[CR] บอสพาชิม : Scandinavia Trip EP:2 Ox ร้านอาหารที่อินดี้ที่สุดในไอซ์แลนด์


Oxนั้นมีหลายฉายา ร้านอาหารที่เล็กสุดในไอซ์แลนด์ ร้านอาหารที่exclusiveที่สุดในไอซ์แลนด์ และเเน่นอนสำหรับผม ร้านอาหารที่อินดี้ที่สุดในไอซ์แลนด์

สำหรับร้าน Ox นั้นคุณไม่อาจจะวอร์คอินเข้าไปกินได้โดยไม่จองล่วงหน้า เเละคุณต้องจ่ายเงินค่าอาหารรวมเครื่องดื่มทั้งหมดเต็มจำนวนล่วงหน้าก่อนแล้วเท่านั้นในเวลาจอง
ถึงแม้เราจะต้องจ่ายเงินล่วงหน้าเเต่เมนูของร้านไม่มีอะไรตายตัวและจะเปลี่ยนไปทุกวันตามเเต่เชฟอยากทำอะไรเเละมีราคาเดียวซึ่งรวมเครื่องดื่มเเล้ว โดยมีสองออฟชั่นซึ่งราคาเท่ากันคือเเพรร์ริ่งแอลกอฮอล์ เเละ เเพร์ริ่งเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์

พื้นที่ร้าน Ox นี้มีที่นั่งไม่ถึงสิบที่นั่ง ลูกค้าทั้งหมดต้องมานั่งในโต๊ะเดียวเพื่อสนทนากันกับคนรอบข้าง เพื่อให้สมกับความตั้งใจของเชฟ Þráinn Freyr Vigfússon ที่มีความฝันที่จะเปิดร้านที่ทุกคนสามารถมาสนทนา พูดคุยกัน โต๊ะอาหารที่เปลี่ยนคนเเปลกหน้าให้กลายเป็นเพื่อน โต๊ะอาหารที่เราสามารถสนทนาอยากสนุกสนานไม่เพียงเเต่เรื่องอาหาร เเต่รวมถึงทุกเรื่อง ซึ่งเป็นแบบความหวังของเชฟมาตั้งเเต่เริ่มเส้นทางอาชีพ

คอนเซ็ปต์​ของร้านคือการผจญภัย สังสรรค์​เเละเเลกเปลี่ยนประสบการณ์​ ผ่านผู้ร่วมทางทั้งหลาย โดยเชฟบอกว่าไอซ์แลนด์เป็นสนามเด็กเล่นของเราที่จะผจญภัยไปกับรสชาติเเละประสาทสัมผัส ดื่มด่ำไปกับการค้นพบอะไรใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มาเยือนเเบบผมที่มาจากเอเชียนั้นอาหารทุกจานดูน่าตื่นตาตื่นใจเสมอ


โดยตอนเเรกลูกค้าจะไม่รู้ว่าร้านตั้งที่ไหน มีสถานที่ตั้งเป็นความลับซึ่งเราจะรู้เมื่อถึงวันเเละเวลาที่จองเท่านั้น ณ จุดนัดพบ ที่จะได้รับในทางอีเมลล์เมื่อเรามัดจำเรียบร้อยเเล้ว
เมื่อฟังข้อมูลทั้งหมดหมายความว่า เราไม่รู้ว่าร้านจะเสริฟ์อะไร ที่ไหน เเต่ต้องจ่ายเงินก่อนเต็มจำนวนนี่นะ ยังจะมีคนจองอีกหรือ เเต่ช้าก่อนร้านนี้ได้รับการยอมรับจากมิชลินไกด์ด้วยรางวัลมิชลินเพลท(2019)ด้วยนะครับ หรือจะติด Nordic White guide ที่มีมาตราฐานสูงอีกด้วย เเถมร้านนี้จองยากชนิดเรียกว่าเต็มเเทบจะในทันทีที่เปิดจองทุกสามเดือน

จะเป็นอย่างไรตื่นเต้นจัง จะถูกหลอกแบบ The Shed at Dulwichหรือเปล่านี้คือความรู้สึกของผมเมื่อจองOx ไปเมื่อสามเดือนก่อน แต่อย่างไรก็ตามผมขอชื่นชมในควากล้าของเชฟ ที่เลือกที่จะเปิดร้านอาหารเฉพาะทางสุดๆขึ้นมาในประเทศอย่างไอซ์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศดูจะไม่เหมาะสมกับคอนเซ็ปท์ของร้านเอาเสียเลย

ในอีเมลล์ตอบรับ ผมได้รับสถานที่นัดหมายที่ไม่อาจจะเปิดเผยได้เพื่อความสนุกของทุกท่าน โดยใจความสำคัญคือของให้ทุกท่าน “มาตรงเวลา” เพราะทางร้านจะเริ่มเสริฟ์อาหารให้เเขกพร้อมกัน

ในวันนั้นผมก้าวเท้าออกจากโรงเเรมเพียงระยะเดินเเค่30เมตรจากที่พักผมก็ถึงที่นัดหมาย ทันที่ที่ผมเปิดประตูก้าวเข้าร้าน เชฟก็ได้จัดที่นั่งให้ผมข้างๆพนักงานจากร้านมิชลินสตาร์ที่โคเปนเฮเกนซึ่งมาคนเดียวเหมือนกันเเละคู่สามีภรรยาชาวเเคว้นบริทานี่ ที่ย้ายมาตั้งรกรากที่ไอซแลนด์อีกข้างนึง ซึ่งต้องยอมรับว่าเชฟได้จัดที่นั่งจากโปรไฟล์ลูกค้าได้อย่างน่าสนใจ

ในวันนั้นพวกเราคุยกันอย่างสนุกสนานนานหลายชั่วโมง จนลืมเวลาไปเลยครับ กว่าผมจะออกมาจากร้านได้เรียกว่าผ่านไปเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน เป็นประสบการณ์ที่สนุกสนานเเละวิเศษสุดๆ ที่ผู้ชื่นชอบไฟน์ไดนน์นิ่งควรไปลอง ในเมนูอาหารจะมีอะไรบ้างไปชมกันได้เลยครับ


เมื่อมาถึงผมได้รับการต้อนรับด้วยตัวเชฟÞráinnด้วยตัวเอง เชฟรินเเชมเปญออเเกนิคจากผู้ผลิตรายเล็กๆทางตอนใต้ของเเคว้นเเชมเปญ เพื่อรอให้ผู้รว่มโต๊ะอาหารของเราครบทุกคนเสียก่อนถึงจะเริ่ม


Amuse Bouche ของเราคำเเรกในคำคืนนี้คือกระทงทองที่ทำจากRyebread ใส่มะเขือเทศสับ เเละมูสจากสมุนไพร ผมชอบคำนี้เป็นอย่างมากครับ เมื่อเข้าปากเราจะได้รับความกรุบกรอบติดรสหวานนิดของไรน์กระทงทองก่อน ตามด้วยรสเปรี้ยวหวานของมะเขือเทศเข้ามาเเทรก ก่อนปิดท้ายด้วยรสละมุนสดชื่นจากมูสสมุนไพรที่ทำให้มะเขือเทศเข้ากับกระทงทองได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นคำเปิดมื้ออาหารที่ดีมากครับ


AmuseBouche คำต่อมาเป็นเนื้อเป็ดไอซ์เเลนด์บ่มในสมุนไพร คำนี้เชฟทำได้ดีที่เดียวครับ ตัวเนื้อเป็ดนั้นไม่เเห้งจนเหนียวเกินไปตัวเนื้อเป็ดนั้นนุ่มเเละยังมีความหนึบหนับ ค่อยๆเคี้ยวไป ความเข้มข้นในตัวเนื้อก็จะค่อยๆปรากฏตัว ตามมาด้วยกลิ่นหอมสมุนไพรในเนื้อเป็ดที่มีกลิ่นคล้ายพะโล้ ก่อนปิดด้วยรสเผ็ดร้อนจากพริกไทยที่ปลายลิ้นนิดนึง อร่อยมากครับ


Amuse bouche คำนี้นั้นคือครีมใบวาซาบิ เนื้อกุ้ง แอปเปิล ห่อด้วยใบวาซาบิ เชฟได้บอกเราว่าไอซแลนด์นั้นเป็นประเทศเดียวในยุโรปที่สามารถปลูกวาซาบิได้ โดยอาหารไอซ์เเลนด์นั้นจะใช้ใบวาซาบิซึ่งต่างจากอาหารญี่ปุ่นที่เราคุ้นชิน คำนี้นั้นสำหรับผมกลิ่นของวาซาบิที่มีรสฉุนคล้ายมัสตาร์ดผสมกับวาซาบินั้นมีส่วนสำคัญมากเพราะช่วยชูรสเปรี้ยวหวานของแอปเปิ้ลเเละความหวานในเนื้อกุ้งออกมาได้อย่างชัดเจน


Amuse bouche จานนี้เป็นอีกจานนึงที่ผมชื่นชอบสุดในมื้อนี้ เนื้อหอยเชลล์ดิบสดใหม่รสหวานละมุน ถูกราดด้วยซอสครีมอุ่นๆหอมกลิ่นข้าวโพดจางๆ ก่อนโรยด้วยรากparsnipตากแห้งป่นที่ส่งกลิ่นคล้ายพะโล้

จานนี้ความวิเศษของมันคือความซับซ้อนในรสชาติที่ไม่ตีกัน ตัวซอสนั้นถูกปรุงรสมาได้อย่างพอดีไม่กลบรสหวานของเนื้อหอย เเละกลิ่นของรากparsnip เนื้อหอยเชลล์ที่เย็นๆตัดกับความอุ่นของซอส อร่อยมากครับ


Amuseboucheคำสุดท้ายในวันนี้ เป็นเเตงกวาดองในใบต้นไพน์เเละเม็ดผักชี รับประทานกับคอนซอมเม่เเตงกวาที่เสริฟ์มาเเบบเย็น คำนนี้ผมทึ่งเชฟที่ทำผักดองที่ดูจะเเสนธรรมดาจานนี้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม กลิ่นเขียวหอมเย็นที่ชวนให้นึกถึงป่าของใบไพน์นั้นเข้ากับกลิ่นของเเตงกวาได้อย่างยอเยี่ยม ความเย็นสดชื่นในจานนี้ยังถูกขับให้เด่นชัดขึ้นด้วยคอนซอมเม่เเตงกวารสเปรี้ยวหวาน ก่อนตบท้ายด้วยรสฉุนเล็กๆของเม็ดผักชี น่าสนใจเลยทีเดียวครับ


อาหารจานเเรกของวันนี้ ใบเวอรบาน่ากับหัวไช้เท้าซ้อนกันเป็นเลเยอร์ ราดซอสครีมที่มีส่วนผสมของฮอสเรดิส(Horseradish)กับไข่ปลาลัมที่เชฟหมักเอง(Lumpfish) ผมชอบจานนี้ตรงที่มีหอมเปรี้ยวหวานจากใบเวอรบาน่าที่เข้ากันกับกลิ่นผักของไชเท้าอย่างไม่น่าเชื่อ รสความหวานของหัวไชเท้าสดคุณภาพเยี่ยมนั้นถูกชูให้เด่นด้วยรสเค็มอุ่นๆของซอสครีมที่ฉุนปลายจมูกนิดนึง ก่อนจะปิดท้ายด้วยความกรุบกรอบของไข่ปลา อร่อยมากๆครับ


จานต่อมาเชฟเลือกเสริฟ์พาสต้า โดยเชฟเสริฟ์นอกกี้(nocchi)ทำเองจากรูทาปาก้า(rutabaga) จานนี้เสริฟ์มาพร้อมกับอัลม่อนต์กรอบ ขนมปังซาวโดว์ป่นและไข่เป็ดรมควันตากเเห้งฝอย นอกกี้ของทางร้านทำมาได้อย่างยอดเยี่ยมและน่าหลงไหล ตัวเนื้อพาสต้ามีเนียนนุ่มหนึบหนับเคี้ยวมัน ซอสครีมอุ่นนั้นถูกทำให้น่าสนใจด้วยอัลม่อนต์ฝานกลิ่นหอมกรุ่นเเละไข่เป็ดที่มีรสเค็มเล็กน้อย ก่อนปิดท้ายด้วยขนมปังป่นที่ช่วยเพิ่มเท็กเจอร์ความกรุบกรอบตัดกันความนุ่มของพาสต้าให้น่าสนใจมากขึ้น

ขนมปังของทางร้านถูกห่อมาในกล่องนมครับ


จานถัดมาเชฟเสริฟ์ขนมปังไรน์อบด้วยความร้อนจากพิภพ โดยขนมปังของทางร้านนั้นถูกส่งมาวันต่อวันจากคนอบขนมปังที่เป็นเพื่อนเชฟ โดยเชฟเสริมว่าขนมปังนั้นจะไม่เหมือนกันในเเต่ละวันเพราะถูกอบโดยความร้อนใต้ดินที่เราควบคุมไม่ได้ โดยเชฟตั้งข้อสังเกตว่าขนมปังในฤดูหนาวจะมีเนื้อที่เเน่นกว่าฤดูร้อน ขนมปังไรน์ของทางร้านถูกเสริฟ์มาอุ่นๆ มีเนื้อเเน่นหวานนิดๆเหมือนกินเค้ก หอมกลิ่นข้าวไรน์นิดๆ ยิ่งกินคู่กับเบียร์ดำอย่างporter เเก้วนี้ที่ผลิตในไอซ์เเลนด์เเล้วยิ่งเข้ากัน ถึงตรงนี้เชฟยังเสริมเกล็ดความรู้เล็กๆว่าคนไอซ์เเลนด์นั้นมักจะผสมเบียรดำกับน้ำส้มกินในหน้าหนาวเพื่อป้องกันหวัดเเละเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย


นื้อปลาม้องค์เป็นอย่างต่อมาที่ถูกเสิรฟ์ เชฟนำเนื้อปลาไปอบอย่างช้าๆเเละนำไปย่างต่อ ก่อนเสริฟ์มาพร้อมกับพิวเร่สองสีจากกระเทียมกับกระเทียมดำ และรับประทานกับซอสที่ทำจากตับปลาม้องค์และเนย เนื้อปลาม้องค์สีขาวของที่นี้นั้นวิเศษมากเนื้อเเน่นกรอบเด้งในปากเนื้อฉุ่มช่ำหอมกลิ่นควันนิดๆ ซอสตับปลาม้องค์ก็ยอดเยี่ยมไม่เเพ้กันมีความหอมมันเข้มข้นออกเค็มนิดๆเข้ากับเนื้อปลาได้อย่างลงตัว เเต่ตัวที่ยอดเยี่ยมที่สุดเเละทำให้อาหารจานนี้โดดเด่นกว่าที่อื่นเห็นจะเป็นพิวเร่เเละเครื่องเคียงของเรา กระเทียมพิวเร่สีขาวที่ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมชวนหิว กระเทียมพิวเร่สีดำที่ช่วยเพิ่มรสเปรี้ยวหวานให้อาหารจานนี้กลมกล่อมได้อย่างกลมกลืน ทำได้ดีมากๆครับ

เครื่องเคียงอย่างบัตเตอรสลัดนั้นเสริฟ์มากับน้ำสลัดจากสมุนไพรนานาชนิด ให้รสฉุนเขียว ขมปนเปรี้ยวหวาน ตัดเลี่ยนจากอาหารจานหลักได้ดี


เนื้อแกะไอซด์แลนด์ย่างถูกเสริฟ์เป็นอย่างถัดมา ตัวเนื้อถูกเกรซด้วยซอสจากบูลเบอรี่และรมควันสมุนไพร เสริฟ์พร้อมกับใบแองเจลิก้า มันบด ซอสจากบูลเบอรรี่เเละน้ำจากเนื้อเเกะ โดยเเกะที่ทางร้านใช้นั้นเป็นเเกะ free range ที่ปล่อยวิ่งอย่างอิสระมากกว่าสามเดือน จึงได้เนื้อสัมผัสที่เด้งกรอบเเต่ทว่าไม่เหนียว

จานนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในจานที่ผมประทับใจที่สุดในมื้อนี้เลยครับ เพราะว่าเนื้อเเกะนั้นผิวกรอบนิดๆผิวสัมผัสตัดกับเนื้อด้านในอันอ่อนนุ่ม นอกจากนั้นผิวนอกของเนื้อเเกะยังมีกลิ่นหวานหอมจากบูลเบอรรี่ ซึ่งเข้ากับใบแองเจลิก้าที่มีกลิ่นหอมเย็นช่วยดับกลิ่นคาวเเกะได้อย่างละมุน จานนี้อร่อยมากๆครับ

ส่วนเครื่องเคียงด้านข้างนั้นเป็นซิลิเเลคกับแอปเปิล ซ้อนกันเป็นชั้นๆ มีรสเปรี้ยวหวานละมุนลิ้นเข้ากับเนื้อเเกะได้อย่างดี


กาเเฟทางร้านใช้ไซฟ่อนครับ


ชื่อสินค้า:   OX
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่