"อาลัย" เป็นสิ่งที่ทำให้ไม่หลุดพ้น
ท่านอสังคะได้อ้างหลักฐานในคัมภีร์เอโกตตราคมว่า สาเหตุที่เรายังอยู่ในสังสารวัฏนี้ เกิดจากเราอาลัย "อาลัย" แปลว่า สายเครือ เยื้อใย ผูกพัน จึงทำให้ไม่หลุดพ้นจากการครอบงำของวิบาก กิเลส ตัณหา ตัวตน ดังท่านอสังคะ กล่าวในคัมภีร์เอโกตตราคมว่า หมู่สัตว์เป็นผู้หมกมุ่นในอาลัย (อาลยรตา) ยินดีในอาลัย (อาลยรามา) บันเทิงในอาลัย (อาลยมุทิตา) ยินดียิ่งในอาลยะ (อาลยาภิรตา) (กนกวรรณ กรุณาฤทธิโยธิน, ๒๕๖๑ : ๔๕)
ถ้าหากว่าเราฟังธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วไม่อาลัย ตั้งใจฟังด้วยดี (ศุศฺรุสันติ) และประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นไปตามภาวะธรรม โดยธรรม ก็จะพบกับสันติสุข
อาลัย ก็คือ สิ่งที่เรายึดมั่น ผูกพัน เราก็จะได้รับสิ่งต่างๆ ในสิ่งนี้ เวลาเราจะจากก็จะเกิดภาวะเห็นใจ เสียดาย คร่ำครวญ กลายเป็นว่ายึดติด เหมือนกับสายใย สายบัวที่มียางติดอยู่
พระพุทธเจ้าเกิดมาเพื่อให้ตัดสายใย ว่าตรงนี้มันผิด คุณยึดอย่างนี้ไม่ได้ พอคุณติดอะไรก็เหมือนกับกาวดักหนู จะดึงกลับไปเรื่อยๆ
และอีกอย่างหนึ่ง ในเวลาที่เราห่มผ้าพระธาตุ เราก็จะต้องมีอาลัย หมายความว่าอย่างไร?
อาลัยในที่นี้คือ อาลัยผูกพันในความดี มันคนละเรื่องกับนี้ มีสายใยกับความดี ในการสืบพระศาสนา และจะต้องเข้าใจว่า อันนี้เป็นภูมิของข้างล่าง แต่เรากำลังพูดอยู่นี้เป็นภูมิของปรมัตถ์ในธรรม เราจะต้องแยก ถ้าไม่แยกก็จะขัดแย้งกันเอง อย่างเช่นคำว่า "ทุกข์" ก็จะขัดแย้งกัน ทุกข์อย่างปรมัตถ์ไม่ได้มีความทุกข์อย่างข้างล่างๆ เราเป็นอยู่ ความหมายทุกข์อย่างปรมัตถ์ก็คือ ทุกข์เพราะอยู่คงตัวไม่ได้
แสดงว่า สิ่งที่ทำให้มนุษย์เรายังเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้ก็เพราะตัว อาลัย ความผูกพัน สายผูกพัน เป็นสายเครือ เยื้อใย ผูกพัน ตัวนี้แหละ จะทำให้เกิดความเศร้า อาลัย ผูกพัน ปิติ มานะ ถึงกับสังเวย
พระพุทธเจ้าสอนว่าให้ตัดตัวอาลัย เพราะถ้าไม่ตัดตัวนี้ก็จะถูกเหนี่ยวรั้ง ก็จะยึดติด ยึดมั่นถือมั่น
ตัวที่จะมาตัดความอาลัย ก็คือ ปัญญาแห่งความจริง ว่าทุกสิ่งมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สมมติว่า ถ้าเราอาลัยกับหมาตัวนี้ที่เราเลี้ยงมา แต่หมาตัวนี้ก็ต้องแปรเปลี่ยน จากหมาเป็นสัตว์เล็กน้อยที่น่ารัก ก็ต้องแปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ตัวใหญ่ขึ้นมาที่ดุร้าย เราจะต้องรู้ความจริง
สิ่งที่ทำให้เรามาเกิดใหม่ก็เพราะตัวอาลัยนี่เอง ตัวอาลัยที่จะผูกพัน เหนี่ยวรั้งไว้ จึงมีสังสารวัฏขึ้นมา เป็นทะเลแห่งทุกข์ ทั้งดีและไม่ดี ถ้าเราจะเข้าสู่ความเป็นปรมัตถ์จะต้องตัดทั้งดีและไม่ดี ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็จะถูกครอบงำ เป็นไปในทางอัตตา เราก็เข้าสู่ความเป็นอรหันต์ไม่ได้ เข้าสู่นิพพานไม่ได้ สรุป คนที่จะเป็นพระอรหันต์จะต้องมีการตัดเยื้อใย คนใจหินก็คือพวกพระอรหันต์
อาลยวิญญาณเป็นการผูกพันทางความคิด ทางใจ
ท่านฮุยหยวน (Hui-Yuan) กล่าวว่า “อาลย” ว่า “ไม่เคยสูญเสีย” (never loses) คือจิตไม่เคยสูญเสียธรรมชาติเดิมแท้ของมัน แม้จะท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏยาวนานเท่าไรก็ตาม จิตก็ยังสามารถรักษาธรรมชาติเดิมแท้ของมันไว้ได้ (กนกวรรณ กรุณาฤทธิโยธิน, ๒๕๖๑ : ๔๕)
เดิมแท้เป็นเช่นนี้ก็จะผูกพันไปเรื่อย อันนี้เป็นขั้นสามัญ พระพุทธเจ้าก็มีขั้นปรมัตถ์ก็จะตัดขาด
ภาวะนิพพานไม่อยู่ในสังสารวัฏ ไม่มีอาลยวิญญาณเหรอ?
ภาวะนิพพานมีอาลยวิญญาณ แต่เราไม่ถูกครอบงำแล้ว ไม่ถูกบงการ เข้าสู่ไม่ถูกครอบงำก็จะเป็นจิตปรมัตถ์ คือ มีปัญญา ดำรงให้เห็นถึงความเป็นปกติธรรมดา ของธรรมชาติ นั่นคือ ตถตา เราจึงไม่ถูกครอบงำ ถ้าไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเราก็เศร้าโศก ทุกข์ใจ ดีใจ นี่แหละ เวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ พระอาลยวิญญาณจะประกอบด้วยอาลัยอยู่ตลอดเวลา ๒ ตัวนี้เป็นฝ่าแฝดกัน
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
"อาลัย" เป็นสิ่งที่ทำให้ไม่หลุดพ้น
ท่านอสังคะได้อ้างหลักฐานในคัมภีร์เอโกตตราคมว่า สาเหตุที่เรายังอยู่ในสังสารวัฏนี้ เกิดจากเราอาลัย "อาลัย" แปลว่า สายเครือ เยื้อใย ผูกพัน จึงทำให้ไม่หลุดพ้นจากการครอบงำของวิบาก กิเลส ตัณหา ตัวตน ดังท่านอสังคะ กล่าวในคัมภีร์เอโกตตราคมว่า หมู่สัตว์เป็นผู้หมกมุ่นในอาลัย (อาลยรตา) ยินดีในอาลัย (อาลยรามา) บันเทิงในอาลัย (อาลยมุทิตา) ยินดียิ่งในอาลยะ (อาลยาภิรตา) (กนกวรรณ กรุณาฤทธิโยธิน, ๒๕๖๑ : ๔๕)
ถ้าหากว่าเราฟังธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วไม่อาลัย ตั้งใจฟังด้วยดี (ศุศฺรุสันติ) และประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นไปตามภาวะธรรม โดยธรรม ก็จะพบกับสันติสุข
อาลัย ก็คือ สิ่งที่เรายึดมั่น ผูกพัน เราก็จะได้รับสิ่งต่างๆ ในสิ่งนี้ เวลาเราจะจากก็จะเกิดภาวะเห็นใจ เสียดาย คร่ำครวญ กลายเป็นว่ายึดติด เหมือนกับสายใย สายบัวที่มียางติดอยู่
พระพุทธเจ้าเกิดมาเพื่อให้ตัดสายใย ว่าตรงนี้มันผิด คุณยึดอย่างนี้ไม่ได้ พอคุณติดอะไรก็เหมือนกับกาวดักหนู จะดึงกลับไปเรื่อยๆ
และอีกอย่างหนึ่ง ในเวลาที่เราห่มผ้าพระธาตุ เราก็จะต้องมีอาลัย หมายความว่าอย่างไร?
อาลัยในที่นี้คือ อาลัยผูกพันในความดี มันคนละเรื่องกับนี้ มีสายใยกับความดี ในการสืบพระศาสนา และจะต้องเข้าใจว่า อันนี้เป็นภูมิของข้างล่าง แต่เรากำลังพูดอยู่นี้เป็นภูมิของปรมัตถ์ในธรรม เราจะต้องแยก ถ้าไม่แยกก็จะขัดแย้งกันเอง อย่างเช่นคำว่า "ทุกข์" ก็จะขัดแย้งกัน ทุกข์อย่างปรมัตถ์ไม่ได้มีความทุกข์อย่างข้างล่างๆ เราเป็นอยู่ ความหมายทุกข์อย่างปรมัตถ์ก็คือ ทุกข์เพราะอยู่คงตัวไม่ได้
แสดงว่า สิ่งที่ทำให้มนุษย์เรายังเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้ก็เพราะตัว อาลัย ความผูกพัน สายผูกพัน เป็นสายเครือ เยื้อใย ผูกพัน ตัวนี้แหละ จะทำให้เกิดความเศร้า อาลัย ผูกพัน ปิติ มานะ ถึงกับสังเวย
พระพุทธเจ้าสอนว่าให้ตัดตัวอาลัย เพราะถ้าไม่ตัดตัวนี้ก็จะถูกเหนี่ยวรั้ง ก็จะยึดติด ยึดมั่นถือมั่น
ตัวที่จะมาตัดความอาลัย ก็คือ ปัญญาแห่งความจริง ว่าทุกสิ่งมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สมมติว่า ถ้าเราอาลัยกับหมาตัวนี้ที่เราเลี้ยงมา แต่หมาตัวนี้ก็ต้องแปรเปลี่ยน จากหมาเป็นสัตว์เล็กน้อยที่น่ารัก ก็ต้องแปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ตัวใหญ่ขึ้นมาที่ดุร้าย เราจะต้องรู้ความจริง
สิ่งที่ทำให้เรามาเกิดใหม่ก็เพราะตัวอาลัยนี่เอง ตัวอาลัยที่จะผูกพัน เหนี่ยวรั้งไว้ จึงมีสังสารวัฏขึ้นมา เป็นทะเลแห่งทุกข์ ทั้งดีและไม่ดี ถ้าเราจะเข้าสู่ความเป็นปรมัตถ์จะต้องตัดทั้งดีและไม่ดี ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็จะถูกครอบงำ เป็นไปในทางอัตตา เราก็เข้าสู่ความเป็นอรหันต์ไม่ได้ เข้าสู่นิพพานไม่ได้ สรุป คนที่จะเป็นพระอรหันต์จะต้องมีการตัดเยื้อใย คนใจหินก็คือพวกพระอรหันต์
อาลยวิญญาณเป็นการผูกพันทางความคิด ทางใจ
ท่านฮุยหยวน (Hui-Yuan) กล่าวว่า “อาลย” ว่า “ไม่เคยสูญเสีย” (never loses) คือจิตไม่เคยสูญเสียธรรมชาติเดิมแท้ของมัน แม้จะท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏยาวนานเท่าไรก็ตาม จิตก็ยังสามารถรักษาธรรมชาติเดิมแท้ของมันไว้ได้ (กนกวรรณ กรุณาฤทธิโยธิน, ๒๕๖๑ : ๔๕)
เดิมแท้เป็นเช่นนี้ก็จะผูกพันไปเรื่อย อันนี้เป็นขั้นสามัญ พระพุทธเจ้าก็มีขั้นปรมัตถ์ก็จะตัดขาด
ภาวะนิพพานไม่อยู่ในสังสารวัฏ ไม่มีอาลยวิญญาณเหรอ?
ภาวะนิพพานมีอาลยวิญญาณ แต่เราไม่ถูกครอบงำแล้ว ไม่ถูกบงการ เข้าสู่ไม่ถูกครอบงำก็จะเป็นจิตปรมัตถ์ คือ มีปัญญา ดำรงให้เห็นถึงความเป็นปกติธรรมดา ของธรรมชาติ นั่นคือ ตถตา เราจึงไม่ถูกครอบงำ ถ้าไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเราก็เศร้าโศก ทุกข์ใจ ดีใจ นี่แหละ เวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ พระอาลยวิญญาณจะประกอบด้วยอาลัยอยู่ตลอดเวลา ๒ ตัวนี้เป็นฝ่าแฝดกัน
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต