สิ่งนี้คือมหาภูตทั้ง4

ฉบับหลวง
[๒๓๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่
ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นพระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้าง
คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง
ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า
ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี
การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกาย
อันเป็นที่ประชุมแห่ง
มหาภูตทั้ง ๔ นี้
ย่อมปรากฏ ฉะนั้น
ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงเบื่อหน่ายบ้าง
คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น
แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่ง
มหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า
จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด
หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า
จิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนผู้มิได้สดับ
รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า
นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้
ตลอดกาลช้านาน ฉะนั้น
ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงจะเบื่อหน่าย
คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นไม่ได้เลย ฯ
[๒๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปุถุชนผู้มิได้สดับ
จะพึงเข้าไปยึดถือเอาร่างกาย
อันเป็นที่ประชุมแห่ง
มหาภูตทั้ง ๔ นี้
โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า
แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่ง
มหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ปีหนึ่งบ้าง
สองปีบ้าง สามปีบ้าง
สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง
ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง
สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง
ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง
ย่อมปรากฏ
แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกาย
อันเป็นที่ประชุมแห่ง
มหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า
จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่ง
เกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป
ในกลางคืนและในกลางวัน ฯ

ฉบับมหาจุฬาฯ
พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ... เขตกรุงสาวัตถี ณ ที่นั้น
พระผู้มีพระภาค ...
“ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
พึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้างหลุดพ้นบ้าง
จากกายซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะเหตุที่
การประชุมก็ดี
ความสิ้นไปก็ดี
การยึดถือก็ดี
การทอดทิ้งกายซึ่ง
เป็นที่ประชุมแห่ง
มหาภูตทั้ง ๔ นี้ก็ดี
ย่อมปรากฏ
เพราะฉะนั้น
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
พึงเบื่อหน่ายบ้าง
คลายกำหนัดบ้าง
หลุดพ้นบ้างจากกายนั้น
ตถาคตเรียกสิ่งนี้ว่า
‘จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง’
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
ไม่อาจเบื่อหน่าย
คลายกำหนัด
หลุดพ้นไปจาก
จิตเป็นต้นนั้นได้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะจิตเป็นต้นนี้
ถูกรัดไว้ด้วยตัณหา
ยึดถือว่าเป็นของเรา
เป็นสิ่งที่ปุถุชน
ผู้ไม่ได้สดับยึดมั่นว่า
‘นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา’
ตลอดกาลนาน
เพราะฉะนั้น
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
จึงไม่อาจเบื่อหน่าย
คลายกำหนัด
หลุดพ้นไปจาก
จิตเป็นต้นนั้นได้
ภิกษุทั้งหลาย
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
พึงยึดถือกาย
ซึ่งเป็นที่ประชุมแห่ง
มหาภูตทั้ง ๔ นี้
โดยความเป็นอัตตายังประเสริฐกว่า
ส่วนการยึดถือจิตโดยความเป็นอัตตา
ไม่ประเสริฐเลย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะกายซึ่งเป็นที่ประชุมแห่ง
มหาภูตทั้ง ๔ นี้
เมื่อดำรงอยู่ ๑ ปีบ้าง ๒ ปีบ้าง
๓ ปีบ้าง ๔ ปีบ้าง ๕ ปีบ้าง
๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง ๓๐
ปีบ้าง ๔๐ ปีบ้าง ๕๐ ปีบ้าง
๑๐๐ ปีบ้าง หรือเกินกว่าบ้าง
ก็ยังปรากฏ
ตถาคตเรียกสิ่งนี้ว่า
‘จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง’
จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น
ดวงหนึ่งดับไปตลอดทั้งคืนและวัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่