“เห้ยเธอ ตั๋วรถไฟมันมีโปรโมชั่น ไปอัมสเตอร์ดัมแค่เที่ยวละ 35€ เอง”
B1 บอกเราอย่างนั้นตอนประมาณเดือนธันวา ตอนที่เว้ป SNCF รถไฟฝรั่งเศสจัดโปรโมชั่น ตอนนั้นมีทั้งรถไฟไป Amsterdam Brussels Barcelona และก็อีกหลายเมืองในราคาที่ไม่แพงเลย
ตอนแรกเราตั้งใจอยากจะไปอัมสเตอร์ดัม เพราะตัวเราเองไม่เคยไป อยากไปถ่ายรูปคลองน่ารักๆ กินอะโวคาโด นั่งเล่นคาเฟ่ชิวๆ เดินมิวเซียม อะไรแบบนี้ ก็คิดว่าอ่ะ ไปละกัน ก่อนที่จะทำการจองตั๋วรถไฟเราก็เลยดูราคาที่พักกันก่อน เพราะงบประมาณที่จะไปเที่ยวก็ไม่ได้เยอะ และเวลาก็ไม่ได้มากอย่างในทุกๆทริปที่ผ่านมา ครั้งนี้กะว่าจะไป 3 วัน 2 คืน เป็นศ-ส-อ หรือ ส-อ-จ เพราะทั้งเราและ B1 ต้องทำงาน แต่พอดูราคาที่พักเท่านั้นแหละ พับเก็บแผนเที่ยวอัมสเตอร์ดัมไปก่อนเลยเพราะแพงงงงง เบนเข็มไปที่อื่นแทน
สรุปสุดท้ายเลยก็มาตกที่บาร์เซโลน่า แต่ไม่ได้นั่งรถไฟ รถไฟเที่ยวละ 25€ เอง แต่นั่งไปก็ 6-7 ชั่วโมง นั่งกลับอีก เวลาไม่ได้มีเยอะขนาดนั้นก็เลยต้องบินแทน เราไปได้ตั๋วเครื่องบินจาก Vueling ขาไป ORY-BCN 75€ ขากลับ BCN-CDG 23€ ก็ไม่ได้ถูกไปซะทีเดียว แต่พอมันอยากจะเที่ยวแล้วไฟมันก็ติด จองโลด
หลังจากนั้นก็จองโรงแรมที่ Hotel Glories ออกจะอยู่นอกเมืองไปสักหน่อย ได้มาในราคา 113€ 2 คืน แต่ข้อดีก็คือที่นี่มีบุฟเฟ่ต์อาหารเช้า offer ให้ด้วย ทางเราก็เลยคิดว่าเอาอันนี้แหละ ได้ประหยัดค่าอาหารไปได้ 1 มื้อตอนเช้า
เอาล่ะ การวางแผนทริปเป็นอันเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะออกเดินทาง ใครที่ยังไม่เคยไปเที่ยวกับเรา ตามไปเที่ยวได้ที่
Malta ♡ ประเทศเล็กๆที่เที่ยวเท่าไรก็ไม่พอ
https://ppantip.com/topic/36591267
Budapest, Hungary ♡ สวยที่สุดในยุโรปสมคำร่ำลือ
https://ppantip.com/topic/37690503
Italy ♡ ตะลุยอิตาลีด้วยรถไฟหวานเย็น
https://ppantip.com/topic/38035227
Portugal ♡ เที่ยว Lisbon Porto แบกกระเป๋าตามล่าหาทาร์ตไข่
https://ppantip.com/topic/38200040
Provins ♡ หนีความวุ่นวายในปารีสไปเที่ยวหมู่บ้านจิ๋วนอกเมือง
https://ppantip.com/topic/38445779
เกริ่นเรื่องเอาไว้ก่อนเลยว่าทางเรายังไม่เคยไปประเทศสเปนมาก่อนเลย ส่วน B1 นั้นก็เคยไปมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน และทางเราเองอยากหนีอากาศหนาวที่ปารีสกันด้วย ก็เลยมาตกอยู่ที่นี่ ด้วยความหวังว่าที่สเปนจะอากาศดีกว่านี้ อุ่นกว่านี้ มีแดดเยอะกว่านี้ และมันก็เป็นไปตามที่ต้องการ
พวกเราวางแผนเที่ยวตอนประมาณเดือนธันวาคม แล้วเดินทางประมาณช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ตอนนั้นอากาศที่ปารีสก็กำลังอุ่นขึ้นเล็กน้อย ส่วนที่สเปนก็จะอุ่นกว่าปารีส ตอนเช้ากับตอนกลางคืนใส่เสื้อโค้ตตัวยาวบางๆก็อยู่แล้ว ส่วนตอนกลางวันเราใส่ฮีทเทคแบบ extra warm 1 ตัวกับเสื้อไหมพรมหนาๆหน่อยอีก 1 ตัวก็สบายๆ แดดแรงใช้ได้เลยแต่ลมเย็น เพราะฉะนั้นพอแดดหมดแล้วอากาศก็จะเย็นขึ้น
ทริปนี้ใช้กล้อง Nikon D90 Fixed-Lens 35mm f/1.8 ตัวเก่าตัวเดิมจ้าาา
Day 1
เริ่มออกเดินทางก็ออกจากบ้านตั้งแต่เช้า ไฟลท์เราคือตอน 9:30am พอมาถึงที่สนามบิน Orly ก็ลากกระเป๋าเข้าไปในเกตได้เลย เราทำการเช้คอินออนไลน์มาแล้ว และไม่ได้โหลดกระเป๋า ก็เลยง่ายสบายเว่อ เครื่องออกตรงเวลา ไปถึงที่บาร์เซโลน่าตอน 11:05am
หลังจากนั้นเราก็ไปนั่งรถเมโทรเข้าเมือง เราซื้อตั๋วจากสนามบินเข้าเมืองเป็นตั๋วแบบ single คนละ 4.60€ นั่งสาย L9 ตรงไปยาวๆเลย แล้วไปเปลี่ยนเป็นสาย L1 ไปที่สถานี Glories เพื่อเอากระเป๋าเข้าไปฝากที่โรงแรม บัตรเมโทรที่ซื้อที่สนามบินสามารถเปลี่ยนไปรถไฟใต้ดินสายอื่นๆได้ภายในเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ไม่สามารถเอาไปใช้กับรถบัสได้
เราว่าเราชอบเมโทรของที่นี่มากเลย ตัวรถไฟจากสนามบินสาย L9 ถ้าให้เทียบกับ RER B ที่ปารีสนี่คนละเรื่องเลย ที่บาร์เซโลน่าคือรถกว้าง สว่าง ใหม่ และสะอาด ตรงกันข้ามกับที่ปารีสอย่างสิ้นเชิง ส่วนเมโทรในเมืองก็ต่างกัน ตัวรถไฟที่นี่คือกว้างกว่าเมโทรปารีสเยอะมากๆ แล้วที่สำคัญเลยคือสว่าง โล่ง ไม่อึดอัด ของปารีสที่เรากำลังเปรียบเทียบอยู่คือสาย 13 ที่ค่อนข้างเก่า เหม็น อึดอัด และแคบ รู้สึกสงสารตัวเองทุกครั้งที่ต้องอัดเป็นปลากระป๋องไปทำงานตอนเช้า
พอมาถึงที่โรงแรมเราก็เอากระเป๋าไปฝากเอาไว้ก่อนแล้วก็หาอะไรกินรองท้องก่อนที่จะไปเดินเที่ยวในเมือง เราเดินสำรวจไปเรื่อยๆก็ไปเจอร้านแซนวิชที่เคลมว่าเป็น Spanich sandwich ที่ร้าน Arepamundi มีไส้อะไรไม่รู้ให้เลือกเต็มไปหมด ก็เลยสั่งมากินกันคนละอัน อิ่มมากๆเพราะชิ้นใหญ่มากๆ มีให้เลือกแบบไซส์เล็กแล้วก็ไซส์ใหญ่ ราคาไม่แพงมาก อยู่ใน range ที่รับได้ เราสั่งไส้อะไรมาสักอย่างจำชื่อไม่ได้ แต่มีอะโวคาโดกับซอสบาบีคิวและก็เนื้ออะไรสักอย่าง ที่จำได้คือกินแต่ไส้เพราะว่ามันเยอะมาก แป้งแทบจะไม่ได้กินเพราะกินไม่ไหวแล้ว
เสร็จแล้วก็ไปเริ่มต้นที่แลนด์มาร์กที่แรกนั่นก็คือ Sagrada Família อยู่ในระยะเดินจากโรงแรม ก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ เห็นยอดมาตั้งแต่ไกลๆ เดินเข้าไปเรื่อยๆก็ใหญ่ขึ้นจนของจริงประจักษ์อยู่ตรงหน้า ยอดสูงเสียดฟ้า ใหญ่มาก ตอนแรกเราเดินมาอยู่ตรงด้านที่สร้างขึ้นใหม่ ก็ยังไม่ได้อินเท่าไร แต่พอเดินอ้อมไปอีกทางนึงที่เป็นด้านเก่า เราว่ามันมีความขลังมากกว่ากันเยอะเลย มาถึงตอนนี้แหละทำให้เรารู้สึกว่าที่นี่มันมีเวทมนต์ของมันจริงๆแหละ
ยืนอยู่ตรงนั้นกันอยู่พักนึง หามุมถ่ายรูปกันอยู่นาน ไม่รู้จะเก็บยังไงให้เต็มโบสถ์รวมถึงคนด้วย แต่ก็ไม่ได้เข้าไปข้างใน ใจนึงก็อยากเข้าไปดูข้างในนะแต่ไม่สู้ราคาตั๋วดีกว่า
พอเสร็จจากตรงนั้นเราก็เดินกันต่อ ไปที่ Casa de les Punxes เราเป็นคนทำแพลนมาเองว่าจะเดินเป็นวงกลม (ซึ่งไม่ค่อยกลมเท่าไร) ดูในรูปเห็นว่าสวยดีน่าไปเดินดูถ้ามันไม่ไกลมาก เดินไปประมาณ 10-15 นาทีได้ แต่พอไปถึงก็ไม่ได้มีอะไร ตอนแรกเราหาไม่เจอด้วยซ้ำจนเงยหน้าขึ้นไปดูข้างบน เห็นยอดด้านบนหลังคาเหมือนในรูปที่เห็นเลย ก็เลยรู้ว่าถึงแล้ว เราดูรอบๆก็ไม่ได้เห็นอะไรน่าสนใจมากเท่าไรก็เลยนั่งพักตรงนั้นแปปนึงแล้วออกเดินทางกันต่อ
เราไปต่อกันที่ถนน Gracia ที่เต็มไปด้วยร้านอะไรไม่รู้เต็มไปหมด เราวิ่งเข้าออกประมาณ 2-3 ร้านที่เราสนใจแล้วก็เสพบรรยากาศไปด้วย อากาศตอนนั้นถือว่าดีเลยแหละ แดดออกบ้าง ลมเย็นๆ ถนนกว้างขวางมาก เราว่ามันเหมือน Champs Elysees ที่ปารีสเลย แต่ด้วยความที่เราอยู่ที่ Champs Elysees ทุกวันเพราะออฟฟิศที่ทำงานอยู่ตรงนั้น เราคิดว่าเราชอบ Gracia มากกว่าเยอะเลย เดินง่ายกว่า กว้างขวางกว่า และอาจจะเป็นเพราะว่าสะอาดกว่าด้วยก็ได้มั้ง ไม่ค่อยมีขอทานหรือมิจฉาชีพที่คอยมาเดินตามให้เซ็นโน่นบริจาคนี่ ดูเดินได้สบายกว่าเยอะเลย
ถนนเส้นนั้นก็จะมี Casa Mila กับ Casa Batllo ตั้งอยู่ ผลงานอีก 2 ชิ้นของ Gaudi เราก็กะจะมาเดินเล่นถ่ายรูปกับสองที่นี้นี่แหละ แต่พอเดินไปเรื่อยๆเราก็เอะใจว่าเอ๊ะ นี่ใน Google Maps มันบอกว่าเรามาถึง Casa Mila แล้วนะ แล้วไหนล่ะ เห็นแต่คาเฟ่ตรงนี้ พอเดินย้อนกลับมาก็อ่อออ เมื่อกี้เดินผ่านไปโดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามันใช่ สำหรับเราที่นี่ไม่ได้ดูพิเศษอะไรมาก แต่ก็เป็นตัวอาคารที่น่ารักดี ตึกสีขาวดูสะอาด กับระเบียงหน้าตาแปลกๆ พอถ่ายรูปเสร็จก็เดินต่อมุ่งหน้าไปที่ Casa Batllo ที่อยู่ไม่ไกลกัน
พอเดินไปถึงก็พบกับข่าวร้ายที่ว่านางปิดซ่อม! ด้านในยังเปิดให้เข้าอยู่แต่ด้านหน้าคือมีนั่งร้านวางปิดทั้งหมดตัวอาคาร ไม่เห็นอะไรแม้แต่น้อย เสียใจมากกกกก เพราะว่าเราตั้งใจจะมาดูอันนี้โดยเฉพาะเลย ฮื้ออออออ ไม่เห็นแม้แต่ระเบียงบ้านด้วยซ้ำ แต่ก็ผิดที่เราเองที่ไม่ยอมเช้คเว็บไซต์ดูก่อนว่าเค้าจะปิดซ่อม แต่ถึงจะซ่อมก็ยังมีนักท่องเที่ยวมาต่อคิวเข้าไปชมในตัวบ้านกันเต็มเลย สำหรับเราก็ไม่ได้เข้าเพราะเราคิดว่าค่าตั๋วออกจะแพงเกินไปหน่อย
หลังจากเสียใจได้ไม่นานเราก็เดินต่อ ไปที่ Placa Catalunya ซึ่งเราว่าเป็นเหมือนจัตุรัสที่คนมานั่งเล่นกัน มีน้ำพุ มีลานกว้าง แล้วก็มีสวนหย่อมเล็กๆรอบๆ ตามรอบนอกมีเรื่องน่าตกใจอยู่เรื่องนึงคือคนมาปูผ้าขายของกันเยอะมาก แบบมากๆ เยอะมากๆแบบสุดยอดไปเลย คือผ้าแต่ละผืนวางเรียงกันห่างกันไม่ถึงฟุต บ้างก็ขายกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า แม่เหล็ก ของที่ระลึกต่างๆนานาเท่าที่จะสรรหามาขายได้ ด้านในลานกว้างก็มีนกพิราบฝูงใหญ่มากพากันแย่งกินอาหารเพราะตรงนั้นมีครอบครัวพร้อมเด็กเล็กๆเอาอาหารมาให้นกกิน พวกนางก็เลยเรียกเพื่อนฝูงมากินด้วยเต็มไปหมด
ตรงนั้นก็คือไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากมายสำหรับเรา แค่เดินเล่นรอบๆ ถ่ายรูปนิดหน่อย แล้วก็กาม้านั่งนั่งพัก แล้วก็เลยตัดสินใจจะเดินไปกินชูโรสกันที่ร้าน Xurreria ร้านดังในตรอกซอกซอยเล็กจิ๋ว ตอนนั้นที่เราไปก็เป็นช่วงเย็นแล้ว คิวหน้าร้านยาวเหยียดและเต็มไปด้วยคนเกาหลี!! คือก็เพิ่งจะรู้จากเพื่อนเกาหลีตอนที่กลับมาจากไปเที่ยวแล้วว่าคนเกาหลีช่วงนี้นิยมไปเที่ยวสเปนกันมากกกกกกกกกกกก เน้นว่ามากกกกกกกกก มากกว่าที่เราพบเจอในชีวิตประจำวันที่ทำงานอยู่ที่ปารีสมาก ขนาดว่าทำงานที่ถนน Champs Elysees สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต ก็ยังไม่เจอคนเกาหลีเยอะเท่าที่บาร์เซโลน่า
นั่นล่ะ มาว่ากันต่อที่ร้านชูโรส ร้านนี้เป็นร้านเล็กมากกกกกกกกก ไม่มีที่นั่ง มีพื้นที่เอาไว้ทอดชูโรสอย่างเดียว มีทั้งแบบธรรมดาและแบบอันใหญ่ที่ข้างในสอดไส้ต่างๆมากมาย ทั้งไส้ครีม แยม และ Nutella แบบชุบช็อกโกแลตก็มี และก็มีขนมขบเคี้ยวแบบอื่นอีกเล็กน้อย ที่ร้านนี้ขายเป็นกรัมหรือกิโล ถ้าจำไม่ผิดจะกิโลละประมาณ 13€ แบบธรรมดา ทางเราด้วยความอยากกินมากก็เลยมองหน้ากับ B1 แล้วคิดว่าจะสั่งกี่ขีดดี ด้วยความที่ B1 ตัวใหญ่ นางอยากสั่งสัก 500 กรัม คุณคะ นั่นมันคือแป้งทอดจำนวนครึ่งกิโลค่ะ ก็เลยไม่ได้ตกลงปลงใจ เปลี่ยนมาเป็น 300 กรัมแทน ซึ่งเรานับแล้ว ชูโรส 300 กรัมมีทั้งหมดประมาณ 20 ชิ้นได้ เราเลือกที่จะโรยหรือไม่โรยน้ำตาลก็ได้ เราจ่ายไป 3€ กว่าๆได้ ซึ่งถูกใจมากๆ ที่ปารีสถ้าเราจ่าย 3€ เราจะได้มาแค่ 6-8 ชิ้นเท่านั้นเองซึ่งไม่คุ้มเลยยยยยยยยย ร้านอยู่ในซอยเล็กๆอย่างนี้เลย เล็กมากกกกก
ทางร้านรับแค่เงินสดเท่านั้นนะคะ เป็นร้านที่ไม่ได้มีหน้าตาสวยหรูเลย แต่คนเยอะมาก อีกอย่างคือนอกจากคิวจะเต็มไปด้วยคนเกาหลีแล้ว ทางร้านยังมีคำแปลเมนูเป็นภาษาเกาหลีอีกด้วย เอากับเค้าสิ นึกถึงเวลาไปเกาหลีแล้วมีคำแปลภาษาไทยเต็มไปหมด
พอเราจ่ายเงินแล้วรับชูโรสมาก็มองหน้ากับ B1 ว่ามันเยอะเหลือเกินนนน แต่สุดท้ายก็กินหมดนะ เพราะมันอร่อย บอกไม่ถูก ทอดร้อนๆแป้งนุ่มๆ ไม่ได้หวานมาก ออกเค็มนิดหน่อย ไม่เลี่ยน แล้วก็โรยน้ำตาลทรายขาวมา บอกได้เลยว่าอ้วนสุดๆฉุดไม่อยู่ ทั้งแป้ง น้ำมัน น้ำตาล แต่ออกจากกวงการชูโรสไม่ได้จริงๆ มันอร่อยมาก
** to be continued ☺︎ **
[CR] Barcelona, Spain ♡ เที่ยวบาร์เซโลน่าในวันหยุดเสาร์อาทิตย์
B1 บอกเราอย่างนั้นตอนประมาณเดือนธันวา ตอนที่เว้ป SNCF รถไฟฝรั่งเศสจัดโปรโมชั่น ตอนนั้นมีทั้งรถไฟไป Amsterdam Brussels Barcelona และก็อีกหลายเมืองในราคาที่ไม่แพงเลย
ตอนแรกเราตั้งใจอยากจะไปอัมสเตอร์ดัม เพราะตัวเราเองไม่เคยไป อยากไปถ่ายรูปคลองน่ารักๆ กินอะโวคาโด นั่งเล่นคาเฟ่ชิวๆ เดินมิวเซียม อะไรแบบนี้ ก็คิดว่าอ่ะ ไปละกัน ก่อนที่จะทำการจองตั๋วรถไฟเราก็เลยดูราคาที่พักกันก่อน เพราะงบประมาณที่จะไปเที่ยวก็ไม่ได้เยอะ และเวลาก็ไม่ได้มากอย่างในทุกๆทริปที่ผ่านมา ครั้งนี้กะว่าจะไป 3 วัน 2 คืน เป็นศ-ส-อ หรือ ส-อ-จ เพราะทั้งเราและ B1 ต้องทำงาน แต่พอดูราคาที่พักเท่านั้นแหละ พับเก็บแผนเที่ยวอัมสเตอร์ดัมไปก่อนเลยเพราะแพงงงงง เบนเข็มไปที่อื่นแทน
สรุปสุดท้ายเลยก็มาตกที่บาร์เซโลน่า แต่ไม่ได้นั่งรถไฟ รถไฟเที่ยวละ 25€ เอง แต่นั่งไปก็ 6-7 ชั่วโมง นั่งกลับอีก เวลาไม่ได้มีเยอะขนาดนั้นก็เลยต้องบินแทน เราไปได้ตั๋วเครื่องบินจาก Vueling ขาไป ORY-BCN 75€ ขากลับ BCN-CDG 23€ ก็ไม่ได้ถูกไปซะทีเดียว แต่พอมันอยากจะเที่ยวแล้วไฟมันก็ติด จองโลด
หลังจากนั้นก็จองโรงแรมที่ Hotel Glories ออกจะอยู่นอกเมืองไปสักหน่อย ได้มาในราคา 113€ 2 คืน แต่ข้อดีก็คือที่นี่มีบุฟเฟ่ต์อาหารเช้า offer ให้ด้วย ทางเราก็เลยคิดว่าเอาอันนี้แหละ ได้ประหยัดค่าอาหารไปได้ 1 มื้อตอนเช้า
เอาล่ะ การวางแผนทริปเป็นอันเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะออกเดินทาง ใครที่ยังไม่เคยไปเที่ยวกับเรา ตามไปเที่ยวได้ที่
Malta ♡ ประเทศเล็กๆที่เที่ยวเท่าไรก็ไม่พอ https://ppantip.com/topic/36591267
Budapest, Hungary ♡ สวยที่สุดในยุโรปสมคำร่ำลือ https://ppantip.com/topic/37690503
Italy ♡ ตะลุยอิตาลีด้วยรถไฟหวานเย็น https://ppantip.com/topic/38035227
Portugal ♡ เที่ยว Lisbon Porto แบกกระเป๋าตามล่าหาทาร์ตไข่ https://ppantip.com/topic/38200040
Provins ♡ หนีความวุ่นวายในปารีสไปเที่ยวหมู่บ้านจิ๋วนอกเมือง https://ppantip.com/topic/38445779
เกริ่นเรื่องเอาไว้ก่อนเลยว่าทางเรายังไม่เคยไปประเทศสเปนมาก่อนเลย ส่วน B1 นั้นก็เคยไปมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน และทางเราเองอยากหนีอากาศหนาวที่ปารีสกันด้วย ก็เลยมาตกอยู่ที่นี่ ด้วยความหวังว่าที่สเปนจะอากาศดีกว่านี้ อุ่นกว่านี้ มีแดดเยอะกว่านี้ และมันก็เป็นไปตามที่ต้องการ
พวกเราวางแผนเที่ยวตอนประมาณเดือนธันวาคม แล้วเดินทางประมาณช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ตอนนั้นอากาศที่ปารีสก็กำลังอุ่นขึ้นเล็กน้อย ส่วนที่สเปนก็จะอุ่นกว่าปารีส ตอนเช้ากับตอนกลางคืนใส่เสื้อโค้ตตัวยาวบางๆก็อยู่แล้ว ส่วนตอนกลางวันเราใส่ฮีทเทคแบบ extra warm 1 ตัวกับเสื้อไหมพรมหนาๆหน่อยอีก 1 ตัวก็สบายๆ แดดแรงใช้ได้เลยแต่ลมเย็น เพราะฉะนั้นพอแดดหมดแล้วอากาศก็จะเย็นขึ้น
ทริปนี้ใช้กล้อง Nikon D90 Fixed-Lens 35mm f/1.8 ตัวเก่าตัวเดิมจ้าาา
Day 1
เริ่มออกเดินทางก็ออกจากบ้านตั้งแต่เช้า ไฟลท์เราคือตอน 9:30am พอมาถึงที่สนามบิน Orly ก็ลากกระเป๋าเข้าไปในเกตได้เลย เราทำการเช้คอินออนไลน์มาแล้ว และไม่ได้โหลดกระเป๋า ก็เลยง่ายสบายเว่อ เครื่องออกตรงเวลา ไปถึงที่บาร์เซโลน่าตอน 11:05am
หลังจากนั้นเราก็ไปนั่งรถเมโทรเข้าเมือง เราซื้อตั๋วจากสนามบินเข้าเมืองเป็นตั๋วแบบ single คนละ 4.60€ นั่งสาย L9 ตรงไปยาวๆเลย แล้วไปเปลี่ยนเป็นสาย L1 ไปที่สถานี Glories เพื่อเอากระเป๋าเข้าไปฝากที่โรงแรม บัตรเมโทรที่ซื้อที่สนามบินสามารถเปลี่ยนไปรถไฟใต้ดินสายอื่นๆได้ภายในเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ไม่สามารถเอาไปใช้กับรถบัสได้
เราว่าเราชอบเมโทรของที่นี่มากเลย ตัวรถไฟจากสนามบินสาย L9 ถ้าให้เทียบกับ RER B ที่ปารีสนี่คนละเรื่องเลย ที่บาร์เซโลน่าคือรถกว้าง สว่าง ใหม่ และสะอาด ตรงกันข้ามกับที่ปารีสอย่างสิ้นเชิง ส่วนเมโทรในเมืองก็ต่างกัน ตัวรถไฟที่นี่คือกว้างกว่าเมโทรปารีสเยอะมากๆ แล้วที่สำคัญเลยคือสว่าง โล่ง ไม่อึดอัด ของปารีสที่เรากำลังเปรียบเทียบอยู่คือสาย 13 ที่ค่อนข้างเก่า เหม็น อึดอัด และแคบ รู้สึกสงสารตัวเองทุกครั้งที่ต้องอัดเป็นปลากระป๋องไปทำงานตอนเช้า
พอมาถึงที่โรงแรมเราก็เอากระเป๋าไปฝากเอาไว้ก่อนแล้วก็หาอะไรกินรองท้องก่อนที่จะไปเดินเที่ยวในเมือง เราเดินสำรวจไปเรื่อยๆก็ไปเจอร้านแซนวิชที่เคลมว่าเป็น Spanich sandwich ที่ร้าน Arepamundi มีไส้อะไรไม่รู้ให้เลือกเต็มไปหมด ก็เลยสั่งมากินกันคนละอัน อิ่มมากๆเพราะชิ้นใหญ่มากๆ มีให้เลือกแบบไซส์เล็กแล้วก็ไซส์ใหญ่ ราคาไม่แพงมาก อยู่ใน range ที่รับได้ เราสั่งไส้อะไรมาสักอย่างจำชื่อไม่ได้ แต่มีอะโวคาโดกับซอสบาบีคิวและก็เนื้ออะไรสักอย่าง ที่จำได้คือกินแต่ไส้เพราะว่ามันเยอะมาก แป้งแทบจะไม่ได้กินเพราะกินไม่ไหวแล้ว
เสร็จแล้วก็ไปเริ่มต้นที่แลนด์มาร์กที่แรกนั่นก็คือ Sagrada Família อยู่ในระยะเดินจากโรงแรม ก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ เห็นยอดมาตั้งแต่ไกลๆ เดินเข้าไปเรื่อยๆก็ใหญ่ขึ้นจนของจริงประจักษ์อยู่ตรงหน้า ยอดสูงเสียดฟ้า ใหญ่มาก ตอนแรกเราเดินมาอยู่ตรงด้านที่สร้างขึ้นใหม่ ก็ยังไม่ได้อินเท่าไร แต่พอเดินอ้อมไปอีกทางนึงที่เป็นด้านเก่า เราว่ามันมีความขลังมากกว่ากันเยอะเลย มาถึงตอนนี้แหละทำให้เรารู้สึกว่าที่นี่มันมีเวทมนต์ของมันจริงๆแหละ
ยืนอยู่ตรงนั้นกันอยู่พักนึง หามุมถ่ายรูปกันอยู่นาน ไม่รู้จะเก็บยังไงให้เต็มโบสถ์รวมถึงคนด้วย แต่ก็ไม่ได้เข้าไปข้างใน ใจนึงก็อยากเข้าไปดูข้างในนะแต่ไม่สู้ราคาตั๋วดีกว่า
พอเสร็จจากตรงนั้นเราก็เดินกันต่อ ไปที่ Casa de les Punxes เราเป็นคนทำแพลนมาเองว่าจะเดินเป็นวงกลม (ซึ่งไม่ค่อยกลมเท่าไร) ดูในรูปเห็นว่าสวยดีน่าไปเดินดูถ้ามันไม่ไกลมาก เดินไปประมาณ 10-15 นาทีได้ แต่พอไปถึงก็ไม่ได้มีอะไร ตอนแรกเราหาไม่เจอด้วยซ้ำจนเงยหน้าขึ้นไปดูข้างบน เห็นยอดด้านบนหลังคาเหมือนในรูปที่เห็นเลย ก็เลยรู้ว่าถึงแล้ว เราดูรอบๆก็ไม่ได้เห็นอะไรน่าสนใจมากเท่าไรก็เลยนั่งพักตรงนั้นแปปนึงแล้วออกเดินทางกันต่อ
เราไปต่อกันที่ถนน Gracia ที่เต็มไปด้วยร้านอะไรไม่รู้เต็มไปหมด เราวิ่งเข้าออกประมาณ 2-3 ร้านที่เราสนใจแล้วก็เสพบรรยากาศไปด้วย อากาศตอนนั้นถือว่าดีเลยแหละ แดดออกบ้าง ลมเย็นๆ ถนนกว้างขวางมาก เราว่ามันเหมือน Champs Elysees ที่ปารีสเลย แต่ด้วยความที่เราอยู่ที่ Champs Elysees ทุกวันเพราะออฟฟิศที่ทำงานอยู่ตรงนั้น เราคิดว่าเราชอบ Gracia มากกว่าเยอะเลย เดินง่ายกว่า กว้างขวางกว่า และอาจจะเป็นเพราะว่าสะอาดกว่าด้วยก็ได้มั้ง ไม่ค่อยมีขอทานหรือมิจฉาชีพที่คอยมาเดินตามให้เซ็นโน่นบริจาคนี่ ดูเดินได้สบายกว่าเยอะเลย
ถนนเส้นนั้นก็จะมี Casa Mila กับ Casa Batllo ตั้งอยู่ ผลงานอีก 2 ชิ้นของ Gaudi เราก็กะจะมาเดินเล่นถ่ายรูปกับสองที่นี้นี่แหละ แต่พอเดินไปเรื่อยๆเราก็เอะใจว่าเอ๊ะ นี่ใน Google Maps มันบอกว่าเรามาถึง Casa Mila แล้วนะ แล้วไหนล่ะ เห็นแต่คาเฟ่ตรงนี้ พอเดินย้อนกลับมาก็อ่อออ เมื่อกี้เดินผ่านไปโดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามันใช่ สำหรับเราที่นี่ไม่ได้ดูพิเศษอะไรมาก แต่ก็เป็นตัวอาคารที่น่ารักดี ตึกสีขาวดูสะอาด กับระเบียงหน้าตาแปลกๆ พอถ่ายรูปเสร็จก็เดินต่อมุ่งหน้าไปที่ Casa Batllo ที่อยู่ไม่ไกลกัน
พอเดินไปถึงก็พบกับข่าวร้ายที่ว่านางปิดซ่อม! ด้านในยังเปิดให้เข้าอยู่แต่ด้านหน้าคือมีนั่งร้านวางปิดทั้งหมดตัวอาคาร ไม่เห็นอะไรแม้แต่น้อย เสียใจมากกกกก เพราะว่าเราตั้งใจจะมาดูอันนี้โดยเฉพาะเลย ฮื้ออออออ ไม่เห็นแม้แต่ระเบียงบ้านด้วยซ้ำ แต่ก็ผิดที่เราเองที่ไม่ยอมเช้คเว็บไซต์ดูก่อนว่าเค้าจะปิดซ่อม แต่ถึงจะซ่อมก็ยังมีนักท่องเที่ยวมาต่อคิวเข้าไปชมในตัวบ้านกันเต็มเลย สำหรับเราก็ไม่ได้เข้าเพราะเราคิดว่าค่าตั๋วออกจะแพงเกินไปหน่อย
หลังจากเสียใจได้ไม่นานเราก็เดินต่อ ไปที่ Placa Catalunya ซึ่งเราว่าเป็นเหมือนจัตุรัสที่คนมานั่งเล่นกัน มีน้ำพุ มีลานกว้าง แล้วก็มีสวนหย่อมเล็กๆรอบๆ ตามรอบนอกมีเรื่องน่าตกใจอยู่เรื่องนึงคือคนมาปูผ้าขายของกันเยอะมาก แบบมากๆ เยอะมากๆแบบสุดยอดไปเลย คือผ้าแต่ละผืนวางเรียงกันห่างกันไม่ถึงฟุต บ้างก็ขายกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า แม่เหล็ก ของที่ระลึกต่างๆนานาเท่าที่จะสรรหามาขายได้ ด้านในลานกว้างก็มีนกพิราบฝูงใหญ่มากพากันแย่งกินอาหารเพราะตรงนั้นมีครอบครัวพร้อมเด็กเล็กๆเอาอาหารมาให้นกกิน พวกนางก็เลยเรียกเพื่อนฝูงมากินด้วยเต็มไปหมด
ตรงนั้นก็คือไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากมายสำหรับเรา แค่เดินเล่นรอบๆ ถ่ายรูปนิดหน่อย แล้วก็กาม้านั่งนั่งพัก แล้วก็เลยตัดสินใจจะเดินไปกินชูโรสกันที่ร้าน Xurreria ร้านดังในตรอกซอกซอยเล็กจิ๋ว ตอนนั้นที่เราไปก็เป็นช่วงเย็นแล้ว คิวหน้าร้านยาวเหยียดและเต็มไปด้วยคนเกาหลี!! คือก็เพิ่งจะรู้จากเพื่อนเกาหลีตอนที่กลับมาจากไปเที่ยวแล้วว่าคนเกาหลีช่วงนี้นิยมไปเที่ยวสเปนกันมากกกกกกกกกกกก เน้นว่ามากกกกกกกกก มากกว่าที่เราพบเจอในชีวิตประจำวันที่ทำงานอยู่ที่ปารีสมาก ขนาดว่าทำงานที่ถนน Champs Elysees สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต ก็ยังไม่เจอคนเกาหลีเยอะเท่าที่บาร์เซโลน่า
นั่นล่ะ มาว่ากันต่อที่ร้านชูโรส ร้านนี้เป็นร้านเล็กมากกกกกกกกก ไม่มีที่นั่ง มีพื้นที่เอาไว้ทอดชูโรสอย่างเดียว มีทั้งแบบธรรมดาและแบบอันใหญ่ที่ข้างในสอดไส้ต่างๆมากมาย ทั้งไส้ครีม แยม และ Nutella แบบชุบช็อกโกแลตก็มี และก็มีขนมขบเคี้ยวแบบอื่นอีกเล็กน้อย ที่ร้านนี้ขายเป็นกรัมหรือกิโล ถ้าจำไม่ผิดจะกิโลละประมาณ 13€ แบบธรรมดา ทางเราด้วยความอยากกินมากก็เลยมองหน้ากับ B1 แล้วคิดว่าจะสั่งกี่ขีดดี ด้วยความที่ B1 ตัวใหญ่ นางอยากสั่งสัก 500 กรัม คุณคะ นั่นมันคือแป้งทอดจำนวนครึ่งกิโลค่ะ ก็เลยไม่ได้ตกลงปลงใจ เปลี่ยนมาเป็น 300 กรัมแทน ซึ่งเรานับแล้ว ชูโรส 300 กรัมมีทั้งหมดประมาณ 20 ชิ้นได้ เราเลือกที่จะโรยหรือไม่โรยน้ำตาลก็ได้ เราจ่ายไป 3€ กว่าๆได้ ซึ่งถูกใจมากๆ ที่ปารีสถ้าเราจ่าย 3€ เราจะได้มาแค่ 6-8 ชิ้นเท่านั้นเองซึ่งไม่คุ้มเลยยยยยยยยย ร้านอยู่ในซอยเล็กๆอย่างนี้เลย เล็กมากกกกก
ทางร้านรับแค่เงินสดเท่านั้นนะคะ เป็นร้านที่ไม่ได้มีหน้าตาสวยหรูเลย แต่คนเยอะมาก อีกอย่างคือนอกจากคิวจะเต็มไปด้วยคนเกาหลีแล้ว ทางร้านยังมีคำแปลเมนูเป็นภาษาเกาหลีอีกด้วย เอากับเค้าสิ นึกถึงเวลาไปเกาหลีแล้วมีคำแปลภาษาไทยเต็มไปหมด
พอเราจ่ายเงินแล้วรับชูโรสมาก็มองหน้ากับ B1 ว่ามันเยอะเหลือเกินนนน แต่สุดท้ายก็กินหมดนะ เพราะมันอร่อย บอกไม่ถูก ทอดร้อนๆแป้งนุ่มๆ ไม่ได้หวานมาก ออกเค็มนิดหน่อย ไม่เลี่ยน แล้วก็โรยน้ำตาลทรายขาวมา บอกได้เลยว่าอ้วนสุดๆฉุดไม่อยู่ ทั้งแป้ง น้ำมัน น้ำตาล แต่ออกจากกวงการชูโรสไม่ได้จริงๆ มันอร่อยมาก
** to be continued ☺︎ **
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้