หน้ากากโบราณ

อุปกรณ์สำหรับสวมใส่ที่ใบหน้าเพื่อจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป พบเห็นการประดิษฐ์ขึ้นในทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่ใช้ในการแสดง หรือประกอบพิธีกรรม ความเชื่อต่างๆ ไปจนถึงเป็นเครื่องมือป้องกันใบหน้าจากสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของหน้ากากหน้าโบราณ ที่ถูกทำขึ้น และอาจมีความสยองซ่อนอยู่!

หน้ากากหิน เมืองเยรูซาเลม

หน้ากากเก่าแก่ที่สุด ๙,๐๐๐ ปีก่อนพุทธกาล    ซึ่งถูกค้นพบในยุคหินใหม่ บริเวณที่คาดว่าเป็นที่ตั้งชุมชนในเมืองเยรูซาเลม ทำจากหินมีลักษณะจำลองใบหน้าคนอย่างเรียบง่ายมีรูที่ตา จมูก และปาก เชื่อกันว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนบรรพบุรุษที่จากไป ทั้งนี้คาดการณ์กันจริงๆ มนุษย์น่าจะเริ่มทำหน้ากากตั้งแต่ ๓๐,๐๐๐ ปีก่อนพุทธกาลมาแล้ว  มีแค่เพียง 15 ชิ้นเท่าที่มีอยู่ในโลก ถูกเปิดโดยองค์การวัตถุโบราณอิสราเอล (ไอเอเอ)

หน้ากากชนเผ่า Iroquois



Iroquois Mask หรือ หน้ากากของชนเผ่า ไอระควอยส์ ชนพื้นเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา
ชนพื้นเมืองนี้ เชื่อเรื่องเทพเจ้าที่เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง และในบรรดาเทพเจ้า ก็จะมีทั้งเทพเจ้าที่ดี และเทพเจ้าที่ชั่วร้าย โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ล้วนเกิดขึ้นเพราะเทพเจ้าผู้ชั่วร้ายเหล่านั้น
ดังนั้น ชาวอิโรควอยส์ ซึ่งตระหนักดีว่า ตนเองไม่สามารถเอาชนะเทพเจ้าที่ชั่วร้ายได้ จึงต้องหาวิธีที่จะรักษาโรคร้าย ผ่อนหนักให้เป็นเบา ด้วยการทำหน้ากากขึ้นมาสวมใส่ให้กับผู้เจ็บป่วย เพื่อปกปิดใบหน้า และสร้างความเกรงกลัวให้กับเทพเจ้าผู้ชั่วร้าย จนถอยหนีไป แล้วคนป่วยก็จะหายเป็นปกติ
หน้ากาก ถือได้ว่าอยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างช้านาน ทุกยุคทุกสมัย โดยมีวัตถุประสงค์ในการสวมใส่ และความแปลกประหลาดเบื้องหลังหน้ากากต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรม

หน้ากากชวนหลอนนี้ ผู้ที่สวมใส่ได้จะต้องมีความรู้ทางการแพทย์และสามารถรักษาคนได้ ซึ่งหน้ากากนี้เปรียบเสมือนของศักดิ์สิทธิ์เลยก็ว่าได้
Cr.https://www.facebook.com/LUVE.THAILAND


หน้ากากสำหรับทาส



หน้ากาก Dirt-Eater เครื่องมือเหี้ยมของนายทาสผิวขาวในยุคค้าทาส

ย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 16 ชาวตะวันตกเริ่มออกล่าอาณานิคมเพื่อแสวงหาทรัพยากร เครื่องเทศ และที่สำคัญคือ “แรงงานทาส” จากประเทศในทวีปแอฟริกา มีชาวแอฟริกันจำนวนมากที่ถูกจับมายังประเทศในแถบยุโรปเพื่อนำมาใช้งานหรือไม่ก็นำไปใช้งานในประเทศอาณานิคมของตนเอง สถานะความเป็นอยู่ของทาสชาวแอฟริกันในขณะนั้นถูกปฏิบัติไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่มีไว้ใช้งาน อุปกรณ์หลายชนิดถูกคิดค้นมาใช้เพื่อ “ควบคุม” เหล่าทาสไม่ให้ออกนอกลูกนอกทางเหมือนเช่นหน้ากาก Dirt-Eater อันนี้

หน้ากาก Dirt-Eater ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยอ้างเหตุผลของแพทย์ในขณะนั้นว่าหน้ากาก Dirt-Eater จะช่วยให้เหล่าทาสมีร่างกายที่แข็งแรงเพราะหน้ากากอันนี้จะช่วยป้องกันทาสจากอาหารที่สกปรก ไม่ถูกสุขอนามัยและป้องกันโรคฟันผุให้กับทาสได้ ซึ่งทาสที่ได้รับหน้ากาก Dirt-Eater จะต้องใส่มันทั้งวันโดยไม่มีทางถอดออกได้เองถ้านายทาสไม่อนุญาตให้ถอด
มีทาสจำนวนหลายรายที่ได้รับอันตรายจากหน้ากาก Dirt-Eater เช่น การเสียดสีจนเป็นแผลพุพองและทำให้เกิดอาการติดเชื้อจนเป็นบาดทะยัก และการใส่ทั้งวันยังทำให้ผิวหนังบริเวณปากเกิดเชื้อราซึ่งทำให้ร่างกายของทาสที่สวมใส่หน้ากากชนิดนี้มีอายุสั้นกว่าที่ควร





บรรดานักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ได้ตั้งข้อสันนิษฐานถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของมันก็คือ มีไว้เพื่อควบคุมเหล่าทาสไม่ให้มีเวลาสุมหัวคุยกันเพื่อสร้างความกระด้างกระเดื่องต่อนายทาส และที่สำคัญคือป้องกันการแอบกินผลผลิตทางเกษตรของนายทาสซะมากกว่าที่จะเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของทาส ปัจจุบันหน้ากาก Dirt-Eater ถูกจัดให้เป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ที่ชาวตะวันตกมีต่อทาสผิวดำซึ่งถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่แปดเปื้อนหน้าหนึ่งของมนุษย์เลยทีเดียว
Cr. SpokeDark.TV



หน้ากากแห่งความตาย(Death mask)



“Death mask” ประเพณีเกี่ยวกับความตายในสมัยโบราณ ที่นำปูนมาหล่อใบหน้าของผู้ตาย

นอกเหนือจากการถ่ายภาพเพื่อเก็บไว้ดูต่างหน้าสำหรับคนที่เสียชีวิตไปแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากชนชั้นสูงในอดีตได้แก่ หน้ากากแห่งความตาย(Death mask)
หน้ากากแห่งความตาย เป็นประเพณีที่เกี่ยวกับความตายของชนชั้นสูงในทวีปยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 18 – 19 โดยการนำปูนมาหล่อไว้ที่ใบหน้าของผู้เสียชีวิต เพื่อเก็บรูปลักษณ์ใบหน้าของผู้เสียชีวิตเอาไว้ หลังจากนั้นจะมีการนำหน้ากากนี้ไปโชว์ในงานศพของผู้เสียชีวิตด้วย และอีกหนึ่งในข้อดีก็คือ ตำรวจสามารถใช้หน้ากากนี้ระบุตัวตนของผู้เสียชีวิตได้อีกด้วย(ในกรณีที่ไม่สามารถระบุตัวตนตอนพบศพ)

หน้ากากแห่งความตายส่วนใหญ่จะถูกทำมาจากปูนปาสเตอร์ แต่สำหรับบางวัฒนธรรม เช่น จักรวรรดิโรมัน มักจะถูกทำด้วยขี้ผึ้ง และประเพณีก็ได้จางหายไปจากการมาของกล้องถ่ายภาพนั่นเอง
Cr.https://www.scholarship.in.th



หน้ากาก Alexander Peden’s 


ในปี 1663 Alexander Peden’s ได้สวมหน้ากากที่มีดูน่าสยดสยองนี้เพื่อปกปิดใบหน้าที่แท้จริงของตัวเอง ไม่ให้เขาถูกจับ เนื่องจากเขาเป็นผู้เผยแพร่ศาสนา Presbyterian ที่ทางรัฐบาลไม่ยอมรับและผิดกฎหมาย

หน้ากากของผู้เผยแผ่ศาสนาแห่งศตวรรษที่ 17 นี้ถูกจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติสกอตแลนด์ ซึ่งมีจุดเด่นที่รูปร่างอันน่าหวาดกลัว มีส่วนใบหน้าทำจากหนังสัตว์ และหนวดกับเส้นผมของที่ว่ากันว่าทำจากของมนุษย์จริงๆ  มีร่องรอยว่าในอดีตน่าจะมีการประดับด้วยขนนกมาก่อนและที่สำคัญคือมันเคยมีฟันปลอมติดอยู่ที่บริเวณปากด้วย

Alexander Peden เป็นชายที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1626-1686 และมีชื่อเสียงในสกอตแลนด์ในฐานะหนึ่งในผู้นำของ “Covenanter” ชาวคริสเตียนในคณะเพรสไบทีเรียน ซึ่งในสมัยนั้นตั้งตนเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ ผู้ที่ปกครองสกอตแลนด์ในสมัยนั้น ภายใต้ความขัดแย้งด้านศาสนา

ตำแหน่งของเขานี้เองทำให้ Peden จำเป็นต้องอยู่แบบลับๆ ซ่อนๆ ดังนั้นเพื่อที่จะหลบซ่อนจากทหารของฝั่งกษัตริย์ที่ Peden จึงเลือกที่จะใส่หน้ากากนี้ทุกครั้งที่ตัวเองออกเผยแผ่ศาสนา และหาแนวรวมให้กับคณะเพรสไบทีเรียน
น่าเสียดายที่หน้ากากอย่างเดียวไม่สามารถปกป้องชายคนนี้ได้ตลอดไป เพราะสุดท้ายในปี 1670 เขาก็จำเป็นต้องหนีจากสกอตแลนด์ไปยังไอร์แลนด์เป็นเวลานาน แม้ว่าเจ้าตัวจะกลับมายังสกอตแลนด์อีกครั้งในปี 1673 ก็ตาม
หน้ากากอันนี้ถูกค้นพบอีกครั้งในปี 1840 ที่เมือง Cumnock ประเทศสกอตแลนด์ พร้อมๆ กับดาบประจำตัวที่ถูกส่งสืบทอดกันมาในฐานะมรดกประจำตระกูล
Cr.https://www.catdumb.com/alexander-peden-mask-378/



หน้ากากโบราณสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 



หน้ากากชิ้นนี้ถูกทำขึ้นมาสำหรับทหารที่ต้องประจำการอยู่ในรถถัง โดยมันจะเอาไว้ใช้ป้องกันสะเก็ดของโลหะที่กระเด็นมา ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 รถถังถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในสงคราม ดังนั้นรถถังในยุคแรก ๆ จึงยังเคลื่อนที่ช้าและไม่แข็งแกร่งเท่าใดนัก นอกจากนี้ตัวถังของมันยังเป็นเหล็กที่ทาด้วยสีผสมตะกั่ว จึงทำให้เกิดสะเก็ดไฟได้ง่ายหากถูกระดมยิงด้วยอาวุธปืนขนาดเล็ก ทหารอังกฤษจึงสร้างหน้ากากที่ทำจากหนังและโซ่ถักเพื่อช่วยป้องกันสะเก็ดไฟ

แต่สุดท้ายหน้ากากที่สร้างขึ้นก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะความร้อนในห้องโดยสารสูงถึง 50 องศาเซลเซียส และยังเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ที่สำคัญด้วยความใหญ่โตเทอะทะของมัน จึงทำให้มันกลายเป็นเป้าปืนใหญ่ฝ่ายตรงข้าม
Cr.https://www.clipmass.com/story/115919



หน้ากากหมอกาดำ Plague Doctor 


หมอกาดำหรืออีกชื่อหนึ่งหมอกาฬโรค พวกเขารักษาทั้งคนรวยและคนจนโดยได้รับค่าจ้างจากชาวเมือง หมอกาดำไม่ใช่แพทย์ที่มีประสบการณ์สูง รักษาผู้ป่วยในฐานะหมอชุมชน  การระบาดของกาฬโรคที่เรียกว่าแบล๊กเดทยุโรปยุคกลางช่วงศตวรรษที่14 ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก สาเหตุที่ทำให้เกิดกาฬโรคคือ เชื้อแบคทีเรีย Yessinia pestis มาจากสัตว์ประเภทหนู อาจจะขึ้นมาจากเรือจีนที่มายังยุโรป  

ส่วนอาการนั้น ทำให้ต่อมน้ำเหลืองโต บวมและเจ็บปวด มีไข้สูง หนาว ปวดร่างกาย และกว่า80%เสียชีวิต การติดต่อของโรคนี้ง่ายมากเพียงแค่การสัมผัส ไอ หรือจาม ก็ติดเชื้อได้เพราะง่ายอย่างงี้ทำให้การกระจายของโรคมีปริมาณที่สูง  บางเมืองประชากว่า60%ติดเชื่อนี้และเสียชีวิตภายในเดือนเดียว  เพราะการติดต่อของเชื่อง่ายขนาดนี้จึงมีการสวมใส่ชุดมิดชิด อย่างหมอกาดำนั่นเอง การรักษาของหมอกาดำจะใช้วิธีการหลั่งเลือดอาจจะใช้ปลิงดูดเลือดของผู้ป่วยออก และใช้ผิวหนังคางคกเพื่อทำปฏิกิริยาตรวจสอบโรค แต่การรักษานี้ก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควรนักสุดท้ายผู้ป่วยก็ต้องตายอยู่ดี

การแต่งตัวของหมอกาดำ หน้ากากคลุมทั้งหัวที่มีขนาดพอดีและมีแว่นที่ป้องกันตา และเหตุผลที่หมอกาดำมีจะงอยปากยาวๆก็เพราะว่าเอาไว้ใส่สมุนไพร ซึ้งช่วยดับกลิ่นและป้องกันโรค ชื่อสมุนไพรดังนี้ "อำพันทะเล ใบสาระแหน่ กำยาน การบูร กลีบกุหลาบ กานหลู"  ส่วนชุดหมอกาดำก็จะมีหลายๆแบบซึ่งแตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่ที่นิยมก็จะเป็นชุดคลุมยาวเนื้อหนาฉาบด้วยขี้ผึ้ง ด้านในเสื้อแขนยาวขายาวใส่หมวกรองเท้าบูธ
     
ทั้งหมดนี้เพื่อนป้องกันไม่ให้ได้รับการติดต่อจากเชื้อกาฬโรค และอีกอย่างคือไม้เท้าของหมอกาดำเพื่อเป็นตัวช่วยในการสัมผัสผู้ป่วย
แต่จริงๆแล้วหมอกาดำก็มีความเชื่อเกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ ผู้ป่วยบางส่วนมักเชื่อว่าเป็นคำสาปไม่ก็ว่าเป็นการลงโทษของเทพเจ้า
Cr.http://okarinz.blogspot.com/2017/12/plague-doctor.html



หน้ากากดินเหนียวของอาซาโร่



"ชนเผ่าอาซาโร" (Asaro MudMen) หรือที่เรียกกันว่า "ชายโคลน" อยู่แถบนอกเมืองโกโรกา ในจังหวัดอีสเทิร์นไฮแลนด์ ซึ่งอยู่ในที่ราบสูงทางตะวันออกของประเทศปาปัวนิวกีนี เป็นที่รู้จักกันดีว่าหน้ากากของพวกอาซาโรทำจากดินเหนียวที่ประดับประดาด้วยฟันของสุกรและเปลือกหอย ซึ่งตำนานมีอยู่ว่าพวกเขาได้พ่ายแพ้ชนเผ่าศัตรูและถูกบังคับให้หนีลงไปในแม่น้ำอาซาโร แต่พวกเขารอจนถึงค่ำก่อนที่จะพยายามหลบหนี

พอถึงช่วงค่ำ จากนั้นพวกเขาจึงออกมาจากที่หลบซ่อน โดยศัตรูที่เห็นพวกเขาลุกขึ้นมาจากโคลนที่ปกคลุมตัวพวกเขาอยู่ ทำเพื่อให้ศัตรูคิดว่าพวกเขาเป็นวิญญาณ ซึ่งชนเผ่าส่วนใหญ่ในประเทศปาปัวนิวกินีกลัวเรื่องจิตวิญญาณมาก ดังนั้นศัตรูจึงหนีไปด้วยความหวาดกลัวและพวกอาซาโรก็หนีรอดมาได้ หลังจากนั้นพวกเขาจึงวิ่งกลับเข้าไปที่หมู่บ้านของพวกเขาและจัดพิธีเพื่อปัดเป่าวิญญาณ

ซึ่งคนโคลนไม่สามารถปิดบังใบหน้าของพวกเขาได้ เนื่องจากในตำนานกล่าวว่า ชาวปาปัวนิวกีนีคิดว่าโคลนจาก "แม่น้ำอาซาโร" เป็นพิษ ดังนั้นแทนที่จะปิดบังใบหน้าของพวกเขาด้วยสารพิษที่ถูกกล่าวหานี้ พวกเขาจึงทำหน้ากากจากก้อนกรวดและน้ำจากน้ำตกแทน หน้ากากมีการออกแบบที่ผิดปกติ เช่น มีหูที่ยาวมากลงไปจนถึงคาง หรือไม่ก็สั้นมากทั้งสองข้างจนติดกับส่วนหัวด้านบน
Cr.http://www.liekr.com/post_153025.html
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่