จิตที่มีอวิชชาเป็นผู้ไปเวียนว่ายตายเกิด
วิญญาณไปเวียนว่ายตายเกิดไม่ได้
เพราะวิญญาณเกิดดับ ที่อายตนะ6
รูปแตกดับวิญญาณก็ดับตามรูป
ขันธ์5มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เวียนว่ายตายเกิดไม่ได้
จิตไปเวียนว่ายตายเกิดได้เพราะจิตไม่เกิดดับ
เวลาจิตละขันธ์5ได้ จิตจะรวมเป็นหนึ่งเข้าสู่นิพพาน
ปฏิจจสมุปบาท
อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
(กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร )จิตตสังขาร รวมเวทนา กับสัญญา
สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ
(สังขารคืออภิสังขาร 3 มีสังขารที่เป็นบุญ เป็นบาป ที่เป็นอรูป
ทำให้เกิดวิญญาณที่มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็นบุปเป็นบาป )
วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป
(วิญญาณนี้ เป็นวิญญาณ6ที่เวียนว่ายอยู่ในอายตนะ6เกิดนามรูปขึ้นมา)
เมื่อนามรูปดับ
วิญญาณดับ
สังขารดับ
อวิชชาดับ
จิตเกิดวิชชา จิตเกิดนิพพาน
จิตไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีก
จิตมีอวิชชาคือตัวหลง โมหะ
ทำให้จิตต้องไปเวียนว่ายตายเกิด
เมื่อจิตเกิดวิชชา
รู้แจ้งนิพพาน
จิตก็อยู่เหนือขันธ์5 เหนือโลก
อวิชชาไม่ได้ไปเวียนว่ายตายเกิด
วิญญาณไปเวียนว่ายตายเกิดไม่ได้
เพราะวิญญาณเกิดดับ ที่อายตนะ6
รูปแตกดับวิญญาณก็ดับตามรูป
ขันธ์5มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เวียนว่ายตายเกิดไม่ได้
จิตไปเวียนว่ายตายเกิดได้เพราะจิตไม่เกิดดับ
เวลาจิตละขันธ์5ได้ จิตจะรวมเป็นหนึ่งเข้าสู่นิพพาน
ปฏิจจสมุปบาท
อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
(กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร )จิตตสังขาร รวมเวทนา กับสัญญา
สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ
(สังขารคืออภิสังขาร 3 มีสังขารที่เป็นบุญ เป็นบาป ที่เป็นอรูป
ทำให้เกิดวิญญาณที่มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็นบุปเป็นบาป )
วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป
(วิญญาณนี้ เป็นวิญญาณ6ที่เวียนว่ายอยู่ในอายตนะ6เกิดนามรูปขึ้นมา)
เมื่อนามรูปดับ
วิญญาณดับ
สังขารดับ
อวิชชาดับ
จิตเกิดวิชชา จิตเกิดนิพพาน
จิตไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีก
จิตมีอวิชชาคือตัวหลง โมหะ
ทำให้จิตต้องไปเวียนว่ายตายเกิด
เมื่อจิตเกิดวิชชา
รู้แจ้งนิพพาน
จิตก็อยู่เหนือขันธ์5 เหนือโลก