นิพพานเป็นทั้งอัตตาและอนัตตา
พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า ศาสนาของพระองค์จะอยู่ได้ถึง ๕,๐๐๐ ปี ถ้าครบ ๕,๐๐๐ ปีก็จะหมด
เหมือนไหม? มีข้อเสื่อมไปหมด ไม่มียกเว้นที่ไหน
เราจะบอกว่าเข้าสู่นิพพานแล้ว ยกเว้นพระไตรลักษณ์เหรอ? ในนิพพานก็มีพระไตรลักษณ์เหมือนกัน กฎพระไตรลักษณ์เป็นกฎแห่งธรรม ไปอยู่ไหนก็มีพระไตรลักษณ์ ไม่มีข้อยกเว้น
พ่อพรหม พ่อศิวะ พ่อวิษณุนารายณ์ ก็ไม่มีข้อยกเว้น มีแล้วก็เสื่อม ถอย แล้วก็มีต่อ ขึ้นแล้วก็ถอย ถอยแล้วก็ขึ้น เป็นไปตามกฎพระไตรลักษณ์
คำว่า โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ, ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเราตถาคต,
โย มํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ, ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม, หมายความว่าอย่างไร?
ถ้าเลย ๕,๐๐๐ ปี พระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติอยู่ ก่อนที่จะมีพระพุทธเจ้าก็ยังมีพระพุทธเจ้าองค์อื่นอีกที่ผ่านมา ตั้ง ๒๘ พระองค์ แล้วยังมีเตรียมไว้องค์ที่ ๒๙
ในระหว่าง ๕,๐๐๐ ปี พระพุทธเจ้ายังดูแลพระศาสนาอยู่ แม้ว่าเข้าสู่นิพพานแล้ว ก็ต้องดูแลอยู่ เพราะเป็นกาลของท่าน นี่แหละต้องมีอัตตา และอนัตตา
เหตุผลอะไรพระพุทธเจ้ายังต้องมาดูแลอยู่?
ก็เป็นภาวะธรรมของท่าน แต่ถ้าถึงยุคของพระอริยศรีเมตไตย ก็จะพ้นหน้าที่ของท่าน พระอริยฯ ก็ต้องมาดูแลต่อ
สมมติว่า เราอยู่ในป่าอเมซอน ไม่รู้จักพระพุทธศาสนาเลย แต่บำเพ็ญบารมีแล้ว?
แล้วป่าอเมซอนอยู่ในธรรมไหม?
ก็อยู่ในธรรม
แล้วอยู่เหนือธรรมไหม?
ก็ไม่เหนือธรรม
ฉะนั้ัน ทุกอย่างก็ไปตามกฎเกณฑ์ในธรรม
แค่นี้ก็เข้าใจได้
แม้ว่าจะเรียกพระพุทธเจ้าอะไร ก็ต้องอยู่ในธรรมนั้น ในธรรมนั้นก็จะมีพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆมาสอน
แล้วพระพุทธเจ้าดูแลอะไร?
แต่เวลานี้เราอาศัยคำสั่งสอนของท่านอยู่ ก็แค่นี้เอง จบไหม
นี่แหละทำไมเราจะต้องไหว้พระพุทธเจ้า เพราะคำสั่งสอนของท่านยังอยู่ พอครบ ๕,๐๐๐ปี คำสั่งสอนของงท่านก็จะแปรเปลี่ยนไป บุคคลก็จะมาแทน
เปรียบเหมือนกับมีรัฐธรรมนูญ เราก็ต้องอยู่ในรัฐธรรมนูญ ทุกคนก็ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ
เปรียบเสมือนใครๆ ก็ต้องอยู่ในคำสั่งสอนของศากยมุนีอยู่ ก็ต้องเป็นศากยมุนี
อัตตา แต่มีอนัตตาอยู่ในนั้น จึงจะคงความเป็นอัตตาได้ ถ้าเบื้องต้นไม่มีอัตตาไม่ได้
เบื้องต้นนิพพานจะต้องมีอัตตาก่อน พอมีอัตตาแล้วจึงจะเข้าสู่ภาวะนิพพานแท้ แต่นิพพานที่มีอัตตานั้นเป็นนิพพานจริง แต่ถ้าเข้าสู่ภาวะอนัตตาแล้วจะเป็นนิพพานแท้จริง
นิพพานจริงก็คือเข้าสู่ความสุขสงบ ฯลฯ แต่เราจะเอาความสุขสงบได้ไหม? ก็ไม่ได้ ถ้าได้ก็ไม่ใช่นิพพาน แต่ถ้านิพพานมีสุขสงบ ถ้ามีสุขสงบก็ต้องมีทุกข์ เป็นของคู่กัน จะถือว่าสุขสงบไม่ได้ ถือว่ามีทุกข์ก็ไม่ได้ มีสุขก็ไม่ได้ ตกลงไม่มีอะไรเลย ว่างจากการยึดมั่นถือมั่น
พอไม่มีอะไรเลย ถึงไม่มีเหตุซึ่งกันและกัน และจึงไม่เป็นผลซึ่งกันและกัน นี่แหละ ดำรงแห่งความเป็นนิพพาน ภาวะของนิพพานเป็นเช่นนี้ ไม่มีอะไรเป็นเหตุและไม่มีอะไรเป็นผล ถ้าคุณมีเหตุก็ต้องมีผล
ถ้าเราใช้คำว่า "เหนือเหตุและผล" ก็ไม่ถูกอีก ถ้าเหนือเหตุและผล แสดงว่ามันมีเหตุและผล
นี่แหละ ไม่มีอะไรเลย "ปราศจาก" นี่แหละเรียกว่า "ตถตา" เป็นเช่นนั้นเอง ดีก็ไม่มี เสียก็ไม่มี
ไม่จำเป็นต้องตายจากสังขาร เราก็นิพพานได้ เป็นนิพพานจริงไปก่อนเถอะ แต่นิพพานแท้ให้ดำรงอยู่ในความเป็นจริง
เรามีกายสังขารนี้ก็สามารถมีนิพพานแท้จริงได้ พุทธทาสก็เคยบอกว่า นิพพานลองชิม ไง
นิพพาน "แท้จริง" เราก็ดำรงอยู่ได้ แต่นิพพาน "จริง" เราก็ต้องอาศัยอยู่ อาศัยนำพาให้เราแต่ละเรื่องหลุดออกมา มีอุเบกขาได้ ลดมาเรื่อยๆ ถอยมาเรื่อยๆ ถอยมาถึงที่สุด คือ นิพพานจริง เสร็จแล้วถอยอีกก้าวหนึ่ง คือ นิพพานแท้จริง นิพพานแท้ ไม่มีอะไร
ถ้าเราบอกว่า นิพพานแท้ เป็นบรมสุข อย่างนี้จบเลย
บรมภาวะก็เหมือนกัน มันจริง แต่ไม่แท้ พอแท้แล้วก็มีหนึ่งเดียว คือ ภาวะแห่งนิพพาน ไม่มีอย่างอื่นเลย
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
นิพพานเป็นทั้งอัตตาและอนัตตา
พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า ศาสนาของพระองค์จะอยู่ได้ถึง ๕,๐๐๐ ปี ถ้าครบ ๕,๐๐๐ ปีก็จะหมด
เหมือนไหม? มีข้อเสื่อมไปหมด ไม่มียกเว้นที่ไหน
เราจะบอกว่าเข้าสู่นิพพานแล้ว ยกเว้นพระไตรลักษณ์เหรอ? ในนิพพานก็มีพระไตรลักษณ์เหมือนกัน กฎพระไตรลักษณ์เป็นกฎแห่งธรรม ไปอยู่ไหนก็มีพระไตรลักษณ์ ไม่มีข้อยกเว้น
พ่อพรหม พ่อศิวะ พ่อวิษณุนารายณ์ ก็ไม่มีข้อยกเว้น มีแล้วก็เสื่อม ถอย แล้วก็มีต่อ ขึ้นแล้วก็ถอย ถอยแล้วก็ขึ้น เป็นไปตามกฎพระไตรลักษณ์
คำว่า โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ, ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเราตถาคต,
โย มํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ, ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม, หมายความว่าอย่างไร?
ถ้าเลย ๕,๐๐๐ ปี พระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติอยู่ ก่อนที่จะมีพระพุทธเจ้าก็ยังมีพระพุทธเจ้าองค์อื่นอีกที่ผ่านมา ตั้ง ๒๘ พระองค์ แล้วยังมีเตรียมไว้องค์ที่ ๒๙
ในระหว่าง ๕,๐๐๐ ปี พระพุทธเจ้ายังดูแลพระศาสนาอยู่ แม้ว่าเข้าสู่นิพพานแล้ว ก็ต้องดูแลอยู่ เพราะเป็นกาลของท่าน นี่แหละต้องมีอัตตา และอนัตตา
เหตุผลอะไรพระพุทธเจ้ายังต้องมาดูแลอยู่?
ก็เป็นภาวะธรรมของท่าน แต่ถ้าถึงยุคของพระอริยศรีเมตไตย ก็จะพ้นหน้าที่ของท่าน พระอริยฯ ก็ต้องมาดูแลต่อ
สมมติว่า เราอยู่ในป่าอเมซอน ไม่รู้จักพระพุทธศาสนาเลย แต่บำเพ็ญบารมีแล้ว?
แล้วป่าอเมซอนอยู่ในธรรมไหม?
ก็อยู่ในธรรม
แล้วอยู่เหนือธรรมไหม?
ก็ไม่เหนือธรรม
ฉะนั้ัน ทุกอย่างก็ไปตามกฎเกณฑ์ในธรรม
แค่นี้ก็เข้าใจได้
แม้ว่าจะเรียกพระพุทธเจ้าอะไร ก็ต้องอยู่ในธรรมนั้น ในธรรมนั้นก็จะมีพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆมาสอน
แล้วพระพุทธเจ้าดูแลอะไร?
แต่เวลานี้เราอาศัยคำสั่งสอนของท่านอยู่ ก็แค่นี้เอง จบไหม
นี่แหละทำไมเราจะต้องไหว้พระพุทธเจ้า เพราะคำสั่งสอนของท่านยังอยู่ พอครบ ๕,๐๐๐ปี คำสั่งสอนของงท่านก็จะแปรเปลี่ยนไป บุคคลก็จะมาแทน
เปรียบเหมือนกับมีรัฐธรรมนูญ เราก็ต้องอยู่ในรัฐธรรมนูญ ทุกคนก็ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ
เปรียบเสมือนใครๆ ก็ต้องอยู่ในคำสั่งสอนของศากยมุนีอยู่ ก็ต้องเป็นศากยมุนี
อัตตา แต่มีอนัตตาอยู่ในนั้น จึงจะคงความเป็นอัตตาได้ ถ้าเบื้องต้นไม่มีอัตตาไม่ได้
เบื้องต้นนิพพานจะต้องมีอัตตาก่อน พอมีอัตตาแล้วจึงจะเข้าสู่ภาวะนิพพานแท้ แต่นิพพานที่มีอัตตานั้นเป็นนิพพานจริง แต่ถ้าเข้าสู่ภาวะอนัตตาแล้วจะเป็นนิพพานแท้จริง
นิพพานจริงก็คือเข้าสู่ความสุขสงบ ฯลฯ แต่เราจะเอาความสุขสงบได้ไหม? ก็ไม่ได้ ถ้าได้ก็ไม่ใช่นิพพาน แต่ถ้านิพพานมีสุขสงบ ถ้ามีสุขสงบก็ต้องมีทุกข์ เป็นของคู่กัน จะถือว่าสุขสงบไม่ได้ ถือว่ามีทุกข์ก็ไม่ได้ มีสุขก็ไม่ได้ ตกลงไม่มีอะไรเลย ว่างจากการยึดมั่นถือมั่น
พอไม่มีอะไรเลย ถึงไม่มีเหตุซึ่งกันและกัน และจึงไม่เป็นผลซึ่งกันและกัน นี่แหละ ดำรงแห่งความเป็นนิพพาน ภาวะของนิพพานเป็นเช่นนี้ ไม่มีอะไรเป็นเหตุและไม่มีอะไรเป็นผล ถ้าคุณมีเหตุก็ต้องมีผล
ถ้าเราใช้คำว่า "เหนือเหตุและผล" ก็ไม่ถูกอีก ถ้าเหนือเหตุและผล แสดงว่ามันมีเหตุและผล
นี่แหละ ไม่มีอะไรเลย "ปราศจาก" นี่แหละเรียกว่า "ตถตา" เป็นเช่นนั้นเอง ดีก็ไม่มี เสียก็ไม่มี
ไม่จำเป็นต้องตายจากสังขาร เราก็นิพพานได้ เป็นนิพพานจริงไปก่อนเถอะ แต่นิพพานแท้ให้ดำรงอยู่ในความเป็นจริง
เรามีกายสังขารนี้ก็สามารถมีนิพพานแท้จริงได้ พุทธทาสก็เคยบอกว่า นิพพานลองชิม ไง
นิพพาน "แท้จริง" เราก็ดำรงอยู่ได้ แต่นิพพาน "จริง" เราก็ต้องอาศัยอยู่ อาศัยนำพาให้เราแต่ละเรื่องหลุดออกมา มีอุเบกขาได้ ลดมาเรื่อยๆ ถอยมาเรื่อยๆ ถอยมาถึงที่สุด คือ นิพพานจริง เสร็จแล้วถอยอีกก้าวหนึ่ง คือ นิพพานแท้จริง นิพพานแท้ ไม่มีอะไร
ถ้าเราบอกว่า นิพพานแท้ เป็นบรมสุข อย่างนี้จบเลย
บรมภาวะก็เหมือนกัน มันจริง แต่ไม่แท้ พอแท้แล้วก็มีหนึ่งเดียว คือ ภาวะแห่งนิพพาน ไม่มีอย่างอื่นเลย
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต