[CR] Le Du ฤดู ร้านอาหารไทยร่วมสมัย ดีดรี 1 ดาวมิชลิน

วันนี้เราจะพาไปดูร้านอาหารไทยร่วมสมัยย่านสีลมของเชฟต้น ธิติฏฐ์ หนึ่งในคณะกรรมการ top chef Thailand กัน จะน่ากินขนาดไหน ไปกันเลยจ้า 

อย่าลืมฝากติดตามเพจ FB: ตามล่า Fine Dining

รวบรวมร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์หลายร้อยแห่งทั่วโลก รวมถึงร้านอาหาร “ทุกร้าน” ในมิชลินไกด์ฉบับกรุงเทพฯ ไปล่าของกินด้วยกันค่ะ

Le Du - ฤดู

1 Michelin Star - 1 ดาวมิชลิน

Asia’s 50 Best Restaurant No. 20 - 50 ร้านอาหารที่ดีที่สุดในเอเชียอันดับที่ 20

Le Du หากอ่านผ่านๆอาจนึกว่าเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่แท้จริงแล้วชื่อร้านอ่านเป็นภาษาไทยว่า “ฤดู” ห้องอาหารไทยร่วมสมัยโดยเชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร หนึ่งในคณะกรรมการรายการ Top Chef Thailand และเป็นเซเลบริตี้เชฟชื่อดังอันดับต้นๆของประเทศไทย หลังจากเรียนจบมาด้วยคะแนนระดับทอปของปีการศึกษาจากสถาบัน Culinary Institute of America หรือ CIA หนึ่งในโรงเรียนสอนทำอาหารที่ดีที่สุดในโลก เชฟต้นก็ได้เข้าฝึกงานที่ Eleven Madison Park ห้องอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินชื่อดังในกรุงนิวยอร์คและเป็นห้องอาหารอันดับ 1 ของโลกประจำปี 2017 (World’s 50 Best Restaurant No.1) นอกจากนี้ยังได้เข้าทำงานที่ Jean-Georges ห้องอาหารฝรั่งเศสชั้นสูงระดับ 2 ดาวมิชลิน และ The Modern ห้องอาหารอเมริกันร่วมสมัยระดับ 2 ดาวมิชลินอีกด้วย หลังจากสั่งสมประสบการณ์ได้มากพอ เชฟจึงตัดสินใจเดินทางกลับมาประเทศไทยเพื่อเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเองคือ ฤดู ในที่สุด

ร้านตั้งอยู่ในย่านสีลมซอย 7 ข้างๆกันกับร้าน Namsah Bottling Trust ของเชฟเอียน พงษ์ธวัช ตัวร้านมีขนาดไม่ใหญ่มาก ด้านหน้ามีป้ายชื่อร้านขนาดใหญ่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ เดินเข้ามาจะพบกับแผ่นป้าย 1 ดาวมิชลินติดไว้ที่ด้านขวาของประตูร้าน ภายในมีลักษณะเป็นห้องอาหารกึ่ง Casual Dining กึ่งไวน์บาร์ ดูเรียบง่าย สบายๆ ไม่หรูหรามากนัก โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะไม้แบบเปลือย ไม่มีผ้าปูโต๊ะใดๆ ผนังร้านประดับด้วยเครื่องสานแบบไทยขนาดใหญ่ทำจากไม้พันกันเป็นเกลียวไปมาดูสวยงาม มีครัวเปิดแบบ Open kitchen ทำให้ลูกค้าสามารถมองเห็นทีมเชฟเตรียมอาหารผ่านกระจกได้อีกด้วย

อาหารที่นี่เป็นเซ็ตเมนูอาหารไทยร่วมสมัยโดยลูกค้าสามารถเลือกทานได้ทั้งแบบ 4 และ 6 คอร์ส และจะผัดเปลี่ยนเมนูไปตามฤดูกาลตามคอนเซปจากชื่อร้าน อย่างไรก็ตามจานซิกเนเจอร์บางอย่างจะถูกใส่ไว้ในเมนูตลอดโดยที่ไม่ถูกถอดออก เช่น River Prawn ที่ใช้กุ้งเเม่น้ำตัวโตๆ เสิร์ฟกับแยมที่ทำมาจากหมูสามชั้น หรือจะเป็น Charchol-Grilled Pork Jowl เมนูที่นำข้าวขาหมูมาตีโจทย์และนำเสนอออกมาในรูปแบบใหม่ที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น วันนี้เราได้ลองสั่ง Set Menu ที่ดีที่สุดของทางร้านคือ Le Du Experience รสชาติอาหารโดยรวมถือว่าทำออกมาได้ดีมากสมกับรางวัลระดับ 1 ดาวมิชลิน อาหารทุกจานล้วนใช้วัตถุดิบชั้นสูง ความน่าสนใจคือวัตถุดิบที่กล่าวไปได้มาจากแหล่งในประเทศไทยเกือบทั้งหมด อย่างไรก็ตามเราขอตั้งข้อสังเกตในเรื่องของปริมาณอาหารที่คิดว่าให้มาน้อยเกินไป โดยเฉพาะอาหารจานหลักคอร์สเนื้อที่เสิร์ฟเนื้อมาเพียงชิ้นเดียว ทำให้เราทานไม่อิ่มแม้จะสั่งเซ็ตเมนูที่ใหญ่ที่สุดของทางร้านแล้วก็ตาม และด้วยราคาต่อเซ็ตที่สูงถึง 3,590 บาท ถือว่าสูงพอสมควรสำหรับห้องอาหารระดับ 1 ดาวมิชลิน ทำให้ใครที่มองเรื่องความคุ้มค่าหรือรสชาติต่อราคาอาจต้องพิจารณาในจุดนี้ด้วย

Le Du Experience 6 Course Menu (3590++/p)

Amuse Bouche

Wild Sea Bass
Water Melon | Smoke Fish Cream

Khao-Chae
Shrimp | Pork | Jasmine Ice cream

Ocean Cat Fish
Bamboo shoot | Ivory gourd

River Prawn
Pork belly jam | Shrimp Paste | Organic Rice

Charchol-Grilled Pork Jowl
Five Spices | Chinese Olive

OR

Local Beef Short Rib
Green Curry | Pickled Local Melon

Pre Dessert

Mango Panna Cotta
Sticky Rice | Smoked Coconut

OR

Coconut Panna Cotta
Lemon Zest | Coconut Charchol Ice Cream

OR

Jackfruit
Its seed | Tamarind

Petit Four

รสชาติ : 7/10
ราคา : 4/10
ความคุ้มค่า : 5/10
บริการ : 7/10

ความประทับใจโดยรวม : 7/10

อาหารรสชาติดีสมกับระดับ 1 ดาวมิชลิน ราคาค่อนข้างสูงแม้เทียบกับร้านระดับ 1 ดาวมิชลินในยุโรป

Amuse Bouche

สำหรับอมูสบูชอย่างแรกคือ ”ม้าฮ่อ” ที่เราขอเรียกว่าม้าฮ่อจิ๋ว เพราะมีขนาดเล็กมาก ด้านล่างคือ Compressed pineapple หรือสับปะรดรสเปรี้ยวอมหวานที่เชฟนำมาบีบอัด ทอปด้านบนด้วยถั่วกวนรสหวานตัดกันช่วยเรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี


Amuse Bouche

สำหรับอมูสบูชอย่างที่สองนำเสิร์ฟพร้อมกันกับอย่างแรกคือ “กระทงทองบีทรูทดอง” แป้งกระทงทองบางกรอบเพอร์เฟคมากๆ ด้านในเป็นมูสไก่เนื้อเนียน ทอปด้านบนด้วบีทรูทดองที่มีรสอมเปรี้ยวเล็กน้อย มีเนื้อสัมผัสกรอบ ที่สำคัญคือกลิ่น Earthy ของบีทรูทถูกขจัดออกไปจนเกือบหมดและไม่กลบรสและกลิ่นของมูสไก่ สุดยอดสมกับเป็นห้องอาหารติดดาวจริงๆ

Amuse Bouche

อมูสบูสอย่างสุดท้ายคือ “ยำปลาน้ำดอกไม้” โดยเชฟใช้เนื้อปลาน้ำดอกไม้หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ราดด้วยน้ำสีขาวเหลืองคือซาบายองสาโท ทอปด้วยลูกหม่อนหรือมัลเบอร์รี่ และใบกระเจี๊ยบแดงทานทุกองค์ประกอบพร้อมกัน เนื้อปลาสด นุ่ม ละมุนมากๆ รสยำเปรี้ยว หวาน อร่ยอใช้ได้ กลิ่นหอมและรสชาติอมเปรี้ยวของลูกหม่อน ช่วยเรียกน้ำย่อยได้อย่างดี

Wild Sea Bass
Water Melon | Smoke Fish Cream

สำหรับอาหารคอร์สแรกคือ “ปลาแห้งแตงโม” โดยเชฟใช้ปลากระพงดองราดด้วยมูสปลาช่อนแห้งรมควัน (Smoked snake head fish cream) ด้านบนมีหอมดอง ผงสีเขียวคือเปลือกแตงโมดอง ด้านขวาคือแตงโมหั่นเต๋า ทอปด้านบนด้วยปลาแห้งทำมาจากปลากดและปลาช่อนแห้ง สำหรับคอร์สนี้ตอนทานจะได้ความฉ่ำหวานของแตงโม ตัดกับรสเค็มของปลาแห้งสองอย่าง เนื้อปลากระพงดองให้เนื้อสัมผัสที่ต่างกันกับแตงโมช่วยให้จานนี้มีมิติมากขึ้น ส่วนกลิ่นที่เด่นที่สุดขอยกให้มูสปลาช่อนรมควัน ที่เพียงหลับตาทานเเล้วสามารถบอกได้เลยว่า นี่แหละ ปลาช่อนแน่ๆ หอมมากจริงๆ ถือว่าเป็นคอร์สเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

Khao-Chae
Shrimp | Pork | Jasmine Ice cream

สำหรับคอร์สที่สอง เป็นคอร์สใหม่ที่ถูกเพิ่มมาในเมนูประจำฤดูร้อนนี้คือ “ข้าวแช่” เมนูคลายร้อนที่สามารถหาทานได้ตามห้องอาหารตำรับชาววังทั่วไป แต่เชฟนำมายกระดับให้ล้ำขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งโดยการเปลี่ยนข้าวที่แช่ในน้ำเย็นให้เป็นไอศกรีมน้ำดอกมะลิ ด้านซ้ายคือเครื่องประกอบไปด้วย ทรงกลมลูกใหญ่คือหมูหวาน ทรงกลมลูกเล็กคือลูกกะปิ ครีมไชโป๊สีขาว น้ำพริกหนุ่ม หมูฝอย เวลาทานให้ตักไอศกรีมทานกับเครื่องเคียงต่างๆ ความดีงามที่สุดในจานนี้ขอยกให้ไอศกรีม ที่สามารถบอกได้ทันทีที่ทานเลยว่ามันคือมันคือน้ำดอกมะลิ หรือต่อให้หลับตาชิมโดยไม่บอกส่วนประกอบก็รู้ว่ามันคือน้ำดอกมะลิจริงๆ เนื่องจากมีกลิ่นหอมดอกมะลิเด่นเป็นเอกลักษณ์มากๆ แต่กลับไม่มีรสชาติของไอศกรีมเลยเพื่อไม่ให้กลบรสเครื่องเคียง สำหรับเครื่องเคียงทุกอย่างทำออกมาในแบบที่ควรจะเป็น หมูหวานราหวานอร่อย ลูกกะปิรสดี ไม่เหม็นคาว ครีมไชโป๊เนื้อเนียน น้ำพริกหนุ่มเผ็ดร้อนถึงใจแบบคนไทยทาน หมูฝอยรสหวานเค็ม ทานสลับกันไปมา สดชื่นเป็นที่สุด

Ocean Cat Fish
Bamboo shoot | Ivory gourd

สำหรับคอร์สที่สามคือ “แกงปลาดุกทะเลย่างตำลึง” โดยทางร้านแล่ปลาดุกทะเลนำไปย่างกับซอสพริกหวานจนซอสเคลือบและซึมเข้าในเนื้อปลา ด้านล่างใต้เนื้อปลามีไข่ปลาดุกทะเลผสมกับผัดตำลึง ด้านหน้าคือตำลึงทอดกรอบ เสิร์ฟคู่กับองค์ประกอบทางด้านซ้ายคือหน่อไม้ดองหั่นเป็นวงกลมมีรูตรงกลางและใส่เจลสีเหลืองทำจากปลาดุกย่างขมิ้นลงไป สุดท้ายคือแกงปลาดุกทะเลย่างตำลึงที่พนักงานจะมาราดให้ที่โต๊ะ เนื้อปลาดุกนุ่ม ละมุนมากๆ ซอสพริกหวานรสเผ็ดซึมแทรกเข้าไปอยู่ในเนื้อปลา ไข่ปลาด้านล่างให้รสมันๆเค็มๆ หน่อไม้ดองมีเนื้อสัมผัสกรอบตัดกันกับความนุ่มของเนื้อปลาดุกได้อย่างดี เป็นอีกจานที่ทำออกมาได้ดีมากจนเราแอบว้าวเลยเหมือนกัน

River Prawn
Pork belly jam | Shrimp Paste | Organic Rice

สำหรับคอร์สถัดมาเป็นเมนูซิกเนเจอร์ขึ้นชื่อของทางร้านคือ “ข้าวคลุกกะปิ” โดยทางร้านคัดเลือกใช้ข้าวออแกนิคคุณภาพสูงจากแหล่งปลูกในอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอนนำมาเคี่ยวจนนุ่มหนึบคล้ายกับรีซอตโต้ ทอปด้านบนด้วยเครื่องเคียงของข้าวคลุกกะปิคือมะม่วงหั่นเต๋า พริก และหอมแดงซอย มีหมูหวานเป็นลูกทรงกลมอยู่ด้านล่าง ด้านซ้ายคือกุ้งแม่น้ำไซส์ใหญ่ครึ่งตัวที่ย่างมาแบบสุกกำลังดี ราดด้วยซอสทำจากมันหัวกุ้งและต้มยำองค์ประกอบที่ใส่มาบริเวณหัวกุ้งคือไข่เป็ดที่ทอดจนฟูกรอบ เวลาทานให้บีบมะนาวใส่ข้าวและคลุกทานสลับกัน เนื้อกุ้งแม่น้ำนุ่ม เด้งในแบบที่ควรจะเป็น ซอสมันหัวกุ้งต้มยำมีกลิ่นหอม เนื้อครีมเนียน ละมุนมากๆ ข้าวคลุกกะปิมีรสเปรี้ยวหวานเค็มเผ็ดถึงเครื่อง หมูหวานทำออกมาดีเช่นกัน นอกจากทุกอย่างล้วนมีรสชาติที่ดีเเล้วยังเข้ากันได้เมื่อทานสลับกันไปมาอีกด้วย อร่อยสมกับเป็นเมนูซิกเนเจอร์ประจำร้านจริงๆ

Charchol-Grilled Pork Jowl
Five Spices | Chinese Olive

หรือจะเลือกทานอาหารจานหลักซิกเนเจอร์ประจำร้านที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “ข้าวขาหมู” โดยทางร้านเลือกใช้ส่วนคอหมูนำไปซูวีด้วยไฟอ่อนเป็นระยะเวลาหนึ่งคืน ต่อมาจึงนำไปย่างด้วยไฟอ่อนๆของเตาถ่านจนเนื้อนุ่ม ด้านซ้ายเป็นข้าวบาร์เลย์ผัดกับกุนเชียงย่าง ทอปด้านบนด้วยผักฉ่อยดอง ไข่นกกระทาต้มมาแบบยางมะตูม ด้านล่างคือเจลอาจาดสีส้ม และด้านบนคือซอสขาหมู ตัวหมูมีกลิ่นหอมสมากๆ เนื้อนุ่ม ละมุนสุดๆ อร่อยไม่แพ้เนื้อหมูอิเบอริโก้ของสเปนเลยก็ว่าได้ ข้าวบาร์เลย์หุงมาสุกพอดี เหนียวหนึบ ผักฉ่อยดองมีรสอมเปรี้ยวอ่อนๆ ไข่นกกระทายางมะตูมต้มมาได้ไร้ที่ติ ทานกับซอสขาหมูรสหวานกลมกล่อมและเจลอาจาด อร่อยยกนิ้วเลยทีเดียว


Local Beef Short Rib
Green Curry | Pickled Local Melon

สำหรับอาหารจานหลักคอร์สแรกคือ “แกงเขียวหวานซี่โครงเนื้อพริกขี้หนู” โดยทางร้านใช้เนื้อวัวคุณภาพสูงจากฟาร์มของคุณ โต Silly Fools จังหวัดนครราชสีมา นำไปซูวีถึงสองคืน เสิร์ฟในความสุกระดับมีเดียมแรร์ รองด้านล่างด้วยเพียวเรทำจากกะปิและใบโหระพา องค์ประกอบด้านซ้ายมือคือฟักดอง ทอปด้วยยอดมะพร้าวอ่อนตุ๋นกะทิ พริกอีมัลชั่น ทานกับแกงเขียวหวานรสเด็ด เนื้อที่เสิร์ฟมาเเม้ว่าจะเป็นเนื้อไทยแต่มีคุณภาพสูงมาก เนื้อนุ่มจนเกือบละลายในปาก ฟักดองด้านซ้ายกับยอดมะพร้าวอ่อนทานตัดเนื้อสัมผัสกับเนื้อได้ดี อีกหนึ่งทีเด็ดของจานคือแกงเขียวหวาน เนื้อแกงเนียน นุ่ม มีกลิ่นหอม มีรสเผ็ดอ่อนๆ อร่อยมากจริงๆจนเราตักแกงทานจนเกลี้ยงจานเลยทีเดียว

เนื่องจากพื้นที่ไม่พอขออนุญาติต่อในคอมเม้นนะคะ

ปล.ฝากติดตามเพจ FB: ตามล่า Fine Dining

รวบรวมร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์หลายร้อยแห่งทั่วโลก รวมถึงร้านอาหาร “ทุกร้าน” ในมิชลินไกด์ฉบับกรุงเทพฯ ไปล่าของกินด้วยกันค่ะ
ชื่อสินค้า:   Le Du ฤดู ร้านอาหารไทยร่วมสมัย ดีดรี 1 ดาวมิชลิน
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่