เพราะภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญทั้งในปัจจุบัน และอนาคต ยิ่งเรียนมหาลัยแล้ว ยิ่งต้องฝึกฝนให้หนักกว่าเดิม เพราะการเรียนรู้ภาษาอังกฤษไม่ได้มีแค่ใช้เอาตัวรอดกับการพูดคุยกับชาวต่างชาติเพียงอย่างเดียว เรายังสามารถยื่นขอทุนจากทางสถานศึกษา การเรียนต่อต่างประเทศ การยื่นสมัครงานตามสถานประกอบการต่างๆ ไปจนถึงการขอขึ้นเงินเดือนในที่ทำงานอีกด้วย TOEIC เป็นหนึ่งในเกณฑ์ที่ใช้วัดระดับภาษา อยากจะก้าวไวกว่าคนอื่น เราก็ต้องฝึกฝนเพื่อเตรียมตัวสอบ TOEIC
สิ่งที่ต้องเตรียมไปสำหรับสอบ TOEIC มีแค่บัตรประชาชน ไม่ต้องเอาปากกา ดินสอเข้าไปนะครับ ทางศูนย์สอบเขาจัดให้เรียบร้อยแล้ว
ผมได้
TOEIC 860/990 คะแนน แบ่งเป็น Listening 490 กับ Reading 370 ตัวข้อสอบ TOEIC มีทั้งหมด 2 ส่วนใหญ่ นั่นคือ Listening กับ Reading ครับ วันนี้ผมจะมาแบ่งปันเทคนิคพิชิตข้อสอบ TOEIC
เริ่มที่ส่วนของ
Listening ก่อนเลยละกัน มีทั้งหมด 4 Part ย่อย รวม 100 ข้อ ในเวลา 45 นาที แบ่งเป็น
Part 1: Photographs
Part 2: Question and Response
Part 3: Short Conversations
Part 4: Short Talks
ในส่วนแรก
Photographs นี่ตรงตัวเลย ในเล่มคำถามเขาจะให้รูปภาพมา10 รูป เราต้องฟัง Choice ตามที่ได้ยินแล้วเลือกให้สอดคล้องกับรูปที่สุด เราควรดูองค์ประกอบทั้งหมดของรูปภาพที่ข้อสอบให้มาว่ามีอะไรบ้าง หรือเหตุการณ์ใดกำลังเกิดขึ้น และก็ Detail เล็กๆ มีจุดไหนที่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะเสียงที่พูดออกมา อาจเกี่ยวกับจุดเล็กๆก็ได้
ในส่วนที่ 2
Question and Response ก็ตรงตัวอีกเช่นกัน ก็คือถาม-ตอบ หรือเกี่ยวกับ Statement 2 อันก็ได้ (การโต้ตอบบทสนทนา) มี 30 ข้อ ไม่มีทั้งตัวคำถามและคำตอบเช่นกัน ข้อความที่จะพิมพ์ มาให้ในข้อสอบก็คือ“Mark your answer on your answer sheet” แค่นั้น ข้อสอบส่วนนี้เน้นการฟังอย่างเดียวเลย ตัวอย่างโจทย์ก็จะประมาณว่า
11) "Where’s the meeting room?"
A) It’s on Wednesday.
B) Yeah, I like that too.
C) It’s across Marsha’s office.
เราต้องตอบข้อ C) “It’s across Marsha’s office” (อยู่ตรงข้ามออฟฟิศของมาร์ช่า) เพราะ Keyword ของโจทย์ข้อนี่คือ “Where (ที่ไหน)”
หรือโจทย์อีกแบบที่เป็นไปได้คือ
12) “I’ll make a copy for you.”
A) Make it 5.
B) I’ll have a coffee with milk.
C) I’ll go to the café at noon.
ตัวเลือกที่ถูกต้องคือ A) “Make it 5” (เอา 5 ชุด) สิ่งที่ควรระวังไว้คือ Question Words (What, Where, When, Why, How) พวก Verb ช่วยต่างๆที่ออกเสียงคล้ายกัน (Do Does Did Could Should Would ฯลฯ) ในเคสนี้คือคำว่า (Copy - Coffee - Café)
ในส่วนที่ 3 จะเป็น
Short Conversation มี 30 ข้อ (มีคำถาม3 ข้อ ต่อ 1 บทสนทนา)
โดยจะเป็นการสนทนาระหว่างชาย-หญิง เทคนิคการทำข้อสอบส่วนนี้คือให้เราศึกษาโจทย์ทั้ง3 ข้อ
ว่าถามอะไรเราบ้าง หา Keyword ต่างๆ เพราะตอนฟัง เราสามารถเลือกคำตอบพร้อมๆกันได้เลย
และในส่วนสุดท้ายของการฟัง (ส่วน 4 :
Short Talks) มี 30 ข้อ จะเป็นการพูดโดยบุคคลคนเดียว เช่นประกาศตามสถานีรถไฟ/สนามบิน รายการวิทยุ โฆษณาต่างๆ ทัวร์ชมพิพิธภัณฑ์ ไปจนถึงการพรีเซนต์ธุรกิจ เทคนิคการทำส่วน 3 ก็คือหาKeywordดังนั้นตอนฟังเราจะได้ทำควบคู่ไปได้ด้วย
ในส่วนของ
Reading มีทั้งหมด 3 Part จำนวน 100 ข้อเช่นกัน มีเวลาทำ 75 นาที แบ่งเป็น
Part 5: Incomplete Sentences
Part 6: Text Completion
Part 7: Reading Comprehension
ในส่วน 5
Incomplete Sentence มี 40 ข้อ โฟกัสความรู้ grammar ล้วนๆ ถามตั้งแต่ Basics อย่างคำนาม คำสรรพนาม กิริยา ฯลฯ ไปจนถึงคำเชื่อมหลายๆแบบ รูปแบบประโยคทั้ง Simple, Compound, Complex Sentences, Passive Voice เป็นต้น เทคนิคการทำข้อสอบส่วนนี้คือการดูคำข้างหน้า
และข้างหลังช่องว่าง “_______” ว่าควรเป็นคำประเภทไหน เราจะสามารถไล่ตัด Choice ได้เยอะ แต่บางข้อก็ต้องคำนึงถึงความหมายของแต่ละคำด้วยนะ ตัวอย่างคำถามก็…
101) Mr. Rogers will _________ the technical manual into German.
A. translate B. translation
C. translator D. translatable
จากโจทย์เราสามารถสังเกตได้ว่ามีช่องว่างอยู่ระหว่างwill กับ the technical manual ซึ่งที่เรียนมา will จัดเป็น Modal Verbs (กิริยาช่วย) ซึ่งต้องตามด้วยกิริยาไม่ผันรูป (Infinitive) เท่านั้น ก็เลยตอบ ข้อ A. translate (V./ แปล) หรือเราจะดูจาก Word Formsของคำพวกนี้ก็ได้ ถ้าดูดีๆ ข้อ B. translation
กับ C. translator เป็นคำนามทั้งคู่ ต่างกันที่ translation แปลว่า “การแปล”และ translator แปลว่า “ล่าม” ตามหลัก grammar คือเราจะวาง
คำนามหน้าคำนามไม่ได้ ส่วนข้อ D. translatable เป็น Adjective แปลว่า “ซึ่งแปลความหมายได้”
สามารถวางหน้าคำนามได้ แต่ Adjective ไม่สามารถวางหลังกิริยาช่วยไม่ได้
หรือเราจะเจอโจทย์แบบนี้
102) Contrary to my expectation, Martin is not only smart ________ hardworking.
A. Or B. But
C. Neither D. And
จากโจทย์ มีคีย์เวิร์ดอยู่ว่า “Not Only” ไว้แล้ว ทำให้รู้ว่าเราต้องตอบข้อ B. But แน่นอน เพราะโจทย์นี้เขาวัดความรู้ Correlative Conjunction (คำเชื่อมที่มาคู่กัน อย่าง Either…or…หรือ Both…and….) ในกรณีนี้Not Only มาคู่กับ But Also (ใช้คำว่า Butแทนก็ได้) ซึ่งโจทย์นี้แปลได้ว่า “ตรงข้ามกับที่ฉันคาดไว้ มาร์ติน
ไม่ได้แค่ฉลาด แต่ก็ขยันอีกด้วย” ข้อ Choice อื่นๆ A. Or คู่กับ Either ข้อ C. Neither คู่กับ Nor และ D. And คู่กับ Both
มาในส่วน6
T ext Completion มี 4หัวข้อใหญ่ หัวข้อละ 3 ข้อย่อย รวมแล้วมี 12 ข้อย่อย จะเป็นการเติมคำศัพท์ให้เข้ากับประเภทของ Text ที่เขาให้มา จะเป็นประกาศโฆษณา จดหมาย อีเมล์ รีพอร์ตสั้นๆ และคำที่ให้มาถ้าไม่เป็นWord Forms คล้ายๆกัน (คำนาม กิริยา คุณศัพท์ วิเศษณ์) ก็จะเป็นคำที่มีความหมายคล้ายกันไปเลย ทางที่ดีที่สุดคือการดูบริบทรอบๆว่าเขียนเรื่องเกี่ยวกับอะไร เป็นศัพท์เฉพาะทางรึเปล่า แต่สิ่งที่ควรจำไว้คือ ส่วนนี้มีจำนวนข้อ
น้อยที่สุดดังนั้นไม่ควรใช้เวลามากเกินไป ในส่วนนี้ ควรกำหนดเวลาไว้ให้เสร็จภายใน 10 นาที (รวมตรวจทานแล้วนะครับ)
ในส่วนสุดท้าย หรือ ส่วนที่ 7
Reading Comprehension มี 48 ข้อ แบ่งเป็นทั้ง Single Passage (บทความเดี่ยว) กับ Double Passages(บทความคู่) จะมีคำถามเริ่มตั้งแต่ 2ข้อไปจนสูงสุดที่ 5 ข้อ พวก 2-3 ข้อจะเกี่ยวกับ แบบฟอร์มการเคลมสินค้า พวกประกาศ Saleโน๊ตย่อต่างๆ ในขณะที่ 4-5 ข้อจะเป็น Double Passage หมด โดยพวกบทความคู่ ที่จะมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกัน เช่น ตารางการประชุมกับอีเมลแจ้งเลื่อนการประชุม หรือพวกรายการสินค้า กับจดหมายสั่งซื้อ ข้อดีของข้อสอบส่วนที่ 7 คือคำถามจะเรียงตามลำดับในบทความอยู่แล้ว เลยไม่ต้องห่วงว่าจะหาคำตอบไม่เจอ เราแค่ทำความเข้าใจ (และบางครั้งตีความ) กับเนื้อหาใน reading นั้นๆ และแนะนำให้ทำ Double Passage ก่อน เพราะมีจำนวนข้อเยอะกว่า และใช้เวลานานกว่ามาก ใช้เวลาให้ถึงวินาทีสุดท้ายของการสอบเพราะเราจะกลับมาแก้ไม่ได้แล้ว
เอาจริงๆแล้ว ส่วนหนึ่งที่ผมได้คะแนน TOEIC สูง เป็นเพราะว่าผมได้อยู่ในสภาพแวดล้อม และสังคมที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร สาขาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business Management) สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น มีการสอนที่เน้นภาษาอังกฤษ และมีวิชาเกี่ยวกับเตรียมตัวสอบ TOEIC โดยเฉพาะซึ่งทำให้ทักษะภาษาอังกฤษของผมพัฒนามากขึ้น นอกจากนี้ทางสถาบันฯยังมีการจัดสอบ TOEIC ขึ้นในทุกๆเดือน เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้วัดทักษะทางภาษา โดยการสอบจะประสานงานกับทางศูนย์ ETS มาอำนวยความสะดวกในเรื่องผู้คุมสอบ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องค่าสมัครสอบ นักศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่นจ่ายในราคา 800 บาท ส่วนบุคลากรจะเป็น 1,000 บาท ผลสอบสามารถยื่นได้ทั่วโลก และมีอายุ 2 ปีนับจากวันสอบ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการฝึกฝนครับ ยิ่งเราฝึกซ้ำๆ ทำให้เราเกิดความเคยชินกับข้อสอบมากขึ้น เวลาเข้าห้องสอบจริงๆ เราก็จะไม่ตื่นตระหนกกับข้อสอบ และทำข้อสอบได้รวดเร็วครับ
“ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”
การเตรียมตัวสอบ TOEIC และหนทางสู่ TOEIC 800+
เพราะภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญทั้งในปัจจุบัน และอนาคต ยิ่งเรียนมหาลัยแล้ว ยิ่งต้องฝึกฝนให้หนักกว่าเดิม เพราะการเรียนรู้ภาษาอังกฤษไม่ได้มีแค่ใช้เอาตัวรอดกับการพูดคุยกับชาวต่างชาติเพียงอย่างเดียว เรายังสามารถยื่นขอทุนจากทางสถานศึกษา การเรียนต่อต่างประเทศ การยื่นสมัครงานตามสถานประกอบการต่างๆ ไปจนถึงการขอขึ้นเงินเดือนในที่ทำงานอีกด้วย TOEIC เป็นหนึ่งในเกณฑ์ที่ใช้วัดระดับภาษา อยากจะก้าวไวกว่าคนอื่น เราก็ต้องฝึกฝนเพื่อเตรียมตัวสอบ TOEIC
สิ่งที่ต้องเตรียมไปสำหรับสอบ TOEIC มีแค่บัตรประชาชน ไม่ต้องเอาปากกา ดินสอเข้าไปนะครับ ทางศูนย์สอบเขาจัดให้เรียบร้อยแล้ว
ผมได้ TOEIC 860/990 คะแนน แบ่งเป็น Listening 490 กับ Reading 370 ตัวข้อสอบ TOEIC มีทั้งหมด 2 ส่วนใหญ่ นั่นคือ Listening กับ Reading ครับ วันนี้ผมจะมาแบ่งปันเทคนิคพิชิตข้อสอบ TOEIC
เริ่มที่ส่วนของ Listening ก่อนเลยละกัน มีทั้งหมด 4 Part ย่อย รวม 100 ข้อ ในเวลา 45 นาที แบ่งเป็น
Part 1: Photographs
Part 2: Question and Response
Part 3: Short Conversations
Part 4: Short Talks
ในส่วนแรก Photographs นี่ตรงตัวเลย ในเล่มคำถามเขาจะให้รูปภาพมา10 รูป เราต้องฟัง Choice ตามที่ได้ยินแล้วเลือกให้สอดคล้องกับรูปที่สุด เราควรดูองค์ประกอบทั้งหมดของรูปภาพที่ข้อสอบให้มาว่ามีอะไรบ้าง หรือเหตุการณ์ใดกำลังเกิดขึ้น และก็ Detail เล็กๆ มีจุดไหนที่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะเสียงที่พูดออกมา อาจเกี่ยวกับจุดเล็กๆก็ได้
ในส่วนที่ 2 Question and Response ก็ตรงตัวอีกเช่นกัน ก็คือถาม-ตอบ หรือเกี่ยวกับ Statement 2 อันก็ได้ (การโต้ตอบบทสนทนา) มี 30 ข้อ ไม่มีทั้งตัวคำถามและคำตอบเช่นกัน ข้อความที่จะพิมพ์ มาให้ในข้อสอบก็คือ“Mark your answer on your answer sheet” แค่นั้น ข้อสอบส่วนนี้เน้นการฟังอย่างเดียวเลย ตัวอย่างโจทย์ก็จะประมาณว่า
11) "Where’s the meeting room?"
A) It’s on Wednesday.
B) Yeah, I like that too.
C) It’s across Marsha’s office.
เราต้องตอบข้อ C) “It’s across Marsha’s office” (อยู่ตรงข้ามออฟฟิศของมาร์ช่า) เพราะ Keyword ของโจทย์ข้อนี่คือ “Where (ที่ไหน)”
หรือโจทย์อีกแบบที่เป็นไปได้คือ
12) “I’ll make a copy for you.”
A) Make it 5.
B) I’ll have a coffee with milk.
C) I’ll go to the café at noon.
ตัวเลือกที่ถูกต้องคือ A) “Make it 5” (เอา 5 ชุด) สิ่งที่ควรระวังไว้คือ Question Words (What, Where, When, Why, How) พวก Verb ช่วยต่างๆที่ออกเสียงคล้ายกัน (Do Does Did Could Should Would ฯลฯ) ในเคสนี้คือคำว่า (Copy - Coffee - Café)
ในส่วนที่ 3 จะเป็น Short Conversation มี 30 ข้อ (มีคำถาม3 ข้อ ต่อ 1 บทสนทนา)
โดยจะเป็นการสนทนาระหว่างชาย-หญิง เทคนิคการทำข้อสอบส่วนนี้คือให้เราศึกษาโจทย์ทั้ง3 ข้อ
ว่าถามอะไรเราบ้าง หา Keyword ต่างๆ เพราะตอนฟัง เราสามารถเลือกคำตอบพร้อมๆกันได้เลย
และในส่วนสุดท้ายของการฟัง (ส่วน 4 : Short Talks) มี 30 ข้อ จะเป็นการพูดโดยบุคคลคนเดียว เช่นประกาศตามสถานีรถไฟ/สนามบิน รายการวิทยุ โฆษณาต่างๆ ทัวร์ชมพิพิธภัณฑ์ ไปจนถึงการพรีเซนต์ธุรกิจ เทคนิคการทำส่วน 3 ก็คือหาKeywordดังนั้นตอนฟังเราจะได้ทำควบคู่ไปได้ด้วย
ในส่วนของ Reading มีทั้งหมด 3 Part จำนวน 100 ข้อเช่นกัน มีเวลาทำ 75 นาที แบ่งเป็น
Part 5: Incomplete Sentences
Part 6: Text Completion
Part 7: Reading Comprehension
ในส่วน 5 Incomplete Sentence มี 40 ข้อ โฟกัสความรู้ grammar ล้วนๆ ถามตั้งแต่ Basics อย่างคำนาม คำสรรพนาม กิริยา ฯลฯ ไปจนถึงคำเชื่อมหลายๆแบบ รูปแบบประโยคทั้ง Simple, Compound, Complex Sentences, Passive Voice เป็นต้น เทคนิคการทำข้อสอบส่วนนี้คือการดูคำข้างหน้า
และข้างหลังช่องว่าง “_______” ว่าควรเป็นคำประเภทไหน เราจะสามารถไล่ตัด Choice ได้เยอะ แต่บางข้อก็ต้องคำนึงถึงความหมายของแต่ละคำด้วยนะ ตัวอย่างคำถามก็…
101) Mr. Rogers will _________ the technical manual into German.
A. translate B. translation
C. translator D. translatable
จากโจทย์เราสามารถสังเกตได้ว่ามีช่องว่างอยู่ระหว่างwill กับ the technical manual ซึ่งที่เรียนมา will จัดเป็น Modal Verbs (กิริยาช่วย) ซึ่งต้องตามด้วยกิริยาไม่ผันรูป (Infinitive) เท่านั้น ก็เลยตอบ ข้อ A. translate (V./ แปล) หรือเราจะดูจาก Word Formsของคำพวกนี้ก็ได้ ถ้าดูดีๆ ข้อ B. translation
กับ C. translator เป็นคำนามทั้งคู่ ต่างกันที่ translation แปลว่า “การแปล”และ translator แปลว่า “ล่าม” ตามหลัก grammar คือเราจะวาง คำนามหน้าคำนามไม่ได้ ส่วนข้อ D. translatable เป็น Adjective แปลว่า “ซึ่งแปลความหมายได้” สามารถวางหน้าคำนามได้ แต่ Adjective ไม่สามารถวางหลังกิริยาช่วยไม่ได้
หรือเราจะเจอโจทย์แบบนี้
102) Contrary to my expectation, Martin is not only smart ________ hardworking.
A. Or B. But
C. Neither D. And
จากโจทย์ มีคีย์เวิร์ดอยู่ว่า “Not Only” ไว้แล้ว ทำให้รู้ว่าเราต้องตอบข้อ B. But แน่นอน เพราะโจทย์นี้เขาวัดความรู้ Correlative Conjunction (คำเชื่อมที่มาคู่กัน อย่าง Either…or…หรือ Both…and….) ในกรณีนี้Not Only มาคู่กับ But Also (ใช้คำว่า Butแทนก็ได้) ซึ่งโจทย์นี้แปลได้ว่า “ตรงข้ามกับที่ฉันคาดไว้ มาร์ตินไม่ได้แค่ฉลาด แต่ก็ขยันอีกด้วย” ข้อ Choice อื่นๆ A. Or คู่กับ Either ข้อ C. Neither คู่กับ Nor และ D. And คู่กับ Both
มาในส่วน6T ext Completion มี 4หัวข้อใหญ่ หัวข้อละ 3 ข้อย่อย รวมแล้วมี 12 ข้อย่อย จะเป็นการเติมคำศัพท์ให้เข้ากับประเภทของ Text ที่เขาให้มา จะเป็นประกาศโฆษณา จดหมาย อีเมล์ รีพอร์ตสั้นๆ และคำที่ให้มาถ้าไม่เป็นWord Forms คล้ายๆกัน (คำนาม กิริยา คุณศัพท์ วิเศษณ์) ก็จะเป็นคำที่มีความหมายคล้ายกันไปเลย ทางที่ดีที่สุดคือการดูบริบทรอบๆว่าเขียนเรื่องเกี่ยวกับอะไร เป็นศัพท์เฉพาะทางรึเปล่า แต่สิ่งที่ควรจำไว้คือ ส่วนนี้มีจำนวนข้อน้อยที่สุดดังนั้นไม่ควรใช้เวลามากเกินไป ในส่วนนี้ ควรกำหนดเวลาไว้ให้เสร็จภายใน 10 นาที (รวมตรวจทานแล้วนะครับ)
ในส่วนสุดท้าย หรือ ส่วนที่ 7 Reading Comprehension มี 48 ข้อ แบ่งเป็นทั้ง Single Passage (บทความเดี่ยว) กับ Double Passages(บทความคู่) จะมีคำถามเริ่มตั้งแต่ 2ข้อไปจนสูงสุดที่ 5 ข้อ พวก 2-3 ข้อจะเกี่ยวกับ แบบฟอร์มการเคลมสินค้า พวกประกาศ Saleโน๊ตย่อต่างๆ ในขณะที่ 4-5 ข้อจะเป็น Double Passage หมด โดยพวกบทความคู่ ที่จะมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกัน เช่น ตารางการประชุมกับอีเมลแจ้งเลื่อนการประชุม หรือพวกรายการสินค้า กับจดหมายสั่งซื้อ ข้อดีของข้อสอบส่วนที่ 7 คือคำถามจะเรียงตามลำดับในบทความอยู่แล้ว เลยไม่ต้องห่วงว่าจะหาคำตอบไม่เจอ เราแค่ทำความเข้าใจ (และบางครั้งตีความ) กับเนื้อหาใน reading นั้นๆ และแนะนำให้ทำ Double Passage ก่อน เพราะมีจำนวนข้อเยอะกว่า และใช้เวลานานกว่ามาก ใช้เวลาให้ถึงวินาทีสุดท้ายของการสอบเพราะเราจะกลับมาแก้ไม่ได้แล้ว
เอาจริงๆแล้ว ส่วนหนึ่งที่ผมได้คะแนน TOEIC สูง เป็นเพราะว่าผมได้อยู่ในสภาพแวดล้อม และสังคมที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร สาขาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business Management) สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น มีการสอนที่เน้นภาษาอังกฤษ และมีวิชาเกี่ยวกับเตรียมตัวสอบ TOEIC โดยเฉพาะซึ่งทำให้ทักษะภาษาอังกฤษของผมพัฒนามากขึ้น นอกจากนี้ทางสถาบันฯยังมีการจัดสอบ TOEIC ขึ้นในทุกๆเดือน เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้วัดทักษะทางภาษา โดยการสอบจะประสานงานกับทางศูนย์ ETS มาอำนวยความสะดวกในเรื่องผู้คุมสอบ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องค่าสมัครสอบ นักศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่นจ่ายในราคา 800 บาท ส่วนบุคลากรจะเป็น 1,000 บาท ผลสอบสามารถยื่นได้ทั่วโลก และมีอายุ 2 ปีนับจากวันสอบ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการฝึกฝนครับ ยิ่งเราฝึกซ้ำๆ ทำให้เราเกิดความเคยชินกับข้อสอบมากขึ้น เวลาเข้าห้องสอบจริงๆ เราก็จะไม่ตื่นตระหนกกับข้อสอบ และทำข้อสอบได้รวดเร็วครับ
“ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”