Once Upon a Time... in Hollywood (Quentin Tarantino, 2019) คะแนน A (9.5/10)
"ความสวยงามและความเศร้าในยุค 60s" งานลำดับที่ 9 ของผู้กำกับ เควนติน แทแรนติโน ใช้ฉากหลังในยุครุ่งเรืองของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด และใช้เหตุการณ์ฆาตกรรมสะเทือนขวัญ ชารอน เทต (มาร์โก้ ร็อบบี้) ที่อุ้มท้องได้ 8 เดือน นักแสดงสาวสวยภรรยาผู้กำกับชื่อดังโรมัน โปลันสกี กับเพื่อน ๆ ของเธอถูกฆ่าโดยกลุ่มฮิปปี้ลัทธิ 'ชาร์ล แมนสัน' ที่เป็นเหมือนตราบาปของฮิปปี้กลุ่มคนแสวงหาเสรีภาพ หนังใช้ตัวละครสมมติ ริค ดาลตัน (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) เพื่อนบ้านของชารอน เท็ต นักแสดงคาวบอยที่เคยโด่งดังจากละครทีวีและกำลังหมดยุคในแวดวงบันเทิงเมื่อผู้คนเริ่มไม่นิยมหนังคาวบอยอีกแล้วกับสตั้นท์คู่ใจ คลิฟฟ์ บูธ (แบรด พิตต์) หนังใช้เวลา 2 ชั่วโมง 41 นาที ค่อย ๆ พาเราไปสัมผัสและซึมซับบรรยากาศในยุค 60s และค่อย ๆ เพิ่มความพีคของบทสรุป
หนังของ เควนติน แทแรนติโน ยังคงมีมิติให้ชุดความคิดของโลกคู่ขนานที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงและใส่วัตถุดิบของแนวหนังที่ตัวเองชอบซึ่งเป็นสิ่งที่คอหนังเควนตินรับทราบกันดี ไม่ว่าจะเป็นการเอาฮิตเลอร์มายิงทิ้งในโรงหนังใน Inglourious Basterds, เอาคนดำมายิงคนขาวอย่างดุเดือดเลือดสาดใน Django Unchained แต่สองเรื่องก่อนหน้านี้กลับไม่มีอารมณ์ความเศร้าหรือโหยหาอดีต อาจจะด้วยความเป็นยุคสมัยเปลี่ยนผ่าน ตัวละครแวดล้อมภายในเรื่องคือความเศร้าในโลกความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นบรูซลี ที่จากไปก่อนวัยอันควรหรือกระทั่งการตายของชารอน เทต ทำให้เมื่อตัวละครเหล่านี้ปรากฏภาพในฉากเดียวกัน เราจึงรู้สึกเหมือนหนังพาเราไปสู่ความฝันที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เราจึงมีความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งดูเรื่องราวอีกมุมมองหนึ่งผ่านมันสมองของเควนติน
ในขณะที่ฉากหลังของภาพยนตร์เรื่องนี้คือคดีฆาตกรรม ตัวละครหลัก ริค ดาลตัน กลับฉายภาพชัดเจนของนักแสดงคาวบอยที่เหมือนว่าเควนติน ไม่อยากให้หายไปจากวงการภาพยนตร์โลก การหยิบจับตัวละครหลักให้เป็นนักแสดงหนังคายบอยทำให้เราที่เกิดไม่ทันและเป็นคนดูหนังยุคปัจจุบันไม่หลงลืมว่าหนังแนวนี้มีคุณค่า มีมนต์ขลังเต็มไปด้วยเสน่ห์ ที่น่าบรรจุใส่กล่องกาลเวลาเก็บไว้ ทั้งการถ่ายทำ งานฉาก จนกระทั่งความทุ่มเทของนักแสดงที่ไม่ค่อยมีใครนำมาพูดถึงหรือเชิดชูมากนัก นอกจากนี้ บรรยากาศและเสน่ห์ของยุค 60s ยังถูกสรรค์สร้างผ่านตัวละครสตั้นท์คแมนคลิฟฟ์ บูธ อีกด้วย ความถวิลหายุคสมัย 60s ของเควนติน ทำให้เรารู้สึกว่ายุคสมัย 60s ยังไม่ได้จบลงหรือจางหายไปจากโลกใบนี้ และยังคงน่าสนุก น่าตื่นเต้น น่าค้นหา
สิ่งที่ขาดไปไม่ได้และน่าชื่นชมคือคุณภาพการแสดงของลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และ แบรด พิตต์ ทำให้หนังมีเสน่ห์และเต็มไปด้วยพลังงานจับต้องได้ในทุกฉาก พลังการแสดงของทั้งสองคนทำให้บทภาพยนตร์และฉากหลังของหนังเรื่องนี้เต็มเปี่ยมครบสมบูรณ์อย่างไม่มีอะไรต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม หนังก็ยังคงมีความเฉพาะเจาะจงไม่มีความประนีประนอมคนดูและเหมาะสำหรับคนที่ติดตามดูหนังฮอลลีวูดมามากพอสมควร และถ้ารับรู้เรื่องราวของกลุ่มชาร์ล แมนสัน คดีของ ชารอน เท็ต มาบ้าง หนังเรื่องนี้จะทำให้เรามีส่วนร่วมและรอคอยตามติดชะตากรรมของตัวละครที่เรารู้บทสรุปอยู่แล้ว ฉะนั้นการรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยความบันเทิงใจอย่างเต็มทีและไม่รู้สึกเบื่อคือการรับรู้ว่าเรื่องจริงเกิดอะไรขึ้น และตอนจบของหนังเรื่องนี้จะทำให้เราหลงรักผสมความเศร้าใจไปพร้อมกัน...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: Once Upon a Time... in Hollywood (Quentin Tarantino, 2019) รีวิวโดย MDC
"ความสวยงามและความเศร้าในยุค 60s" งานลำดับที่ 9 ของผู้กำกับ เควนติน แทแรนติโน ใช้ฉากหลังในยุครุ่งเรืองของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด และใช้เหตุการณ์ฆาตกรรมสะเทือนขวัญ ชารอน เทต (มาร์โก้ ร็อบบี้) ที่อุ้มท้องได้ 8 เดือน นักแสดงสาวสวยภรรยาผู้กำกับชื่อดังโรมัน โปลันสกี กับเพื่อน ๆ ของเธอถูกฆ่าโดยกลุ่มฮิปปี้ลัทธิ 'ชาร์ล แมนสัน' ที่เป็นเหมือนตราบาปของฮิปปี้กลุ่มคนแสวงหาเสรีภาพ หนังใช้ตัวละครสมมติ ริค ดาลตัน (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) เพื่อนบ้านของชารอน เท็ต นักแสดงคาวบอยที่เคยโด่งดังจากละครทีวีและกำลังหมดยุคในแวดวงบันเทิงเมื่อผู้คนเริ่มไม่นิยมหนังคาวบอยอีกแล้วกับสตั้นท์คู่ใจ คลิฟฟ์ บูธ (แบรด พิตต์) หนังใช้เวลา 2 ชั่วโมง 41 นาที ค่อย ๆ พาเราไปสัมผัสและซึมซับบรรยากาศในยุค 60s และค่อย ๆ เพิ่มความพีคของบทสรุป
หนังของ เควนติน แทแรนติโน ยังคงมีมิติให้ชุดความคิดของโลกคู่ขนานที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงและใส่วัตถุดิบของแนวหนังที่ตัวเองชอบซึ่งเป็นสิ่งที่คอหนังเควนตินรับทราบกันดี ไม่ว่าจะเป็นการเอาฮิตเลอร์มายิงทิ้งในโรงหนังใน Inglourious Basterds, เอาคนดำมายิงคนขาวอย่างดุเดือดเลือดสาดใน Django Unchained แต่สองเรื่องก่อนหน้านี้กลับไม่มีอารมณ์ความเศร้าหรือโหยหาอดีต อาจจะด้วยความเป็นยุคสมัยเปลี่ยนผ่าน ตัวละครแวดล้อมภายในเรื่องคือความเศร้าในโลกความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นบรูซลี ที่จากไปก่อนวัยอันควรหรือกระทั่งการตายของชารอน เทต ทำให้เมื่อตัวละครเหล่านี้ปรากฏภาพในฉากเดียวกัน เราจึงรู้สึกเหมือนหนังพาเราไปสู่ความฝันที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เราจึงมีความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งดูเรื่องราวอีกมุมมองหนึ่งผ่านมันสมองของเควนติน
ในขณะที่ฉากหลังของภาพยนตร์เรื่องนี้คือคดีฆาตกรรม ตัวละครหลัก ริค ดาลตัน กลับฉายภาพชัดเจนของนักแสดงคาวบอยที่เหมือนว่าเควนติน ไม่อยากให้หายไปจากวงการภาพยนตร์โลก การหยิบจับตัวละครหลักให้เป็นนักแสดงหนังคายบอยทำให้เราที่เกิดไม่ทันและเป็นคนดูหนังยุคปัจจุบันไม่หลงลืมว่าหนังแนวนี้มีคุณค่า มีมนต์ขลังเต็มไปด้วยเสน่ห์ ที่น่าบรรจุใส่กล่องกาลเวลาเก็บไว้ ทั้งการถ่ายทำ งานฉาก จนกระทั่งความทุ่มเทของนักแสดงที่ไม่ค่อยมีใครนำมาพูดถึงหรือเชิดชูมากนัก นอกจากนี้ บรรยากาศและเสน่ห์ของยุค 60s ยังถูกสรรค์สร้างผ่านตัวละครสตั้นท์คแมนคลิฟฟ์ บูธ อีกด้วย ความถวิลหายุคสมัย 60s ของเควนติน ทำให้เรารู้สึกว่ายุคสมัย 60s ยังไม่ได้จบลงหรือจางหายไปจากโลกใบนี้ และยังคงน่าสนุก น่าตื่นเต้น น่าค้นหา
สิ่งที่ขาดไปไม่ได้และน่าชื่นชมคือคุณภาพการแสดงของลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และ แบรด พิตต์ ทำให้หนังมีเสน่ห์และเต็มไปด้วยพลังงานจับต้องได้ในทุกฉาก พลังการแสดงของทั้งสองคนทำให้บทภาพยนตร์และฉากหลังของหนังเรื่องนี้เต็มเปี่ยมครบสมบูรณ์อย่างไม่มีอะไรต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม หนังก็ยังคงมีความเฉพาะเจาะจงไม่มีความประนีประนอมคนดูและเหมาะสำหรับคนที่ติดตามดูหนังฮอลลีวูดมามากพอสมควร และถ้ารับรู้เรื่องราวของกลุ่มชาร์ล แมนสัน คดีของ ชารอน เท็ต มาบ้าง หนังเรื่องนี้จะทำให้เรามีส่วนร่วมและรอคอยตามติดชะตากรรมของตัวละครที่เรารู้บทสรุปอยู่แล้ว ฉะนั้นการรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยความบันเทิงใจอย่างเต็มทีและไม่รู้สึกเบื่อคือการรับรู้ว่าเรื่องจริงเกิดอะไรขึ้น และตอนจบของหนังเรื่องนี้จะทำให้เราหลงรักผสมความเศร้าใจไปพร้อมกัน...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/