หนังเก่าเล่าใหม่ 143: Inglourious Basterds (Quentin Tarantino, 2009)
"ยุทธการเดือดเชือดนาซี" เมื่อประวัติศาสตร์ถูกเขียนใหม่โดย เควนติน แทแรนติโน Inglourious Basterds เป็นหนังบิดเบียนความจริงแต่อิงเรื่องจริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และจัดเป็นหนังตลกร้าย เสียดสี เต็มไปด้วยไดอะล็อกเชือดเฉือน หนังว่าด้วยเรื่องราวการฆ่าชาวยิวของนาซีตามคำสั่งท่านผู้นำ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ทำให้เกิดกลุ่มชาวยิวรวมตัวกันเพื่อกำจัดทหารนาซี และวางแผนสังหารท่านผู้นำโดยใช้สถานที่เป็นโรงภาพยนตร์ ตัวละครสมมติในเรื่องถูกสร้างมาเพื่อสนองความบันเทิงและสนองความเดือด ส่วนตัวละครในเรื่องแม้ว่าจะเยอะแต่ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่เควนตินจะให้ตัวละครจับพลัดจับพลูมาอยู่ในเหตุการณ์เดียวกันพร้อมทั้งสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ความสนุกของหนังจึงเป็นเหตุการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีกนาทีข้างหน้า หลังจากตัวละครพ่นไดอะล็อกกันเป็นไฟ
ความน่าจดจำของหนังคือการหยิบเรื่องราวประวัติศาสตร์มาดัดแปลงชนิดหลุดกรอบความเป็นจริง และสนองความบ้าดีเดือดชนิดไม่แคร์สายตาโลก แต่เพราะความไหลลื่นของบทภาพยนตร์และวิธีจัดวางองค์ประกอบที่ดี เรียบเรียงเหตุการณ์ต่อเนื่อง ความตลกร้าย เสียดสีจิกกัดบุคคลที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ก็ทำให้ตัวหนังน่ายกย่อง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการแสดงของ คริสตอฟ วอลต์ซ ที่เข้าถึงบทและทำให้ตัวละครโดดเด่นทุกครั้งที่ปรากฎเข้าฉากพร้อมทั้งสร้างความกดดันในท่าทางนุ่มนวล เรียบร้อย ยิ้มแย้ม แต่แฝงไปด้วยอันตรายซึ่งทุกกิริยาของตัวละครนี้มีความหมายซ่อนเร้น ส่วนงานฉากของหนังมีให้จดจำให้พูดถึงหลายฉาก โดยเฉพาะ ฉาก 3 นิ้ว สั่งเหล้าที่นำพามาสู่ฉากยิงสุดเดือดแบบไม่ทันตั้งตัว
สุดท้ายท่าทีของ Inglourious Basterds เมื่อมองในภาพรวมหนังมีความอ่อนโยนและเคารพต่อความสูญเสียแฝงอยู่ในความโหดร้ายหรือสิ่งที่เควนตินอยากทำและอยากเล่าโดยที่ไม่ได้แคร์คนดูว่าจะต้องเล่าอย่างไรให้คนชอบ แต่จะทำหนังอย่างไรให้ตัวเองชอบที่สุดทำให้ตัวหนังของเควนตินขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลและไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่หนังทั่วไปดูง่าย และสิ่งที่เราเห็นจากโลเคชั่นโรงหนังที่เป็นจุดจบของฮิตเลอร์ เป็นการแสดงออกว่าหนังคือเครื่องมือของคนตัวเล็ก ๆ ในการสื่อสารข้อความที่ต้องการบอกสังคมหรือสะท้อนให้สังคมได้รับรู้ข้อความที่ต้องการสื่อสาร เหมือนที่ตัวละครหญิงสาวชาวยิวได้ส่งข้อความไปถึงนาซีผู้กำจัดครอบครัวของเธอ ท้ายสุด Inglourious Basterds จึงเป็นหนังที่ใช้ศิลปะโลกภาพยนตร์นำเสนอสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือไม่เคยเกิดขึ้นในทางประวัติศาสตร์ให้เกิดขึ้นในโลกสมมติอย่างเอาแต่ใจ...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
หนังเก่าเล่าใหม่ 143: Inglourious Basterds (Quentin Tarantino, 2009) รีวิวโดย MDC
"ยุทธการเดือดเชือดนาซี" เมื่อประวัติศาสตร์ถูกเขียนใหม่โดย เควนติน แทแรนติโน Inglourious Basterds เป็นหนังบิดเบียนความจริงแต่อิงเรื่องจริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และจัดเป็นหนังตลกร้าย เสียดสี เต็มไปด้วยไดอะล็อกเชือดเฉือน หนังว่าด้วยเรื่องราวการฆ่าชาวยิวของนาซีตามคำสั่งท่านผู้นำ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ทำให้เกิดกลุ่มชาวยิวรวมตัวกันเพื่อกำจัดทหารนาซี และวางแผนสังหารท่านผู้นำโดยใช้สถานที่เป็นโรงภาพยนตร์ ตัวละครสมมติในเรื่องถูกสร้างมาเพื่อสนองความบันเทิงและสนองความเดือด ส่วนตัวละครในเรื่องแม้ว่าจะเยอะแต่ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่เควนตินจะให้ตัวละครจับพลัดจับพลูมาอยู่ในเหตุการณ์เดียวกันพร้อมทั้งสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ความสนุกของหนังจึงเป็นเหตุการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีกนาทีข้างหน้า หลังจากตัวละครพ่นไดอะล็อกกันเป็นไฟ
ความน่าจดจำของหนังคือการหยิบเรื่องราวประวัติศาสตร์มาดัดแปลงชนิดหลุดกรอบความเป็นจริง และสนองความบ้าดีเดือดชนิดไม่แคร์สายตาโลก แต่เพราะความไหลลื่นของบทภาพยนตร์และวิธีจัดวางองค์ประกอบที่ดี เรียบเรียงเหตุการณ์ต่อเนื่อง ความตลกร้าย เสียดสีจิกกัดบุคคลที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ก็ทำให้ตัวหนังน่ายกย่อง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการแสดงของ คริสตอฟ วอลต์ซ ที่เข้าถึงบทและทำให้ตัวละครโดดเด่นทุกครั้งที่ปรากฎเข้าฉากพร้อมทั้งสร้างความกดดันในท่าทางนุ่มนวล เรียบร้อย ยิ้มแย้ม แต่แฝงไปด้วยอันตรายซึ่งทุกกิริยาของตัวละครนี้มีความหมายซ่อนเร้น ส่วนงานฉากของหนังมีให้จดจำให้พูดถึงหลายฉาก โดยเฉพาะ ฉาก 3 นิ้ว สั่งเหล้าที่นำพามาสู่ฉากยิงสุดเดือดแบบไม่ทันตั้งตัว
สุดท้ายท่าทีของ Inglourious Basterds เมื่อมองในภาพรวมหนังมีความอ่อนโยนและเคารพต่อความสูญเสียแฝงอยู่ในความโหดร้ายหรือสิ่งที่เควนตินอยากทำและอยากเล่าโดยที่ไม่ได้แคร์คนดูว่าจะต้องเล่าอย่างไรให้คนชอบ แต่จะทำหนังอย่างไรให้ตัวเองชอบที่สุดทำให้ตัวหนังของเควนตินขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลและไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่หนังทั่วไปดูง่าย และสิ่งที่เราเห็นจากโลเคชั่นโรงหนังที่เป็นจุดจบของฮิตเลอร์ เป็นการแสดงออกว่าหนังคือเครื่องมือของคนตัวเล็ก ๆ ในการสื่อสารข้อความที่ต้องการบอกสังคมหรือสะท้อนให้สังคมได้รับรู้ข้อความที่ต้องการสื่อสาร เหมือนที่ตัวละครหญิงสาวชาวยิวได้ส่งข้อความไปถึงนาซีผู้กำจัดครอบครัวของเธอ ท้ายสุด Inglourious Basterds จึงเป็นหนังที่ใช้ศิลปะโลกภาพยนตร์นำเสนอสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือไม่เคยเกิดขึ้นในทางประวัติศาสตร์ให้เกิดขึ้นในโลกสมมติอย่างเอาแต่ใจ...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/