แม้จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้
และทรงจำแนกขันธ์ในแต่ละขันธ์แล้วว่า
อย่างไรคือรูปหรือกาย อย่างไรคือเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
ทรงแสดงว่าขันธ์แต่ละขันธ์ต้องอิงอาศัยกันและกันในการเกิดขึ้นและดับไป
และล้วนมีมาแต่เหตุปัจจัย ซึ่งหาตัวตนอันใดมิได้ในขันธ์เหล่านั้น
ทรงแสดงชัดเจนว่า เมื่อมีเหตุให้เกิด ขันธ์ทั้งห้าย่อมปรากฎ และเมื่อเหตุแห่งการปรากฎแห่งขันธ์นั้นดับลง ขันธ์ทั้งปวงย่อมดับไปตามเหตุนั้น
ท่านทรงแสดงต่อไปอีกว่า สิ่งๆหนึ่งที่ทำให้คิดว่า
เราหรือใครคือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สิ่งๆนั้นคืออุปาทาน
อันมีเหตุมาจากตัณหาและอวิชชา
คือความหลง หลงในสิ่งที่ไม่มีตัวตนว่ามีตัวตน หลงในขันธ์ทั้งห้าว่าเป็นเราหรือใครที่อยู่เบื้องหลังขันธ์เหล่านั้น
นั่นคือความรู้ทางพุทธ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
แต่ก้อยังมี พุทธบางจำพวก ที่ไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
กลับเอาความคิดตนเองมาผสมผสานกับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดง แล้วแทนที่จะศึกษาในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเป็นหลัก
กลับเอาสิ่งที่ตนเองคิดเองเป็นหลัก แล้วเอาความคิดอันเป็นปุถุชนนั้นมากลบ หักล้างในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
โดยพยายามจะคิดเองว่า มีตัวตน เราหรือใครที่เป็นเจ้าของในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ลัทธินอกพุทธ มิอาจเข้าใจในพุทธนั่นไม่เท่าไหร่ และมิอาจทำให้หลักแห่งพุทธคลาดเคลื่อนได้
แต่สาวกบางจำพวกในพุทธเองต่างหาก ที่แม้หลักแห่งพุทธก้อมิพยายามศึกษาให้เข้าใจ
นอกจากจะไม่เข้าในพุทธแล้ว ยังพยายามจะลากพุทธให้เป็นลัทธินอกพุทธเข้าไปอีก
เหล่านั่นมิใช่พุทธหรอกครับ หากแต่เป็นสนิมเนื้อในที่จะกัดกร่อนความเป็นพุทธให้เป็นอื่นไป
คุณล่ะครับ เป็นพุทธหรือเป็นสนิมในเนื้อในตน
ได้เคยสังวรณ์และพิจารณาในข้อนี้กันบ้างหรือไม่
พุทธบางจำพวก
และทรงจำแนกขันธ์ในแต่ละขันธ์แล้วว่า
อย่างไรคือรูปหรือกาย อย่างไรคือเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
ทรงแสดงว่าขันธ์แต่ละขันธ์ต้องอิงอาศัยกันและกันในการเกิดขึ้นและดับไป
และล้วนมีมาแต่เหตุปัจจัย ซึ่งหาตัวตนอันใดมิได้ในขันธ์เหล่านั้น
ทรงแสดงชัดเจนว่า เมื่อมีเหตุให้เกิด ขันธ์ทั้งห้าย่อมปรากฎ และเมื่อเหตุแห่งการปรากฎแห่งขันธ์นั้นดับลง ขันธ์ทั้งปวงย่อมดับไปตามเหตุนั้น
ท่านทรงแสดงต่อไปอีกว่า สิ่งๆหนึ่งที่ทำให้คิดว่า
เราหรือใครคือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สิ่งๆนั้นคืออุปาทาน
อันมีเหตุมาจากตัณหาและอวิชชา
คือความหลง หลงในสิ่งที่ไม่มีตัวตนว่ามีตัวตน หลงในขันธ์ทั้งห้าว่าเป็นเราหรือใครที่อยู่เบื้องหลังขันธ์เหล่านั้น
นั่นคือความรู้ทางพุทธ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
แต่ก้อยังมี พุทธบางจำพวก ที่ไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
กลับเอาความคิดตนเองมาผสมผสานกับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดง แล้วแทนที่จะศึกษาในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเป็นหลัก
กลับเอาสิ่งที่ตนเองคิดเองเป็นหลัก แล้วเอาความคิดอันเป็นปุถุชนนั้นมากลบ หักล้างในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
โดยพยายามจะคิดเองว่า มีตัวตน เราหรือใครที่เป็นเจ้าของในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ลัทธินอกพุทธ มิอาจเข้าใจในพุทธนั่นไม่เท่าไหร่ และมิอาจทำให้หลักแห่งพุทธคลาดเคลื่อนได้
แต่สาวกบางจำพวกในพุทธเองต่างหาก ที่แม้หลักแห่งพุทธก้อมิพยายามศึกษาให้เข้าใจ
นอกจากจะไม่เข้าในพุทธแล้ว ยังพยายามจะลากพุทธให้เป็นลัทธินอกพุทธเข้าไปอีก
เหล่านั่นมิใช่พุทธหรอกครับ หากแต่เป็นสนิมเนื้อในที่จะกัดกร่อนความเป็นพุทธให้เป็นอื่นไป
คุณล่ะครับ เป็นพุทธหรือเป็นสนิมในเนื้อในตน
ได้เคยสังวรณ์และพิจารณาในข้อนี้กันบ้างหรือไม่