ตัวผมเองเรียกได้ว่าเป็นคนที่เจอเรื่องราวลี้ลับค่อนข้างบ่อย แต่ไม่ใช่แบบที่เห็นเหมือนคุณเจนหรือคุณริว เพียงแค่สัมผัสได้กับพลังงานบางอย่าง เรื่องที่อยากจะเล่าต่อจากนี้เป็นเพียงความต้องการส่วนตัวที่อยากจะเล่าสู่กันฟังสำหรับคนที่อาจจะมีประสบการณ์คล้ายกันกับที่ผมเจอ เริ่มเลยนะครับ
พื้นเพครอบครับผมทางฝั่งคุณปู่เป็นคนจีนอพยพมาตั้งรกรากที่กทม. คุณปู่ทวดของผมนั้นเคยผ่านประสบการณ์ตายแล้วฟื้น หลังจากท่านฟื้นท่านจึงได้เขียนหนังสือเล่าเรื่องราวเกี่ยวนรกและสวรรค์ เพียงต้องการให้คนอื่นๆรับรู้ถึงบาปบุญคุณชั่ว ต้องการให้ทุกคนทำความดี ผมเดาว่าหลังจากที่คุณปู่ทวดเสีย สัมผัสพิเศษจึงตกทอดมารุ่นสู่รุ่นจนมาถึงรุ่นผม ตั้งแต่เด็กผมเจอสิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่า "ผี" นับครั้งไม่ถ้วน จะขอเล่าเป็นเรื่องๆ นะครับ
1. ฝึกวิชา
ตอนเด็กๆผมเป็นคนกลัวความมืดมาก กลัวชนิดที่ว่านอนปิดไฟไม่ได้ ทางคุณแม่เลยตัดสินใจที่จะให้ผมไปฝึกนั่งวิปัสนาเพื่อกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เพื่อกำหนดสติเผื่อว่าจะหายกลัวความมืดได้บ้าง สถานที่คือวัดป่าแห่งหนึ่งที่อำเภอ แม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ โดยที่ทางพระอาจารย์จะเป็นคนฝึกผมด้วยตัวเอง ระยะเวลาของการฝึกคือ 4คืน5วัน ตลอดการฝึกผมได้ฝึกนั่งสมาธิ วิปัสนา เดินจงกลมและสวดมนต์ โดยจะแบ่งทำกิจกรรมละ2ชั่วโมง สลับกันไปในแต่ละวัน การฝึกดำเนินมาด้วยดีจนถึงในคืนสุดท้าย พระอาจารย์เรียกผมมาหาที่กุฎิของท่านพร้อมกับพูดว่า ให้ผมเดินไปเอาหนังสือสวดมนต์ที่อยู่ในถ้ำหลวง ห่างออกไป1กิโลเมตร ต้องขออธิบายว่าวัดป่าแห่งนี้มีพื้นที่กว้าง ครอบคลุมพื้นที่ป่ามากกว่า 20 ไร่และมีถ้ำอยู่ภายในวัดด้วย พระอาจารย์บอกว่าตอนเดินไปเอาถ้าได้ยินเสียงหรือเห็นอะไร อย่าวิ่ง ให้กำหนดจิต มีสติและสมาธิ ตามที่ฝึกมา ระหว่างที่เดินผมก้มหน้าอย่างเดียว ทั้งตัวมีไฟฉาย1กระบอก เดินไปสักพักได้ยินเสียงคนเดินตาม เสียงชัดมากเหยียบใบไม้กรอบแกรบ จากนั้นได้ยินเสียงร้องโหยหวนไม่แน่ใจว่าเป็นสัตว์หรือคน แต่ได้ยินแล้วขนลุก ผมรีบเดินไปเรื่อยๆแต่ไม่กล้าออกวิ่งเพราะกลัวสติแตก จนไปถึงถ้ำ เข้าไปภายในเห็นมีคนนั่งสมาธิอยู่ 10 กว่าคน ผมคลานช้าๆเพื่อไปเอาหนังสือที่วางอยู่หน้าพระประธาน จังหวะที่กำลังคลานกลับได้ยินเสียงเรียกชื่อเบาๆลอยมาตามลม และมีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง ผมกลั้นใจคลานออกมาและรีบเดินกลับไปในทางเดิม ใกล้จะถึงกุฎิพระอาจารย์ผมเห็นชายแก่คนนึงนั่งยองๆหันหลังขวางทางเดิน ชายแก่ค่อยๆหันหัวมาทางผม แน่นอนว่าไม่ใช่คนเพราะหัวนั้นหมุนได้180องศา ชายแก่ยิ้มแล้วถามว่ากลัวไหม? วินาทีนั้นผมเข่าอ่อนและเริ่มร้องไห้แต่เสียงพระอาจารย์ก็ดังก้องอยู่ในหัวของผม บอกให้ตั้งสติแล้วกำหนดลมหายใจ ผมเริ่มกำหนดลมหายใจ สติเริ่มกลับมา ชายแก่ยังอยู่แต่คราวนี้กลับพูดว่า "เก่งมากไอ่หนู" ต่อไปนี้ยังจะกลัวความมืดอยู่ไหม ที่ที่ไปมาน่ะไม่ใช่ถ้ำนะแต่เป็นป่าช้า เห็นคนด้านในไหม พวกนั้นไม่ใช่คนแม้แต่คนเดียวเป็นสัมภเวสี พระอาจารย์ส่งมาทดสอบจิตใจของคน เก่งมากๆนะเพราะคนอื่นๆที่มาส่วนใหญ่สติแตกไปแล้ว แล้วชายแก่ก็เดินหายไป ผมตั้งสติอยู่ซักพักจึงเดินกลับไปหาพระอาจารย์ พระอาจารย์ไม่พูดอะไรแล้วบอกให้ผมไปนอน หลังจากกลับมาจากวัดแห่งนั้น ผมเป็นคนไม่กลัวความมืดอีกเลยจนถึงทุกวันนี้
ปล. ปัจจุบันวัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสำนักปฎิบัตรธรรม มีการอบรมบุคคลภายนอกที่สนใจเรื่องวิปัสนา ถ้ำในวัดยังคงอยู่ ป่าช้าก็ยังคงอยู่รวมถึงพระอาจารย์เองด้วย
แชร์ประสบการณ์ขนหัวลุกตั้งแต่เด็กๆ
พื้นเพครอบครับผมทางฝั่งคุณปู่เป็นคนจีนอพยพมาตั้งรกรากที่กทม. คุณปู่ทวดของผมนั้นเคยผ่านประสบการณ์ตายแล้วฟื้น หลังจากท่านฟื้นท่านจึงได้เขียนหนังสือเล่าเรื่องราวเกี่ยวนรกและสวรรค์ เพียงต้องการให้คนอื่นๆรับรู้ถึงบาปบุญคุณชั่ว ต้องการให้ทุกคนทำความดี ผมเดาว่าหลังจากที่คุณปู่ทวดเสีย สัมผัสพิเศษจึงตกทอดมารุ่นสู่รุ่นจนมาถึงรุ่นผม ตั้งแต่เด็กผมเจอสิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่า "ผี" นับครั้งไม่ถ้วน จะขอเล่าเป็นเรื่องๆ นะครับ
1. ฝึกวิชา
ตอนเด็กๆผมเป็นคนกลัวความมืดมาก กลัวชนิดที่ว่านอนปิดไฟไม่ได้ ทางคุณแม่เลยตัดสินใจที่จะให้ผมไปฝึกนั่งวิปัสนาเพื่อกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เพื่อกำหนดสติเผื่อว่าจะหายกลัวความมืดได้บ้าง สถานที่คือวัดป่าแห่งหนึ่งที่อำเภอ แม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ โดยที่ทางพระอาจารย์จะเป็นคนฝึกผมด้วยตัวเอง ระยะเวลาของการฝึกคือ 4คืน5วัน ตลอดการฝึกผมได้ฝึกนั่งสมาธิ วิปัสนา เดินจงกลมและสวดมนต์ โดยจะแบ่งทำกิจกรรมละ2ชั่วโมง สลับกันไปในแต่ละวัน การฝึกดำเนินมาด้วยดีจนถึงในคืนสุดท้าย พระอาจารย์เรียกผมมาหาที่กุฎิของท่านพร้อมกับพูดว่า ให้ผมเดินไปเอาหนังสือสวดมนต์ที่อยู่ในถ้ำหลวง ห่างออกไป1กิโลเมตร ต้องขออธิบายว่าวัดป่าแห่งนี้มีพื้นที่กว้าง ครอบคลุมพื้นที่ป่ามากกว่า 20 ไร่และมีถ้ำอยู่ภายในวัดด้วย พระอาจารย์บอกว่าตอนเดินไปเอาถ้าได้ยินเสียงหรือเห็นอะไร อย่าวิ่ง ให้กำหนดจิต มีสติและสมาธิ ตามที่ฝึกมา ระหว่างที่เดินผมก้มหน้าอย่างเดียว ทั้งตัวมีไฟฉาย1กระบอก เดินไปสักพักได้ยินเสียงคนเดินตาม เสียงชัดมากเหยียบใบไม้กรอบแกรบ จากนั้นได้ยินเสียงร้องโหยหวนไม่แน่ใจว่าเป็นสัตว์หรือคน แต่ได้ยินแล้วขนลุก ผมรีบเดินไปเรื่อยๆแต่ไม่กล้าออกวิ่งเพราะกลัวสติแตก จนไปถึงถ้ำ เข้าไปภายในเห็นมีคนนั่งสมาธิอยู่ 10 กว่าคน ผมคลานช้าๆเพื่อไปเอาหนังสือที่วางอยู่หน้าพระประธาน จังหวะที่กำลังคลานกลับได้ยินเสียงเรียกชื่อเบาๆลอยมาตามลม และมีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง ผมกลั้นใจคลานออกมาและรีบเดินกลับไปในทางเดิม ใกล้จะถึงกุฎิพระอาจารย์ผมเห็นชายแก่คนนึงนั่งยองๆหันหลังขวางทางเดิน ชายแก่ค่อยๆหันหัวมาทางผม แน่นอนว่าไม่ใช่คนเพราะหัวนั้นหมุนได้180องศา ชายแก่ยิ้มแล้วถามว่ากลัวไหม? วินาทีนั้นผมเข่าอ่อนและเริ่มร้องไห้แต่เสียงพระอาจารย์ก็ดังก้องอยู่ในหัวของผม บอกให้ตั้งสติแล้วกำหนดลมหายใจ ผมเริ่มกำหนดลมหายใจ สติเริ่มกลับมา ชายแก่ยังอยู่แต่คราวนี้กลับพูดว่า "เก่งมากไอ่หนู" ต่อไปนี้ยังจะกลัวความมืดอยู่ไหม ที่ที่ไปมาน่ะไม่ใช่ถ้ำนะแต่เป็นป่าช้า เห็นคนด้านในไหม พวกนั้นไม่ใช่คนแม้แต่คนเดียวเป็นสัมภเวสี พระอาจารย์ส่งมาทดสอบจิตใจของคน เก่งมากๆนะเพราะคนอื่นๆที่มาส่วนใหญ่สติแตกไปแล้ว แล้วชายแก่ก็เดินหายไป ผมตั้งสติอยู่ซักพักจึงเดินกลับไปหาพระอาจารย์ พระอาจารย์ไม่พูดอะไรแล้วบอกให้ผมไปนอน หลังจากกลับมาจากวัดแห่งนั้น ผมเป็นคนไม่กลัวความมืดอีกเลยจนถึงทุกวันนี้
ปล. ปัจจุบันวัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสำนักปฎิบัตรธรรม มีการอบรมบุคคลภายนอกที่สนใจเรื่องวิปัสนา ถ้ำในวัดยังคงอยู่ ป่าช้าก็ยังคงอยู่รวมถึงพระอาจารย์เองด้วย