟเฟ่ต์ราคา 699 บาท นั่งดื่มได้เต็มที่ตลอด 2 ชั่วโมงเต็ม เมื่อเราสั่งปุ๊บบาร์เทนเดอร์ก็จะทำการชงให้สดใหม่แก้วต่อแก้ว เราสามารถเดินมาชมลีลาการชงของบาร์เทนเดอร์ได้ที่นี่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนที่ดื่มบ่อยๆแต่เท่าที่ดูแล้วฝีมือก็ไม่ธรรมดา เดี๋ยวลองสั่งมาชิมก่อนสัก 2 เมนูครับ ถ้าถูกใจเมนูไหนค่อยมาสั่งเพิ่มเอา ส่วนใครที่อยากมาดื่มแบบบุฟเฟ่ต์ไม่ทานสเต็กที่ร้านก็สามารถเข้ามานั่งดื่มได้ครับ สอบถามทางร้านให้เรียบร้อย
Cocktail 2 แก้วแรกสั่งเป็น Singapore Slin (Gin,Cherry, Grenadine,Lime) และ Cosmopolitan (Vodka,Triple Sec,Cranberry,Lime,Syrup) รสชาติของ Cocktail ออกไปทางเปรี้ยว มีกลิ่นแอลกอฮอล์บางๆรสชาติทานค่อนข้างง่าย (ผมบอกให้เขาใส่แอลกอฮอล์น้อยๆ) พอมีกลิ่น รสชาติหวานอ่อนๆทานเพลินดีครับ
สำหรับคนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอลล์ก็สั่งเป็นม็อกเทลมาทานได้ สั่งมาชิมสัก 2 เมนู เมนูแรกชื่อ Shirley Temple (Orange, Grenadine,Lime, Syrup,Soda) มันคือน้ำส้มโซดาใส่มะนาวที่เพิ่มน้ำเชื่อมสีแดงลงไป รสชาติหวานเปรี้ยวซ่า 2. Mango Mule (Ginger,Alo,Lime,Mint,Mango) น้ำมะม่วงผสมขิงว่านหางจระเข้เคี้ยวหนึบมีความเปรี้ยวและหอมกลิ่นมิ้นท์ส่วนตัวแล้วชอบแก้วนี้ที่สุดในบรรดาทั้งหมด สั่งมาเบิ้ลอีกแก้วด้วย ทานแล้วสดชื่นดีครับ
สลัดและซุปมาเสิร์ฟก่อนตามคอร์สเมนูที่เราสั่งไป วันนี้เป็นซีซ่าสลัด ใส่เบคอนทอด ขนมปังกรอบ ราดด้วยน้ำสลัดซีซ่าโรยหน้าด้วยพาเมซานชีสและปลาแองโชวี่ ปกติไปทานซีซ่าสลัดที่อื่นมักจะไม่ค่อยเห็นใส่ปลาแองโชวี่ ส่วนใครที่กลัวกลิ่นของมันนั้นบอกเลยว่าร้านนี้ไม่มีกลิ่นรุนแรง มีความคล้ายๆกับทานปลาเค็มตัวเล็ก วิธีการทานคือสับปลาให้เป็นชิ้นเล็กๆและคลุกกับสลัดรสชาติหวานมัน หอมกลิ่นพาเมซานชีส ตัดด้วยความเค็มมันของปลา กรอบเบคอนทอดกับขนมปังกรอบ รสชาติลงตัวสุดๆ ส่วนซุปของที่ร้านเสิร์ฟเป็นซุปมันฝรั่ง ที่มีความคล้ายกับมันฝรั่งบดรสชาติหอมมันทานง่าย ไม่หนักหน่วงครีมมากจนเกินไปได้ ซดเรื่อยๆ (แต่พอตั้งทิ้งให้เย็นแล้วแอบเหนียวและเค็มเหมือนกันนะ) ถ้าส่วนตัวแล้วแนะนำว่าให้สั่งเป็นสลัด เพราะใส่วัตถุดิบที่หลากหลายและทานแล้วสดชื่นมากกว่า ส่วนใครไม่ชอบทานผัก ก็สั่งเป็นซุปแทนครับ แต่แนะนำว่าอย่าทิ้งเอาไว้จนเย็นนะ โดยรวมแล้วรสชาติผ่านเลยครับ
ก่อนที่สเต็กเนื้อจะมาเสิร์ฟ ทางร้านก็จะทำการเสิร์ฟไวน์ให้ทานคู่กับเนื้อ มีให้เลือกทั้งไวน์ขาวแบบ sparking wine และไวน์แดง ไวน์ขาวรสชาติเปรี้ยวซ่าหอมกลิ่นองุ่นอ่อนๆทานง่าย แต่ส่วนตัวแล้วว่าน่าจะเหมาะกับจานปลามากกว่า ส่วนใครที่เป็นสายเนื้อและไวน์ล่ะก็แนะนำให้สั่งเป็นไวน์แดง ดื่มเข้าไปครั้งแรกมีความหอมกลิ่นไม้โอ๊คเต็มปาก ตามด้วยกลิ่นขององุ่นบางๆ มีความฝาดอ่อนๆ ขมในคอนิดๆเวลากลืน ส่วนกลิ่นแอลกอฮอล์นั้นไม่ค่อยรุนแรงมาก ถ้าได้ทานกับเนื้อวัวดีๆ บอกเลยว่าเข้ากันสุดๆ แต่ในบุฟเฟ่ต์เสิร์ฟไวน์ชั้นดีขนาดนี้เลยหรอ ? สอบถามพนักงานได้ความว่าไวน์ของที่นี่นำเข้าจากประเทศอิตาลี มีคลังเก็บไวน์อยู่หลังร้าน โดยไวน์ที่นำมาเสิร์ฟนี้ยกมาทั้งถังไม้โอ๊ค มีเครื่องจ่ายไวน์อยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ ตอบไม่ได้ว่าหมักแต่ปีไหน แต่รสชาติแตกต่างจากไวน์ขวดที่ซื้อทั่วไปแน่นอน
เมนูแรกเป็นสเต็กเนื้อส่วนริปอายย่างแบบ Medium Rare เสิร์ฟมาพร้อมกับเนยทรัฟเฟิล มันฝรั่งทอดแบบหยัก และกระเทียมย่าง โดยซอสของที่ร้านมีให้เลือกทั้งหมด 6 แบบ (เดี๋ยวเราจะไล่ชิมให้หมดทุกแบบ) ส่วนฝีมือของเชฟในการย่างสเต็กนั้นบอกเลยว่าสุดยอด ด้านนอกเกรียมสวย ด้านในอมชมพูได้ดั่งใจ ตามแบบฉบับเนื้อสเต็กที่ดีในอุดมคติ เนื้อส่วนริบอายเป็นส่วนที่แทรกไขมันนุ่ม ไม่มีกลิ่นเลือดหรือกินคาวแบบเนื้อออสเตรเลียปกติตามร้านบุฟเฟ่ต์ (นี่คือความแตกต่างของเนื้อวัวที่เลี้ยวด้วยหญ้า) มันคือสเต็กเนื้อชั้นดี ที่พิถีพิถันในการย่างและค่อยนำมาเสิร์ฟ ทานคู่กับเนยเห็ด truffle เพิ่มความหอมมันในปาก และแก้เลี่ยนด้วยกระเทียมย่างอีกนิด Perfect สุดๆครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น