ธรรมะ สัจจธรรม​ ความจริง ก็มีอยู่เพืยงเท่านี้

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นธรรมดา

สติปัฏฐาน​4 ระลึกรู้ตามจริง

อุปาทานขันธสูตร
        [๒๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการ เป็นไฉน คือ รูปูปาทานักขันธ์ ๑   เวทนูปาทานักขันธ์ ๑    สัญญูปาทานักขันธ์ ๑   สังขารูปาทานักขันธ์ ๑   วิญญาณูปาทานักขันธ์ ๑   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้แล ฯลฯ   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ เพื่อละ อุปาทานักขันธ์ ๕ ประการนี้แล ฯ 

ปฏิจจสมุปบาท
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี
การเทศนาปฏิจจสมุปบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า อนุโลมเทศนา
หากแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น จากผลไปหาเหตุปัจจัย เช่น ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนี้ เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา
ลำดับแห่งปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์แก้ไข
ความทุกข์ จะดับไปได้เพราะ ชาติ (การเกิดอัตตา"ตัวตน"คิดว่าตนเป็นอะไรอยู่) ดับ
ชาติ จะดับไปได้เพราะ ภพ (การมีภาระหน้าที่และภาวะทางใจ) ดับ
ภพ จะดับไปได้เพราะ อุปาทาน (ความยึดติดในสิ่งต่าง ๆ) ดับ
อุปาทาน จะดับไปได้เพราะ ตัณหา (ความอยาก) ดับ
ตัณหา จะดับไปได้เพราะ เวทนา (ความรู้สึกทุกข์หรือสุขหรือเฉยๆ) ดับ
เวทนา จะดับไปได้เพราะ ผัสสะ (การสัมผัส) ดับ
ผัสสะ จะดับไปได้เพราะ สฬายตนะ (อายตนะใน๖+นอก๖) ดับ
สฬายตนะ จะดับไปได้เพราะ นามรูป (รูปขันธ์) ดับ
นามรูป จะดับไปได้เพราะ วิญญาณ (วิญญาณขันธ์) ดับ
วิญญาณ จะดับไปได้เพราะ สังขาร (อารมณ์ปรุงแต่งวิญญาณ-เจตสิก) ดับ
สังขาร จะดับไปได้เพราะ อวิชชา (ความไม่รู้อย่างแจ่มแจ้ง) ดับ

อินเดียในยุคนั้นเรียกว่าเป็นยุค “อุปนิสัตว์ คือมีความเชื่อเรื่องว่า “จิต หรือวิญญาณของคนเรานี้เป็นอัตตา (ตัวตนที่แท้จริง) ที่เที่ยงแท้ถาวร” ที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายแล้วไปเกิดใหม่ได้ ซึ่งเป็นหลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์  แต่ เมื่อพระพุทธองค์ทรงค้นพบความจริงว่าอัตตานั้นไม่ได้มีอยู่จริง เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาและเชื่อตามๆกันมาโดยไม่มีหลักฐานยืนยันเท่า นั้น จึงทำให้ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา รวมทั้งได้ทำให้เกิดคำว่า อนัตตา ที่แปลว่า ไม่ใช่อัตตา หรือ ไม่มีอัตตาขึ้น มา และก็ได้ทรงเผยแพร่หลักอนัตตาและหลักอริยสัจ ๔ นี้มาโดยตลอด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่