เมื่อบอกแม่ว่า “เดี๋ยวอาทิตย์หน้าไปเที่ยว Malta นะแม่” แม่ถามกลับมาว่าที่ไหนนะ?
ไม่แปลกหรอก เราเองก็ไม่รู้จักเหมือนกัน ถ้าเพื่อนไม่แนะนำให้รู้จักประเทศนี้
ทริปนี้มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 3 คน ประกอบไปด้วย นักศึกษาป.โท 2 คนจากมหาลัยใน Grenoble ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส และนักศึกษาป.ตรีที่เพิ่งจบปี 3 มาฝึกงานที่นี่อีก 1 คน
แรกเริ่มเดิมทีคือวางแผนจะไปหลายที่มาก แต่ตกลงกันไม่ได้สักทีว่าจะไปที่ไหน ในหัวมีลิสเต็มไปหมด ทั้ง Hungary, Italy, Bulgaria, Belgium, Spain, Portugal แต่จุดหมายปลายทางที่ต้องไปแน่ๆคือประเทศ Malta แต่ด้วยกำลังเงินที่มีอยู่นั้น ประเทศข้างต้นที่กล่าวมาอะไรๆก็ดูจะไม่ค่อยลงตัว ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน ไฟลท์บิน วันหยุดที่มีอยู่ และอีกหลายๆปัจจัย สุดท้ายจึงตัดสินใจไปมันประเทศเดียวนั่นแหละ
“MALTA”
นั่งหาตั๋วเครื่องบินกันอยู่ 2-3 วันเพื่อที่จะหาราคาที่ถูกที่สุด และบินออกใกล้ที่สุด สุดท้ายมาตกอยู่ที่สายการบิน Ryan Air บินออกจาก Marseille ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งสามารถนั่งรถจาก Grenoble ไป Marseille ได้ ดูทั้งรถไฟและรถบัส บทสรุปมาตกอยู่ที่รถบัส ใช้เวลา 3.50 ชั่วโมง ราคาไปกลับคนละ 24€
จากที่กล่าวข้างต้นว่าตัวละครมีทั้งหมด 3 คน ตอนแรกเกือบจะมีแค่ 2 เพราะอีกคนนึงยังไม่แน่ใจว่าจะไปได้มั้ย 2 คนเลยจองตั๋วเครื่องบินไปก่อน เกรงว่าราคาจะขึ้นได้ราคาไปกลับคนละประมาณ 120€ ซึ่งถือว่าถูกกว่าบินออกจากที่อื่นๆ แต่ยังไม่ได้จองที่พักเพราะรออีกคนคอนเฟิร์มว่าได้ไปหรือไม่ได้ไป สุดท้ายก็ได้ไปเลยกดจองไฟลท์เดียวกัน ซึ่งระทึกมาก เพราะที่นั่งเหลืออยู่ประมาณไม่เกิน 3 ที่นั่ง ปรากฎว่า ได้ราคาถูกกว่าอยู่ที่ 100€ จากที่ตอนแรกราคาพุ่งขึ้นไปถึง 150€!! ไม่รู้เป็นกลยุทธ์อะไรของสายการบิน แต่ได้ถูกกว่าก็ลุยยยย จองไปทั้งหมด 5 วัน
ขั้นตอนต่อไปก็คือที่พัก หาหลายเว็บไซต์มาก แต่ก็ยังไม่ลงตัว ราคาดีที่พักไม่ดี ราคาดีโลเคชั่นไม่ผ่าน โลเคชั่นผ่านแต่ราคาสูงปรี๊ด พวกเราจะไปหาเงินมาจากไหนนนน เลยมาตกอยู่ที่ Airbnb 4 คืน ราคาตกอยู่ที่ 25€ ต่อคนต่อคืน ทั้งหมด 300€ เป็น apartment อยู่โลเคชั่นดี รีวิวก็ดีก็กดจองไปปปปปป
ขั้นตอนต่อไปคือเตรียมทริป ทั้ง 3 คนคือมีความรู้เกี่ยวกับประเทศนี้น้อยนิดมาก มาช่วยกันลิสสถานที่ท่องเที่ยว หาอ่านรีวิวจากพันทิปดู ก็ไม่ค่อยมีข้อมูลมากเท่าไร เพราะดูท่าแล้วคนไทยยังไม่ค่อยรู้จักประเทศนี้ ส่วนใหญ่แล้วคนที่มาเที่ยวแล้วทำรีวิวจะบินมาจากประเทศใดประเทศหนึ่งในยุโรป เช่น เยอรมันหรืออิตาลี จึงเป็นที่มาในการทำรีวิวครั้งนี้ เพราะยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก
ข้อดีของประเทศนี้คือเค้าพูดภาษาอังกฤษกัน เพราะเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ทำให้เราเที่ยวได้อย่างสบายใจ ไม่มีอุปสรรคในการสื่อสารใดๆทั้งสิ้น และประเทศนี้อยู่ใน European Union พวกเราที่ถือวีซ่านักเรียนอยู่แล้วก็เข้าออกประเทศใน Schengen ได้สบายๆ ใช้เงินสกุลยูโรเลยยิ่งเที่ยวง่ายไปใหญ่
ทริปนี้ใช้กล้องทั้งหมด 6 ตัว:
- Nikon D90 Fixed-Lens 35mm F1.8
- Olympus Pen Lite E-PL7
- GoPro Hero 3 & 4
- iPhone 6 & 6s Plus
Day 1
ออกจาก Grenoble มุ่งหน้าไป Marseille โดยรถบัส ออกเที่ยงไปถึงประมาณ 3:50pm ก็งมกันอยู่ที่สถานีสักพัก เพื่อหาทางไปสนามบิน เพราะพรุ่งนี้ต้องบินไฟลท์เช้าตอน 9 โมง ซึ่งต้องไปถึงสนามบินตอน 7 โมงเช้า มีทั้งรถบัสและรถไฟ แต่ดูๆแล้วรถไฟถูกกว่าและใช้เวลาใกล้เคียงกัน ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเศษๆ ราคาตั๋วรถไฟตกอยู่ที่คนละ 5.10€ สำหรับคนที่มี Carte Jeune เป็นบัตรใช้ลดราคาตั๋วรถไฟสำหรับคนอายุ 12-25 ปี ตั๋วก็จะตกอยู่ที่ราคา 2.60€ เท่านั้น
คืนแรกนอนที่ Ibis Budget Marseille เดินจากสถานีครึ่งชั่วโมงเพื่อไปเช้คอิน แล้วออกมาเดินเล่นแถว Vieux Port (Old Port of Marseille) เป็นท่าเรือใหญ่ นั่งดูผู้คนและนักท่องเที่ยวเดินขวักไขว่ไปมา ซื้อพิซซ่ามากิน พระอาทิตย์ตกก็กลับโรงแรม เพื่อเตรียมตัวเดินทางในวันต่อไป
Day 2
ตื่นแต่เช้าตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง เพื่อที่จะออกจากโรงแรมเวลาตี 5:50 ใช้เวลาเดินจากโรงแรมไปสถานีรถไฟประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วไปต่อรถไฟไปที่สนามบิน
เรา 3 คนได้ทำ online check-in มาเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ต้องไปต่อคิวตรวจวีซ่าเท่านั้น ซึ่งแถวก็ยาวเหลือเกิน สมกับที่เป็น low cost airline ตรวจวีซ่าเสร็จ สแกนกระเป๋า ช่วงนี้แหละระทึก เพราะเอาครีมไปเยอะมากกกกกก แต่ละขวดไม่เกิน 100ml แต่ก็โดนเปิดกระเป๋าอยู่ดีเพราะมันคงเยอะเกินผิดสังเกต มาเสียเวลาอยู่ตรงนี้เยอะไปหน่อย ต่อไปก็ immigration ซึ่งแถวก็ยาวมากกกกเช่นกัน อีก 10 นาทีเครื่องจะออกแล้วก็ยังไม่ถึงคิวสักที แต่ความจริงก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะ 3 คนข้างหน้าเราก็ไป Malta เหมือนกัน หันไปอีกทางก็เจอกัปตัน Ryan Air ใส่ชุดเต็มยศยืนกิน croissant อยู่ในแถวเหมือนกัน ซึ่งเรามั่นใจว่าเป็นกัปตันเรา ก็เลยใจชื้น
พอเข้าเกตมาได้ สรุปเครื่องดีเลย์ไปประมาณ 10 นาที ใช้เวลาบินประมาณ 1.55 ชั่วโมงก็ถึงจุดหมายปลายทาง ตอนก่อนเครื่องจะแลนด์ ถ้ามองออกไปนอกหน้าต่างทางด้านซ้ายมือของเครื่องจะเห็นเกาะ 3 เกาะเรียงกัน ซึ่งนั่นก็คือประเทศ Malta ประกอบไปด้วย 3 เกาะหลักๆคือ Malta Comino และ Gozo ถ้าเรียงตามรูปภาพจากซ้ายไปขวาคือ Gozo Comino และ Malta
เครื่องลงปุ๊ปก็ไปหาทางเข้าเมืองเพื่อที่จะไปที่พักก่อน ตอนแรกมีความคิดอยากเช่ารถกันเพราะที่นี่ขับพวงมาลัยขวาเหมือนประเทศไทย แต่ดูราคาไม่ค่อยเป็นมิตรเลยต้องตัดใจ เพราะทั้ง 3 คนอายุยังไม่ถึง 25 จะมี young driver fee ด้วย สุดท้ายมาตกลงปลงใจที่ public transport หลักซึ่งก็คือรถบัส ที่ดูรีวิวจากพันทิปมาคือมีตั๋วรถบัสแบบ one day 2.60€ แต่ไปถามแล้วสรุปว่าไม่มี มีแต่ 7 days 21€ ก็เลยเสียทรัพย์กันไป มาคิดคำนวนดูแล้วก็น่าจะคุ้ม ถึงเราจะอยู่ไม่ถึง 7 วัน แต่ขึ้นรถบัสราคาธรรมดาคือเที่ยวละ 2€ ราคานี้ขึ้น 10 ครั้งก็คุ้มแล้ว บัตรนี้ครอบคลุมไปถึงรถบัสในเกาะ Gozo ด้วย
เรานั่งรถ X2 จากสนามบินมาที่ Sliema ซึ่งเป็นที่พักของเรา ย่านนี้ถือว่าเป็นย่านที่นักท่องเที่ยวเยอะ ที่ที่เราพักจะอยู่ใกล้ทุกอย่าง ทั้งท่าเรือ ป้ายรถบัส ร้านขายของที่ระลึก และร้านอาหาร
ลงเครื่องตอนประมาณ 11 โมง กว่าจะหาทางมา กว่าจะมาถึงใช้เวลานั่งรถบัส 1 ชั่วโมงกว่าๆ รถบัสที่นี่จะขับวนเป็นวงกลม ซึ่งถ้าเรานั่งย้อนกลับ จะไม่ใช่สถานีเดียวกันกับที่ลง พอมาถึงที่พัก เจ้าของอพาร์ตเม้นท์ก็รอต้อนรับ พร้อมนำดูอพาร์ตเม้นท์และชี้ทางให้ดู supermarket ให้ดูเผื่อต้องการอะไร หลังจากเก็บของเสร็จก็เดินลงไปซื้อของกัน ทั้งขนมปัง แยม น้ำเปล่า และของใช้ ดูจากราคาอาหารและของใช้แล้ว ที่นี่ดูค่าครองชีพจะสูงกว่าฝรั่งเศสอยู่หน่อยๆ
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ออกเดินทาง เช้คเวลารถบัสในแอพของมันแล้วมุ่งหน้าไป Mdina และ Rabat ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ติดกัน เป้าหมายหลักของวันนี้คือตามรอย Game of Thrones ซึ่งที่เมืองนี้ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากสำคัญๆอยู่หลายฉาก
ที่แรกคือ The King’s Gate หรือ Mdina Gate เดินเข้าไปเหมือนหลุดเข้าไปอยู่อีกโลก ซึ่งดูเป็นเมืองเก่า ตัวเมือง Mdina นี้เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของ Malta
ตรงนี้คือ Littlefinger’s brothel เดินไปเดินมาอยู่นานกว่าจะมาถึงตรงนี้ พอฉากนี้ปรากฎสู่สายตาก็รู้เลยในทันที ข้อดีของทริปนี้คือ ทั้ง 3 คนเป็นแฟนของ Game of Thrones ซึ่งถ้าคนใดคนหนึ่งไม่อิน ก็อาจจะเที่ยวไม่สนุกเท่าไรในวันนี้
และใน The King's Gate หรือ Mdina Gate ถ้าเดินวนเข้าไปเรื่อยๆจะเจอลานเล็กๆที่เป็นจุดชมวิว จะสามารถมองเห็นเมืองทั้งเมืองสุดลูกหูลูกตา
อีกที่หนึ่งคือ Saint Dominic's Priory ซึ่งเป็นฉากหนึ่งใน Red Keep ความจริงแล้วในหัวทั้ง 3 คนคือวาดภาพไว้สวยมาก แต่พอไปถึงพระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกแล้ว คนก็เงียบๆ เดินเข้าไปมีคนอยู่ในห้องกำลังทำพิธีศาสนากันอยู่ เลยต้องสำรวมกายใจ รีบถ่ายรูปและรีบออก ฉากนี้คิดเอาไว้ว่าจะเป็นสวนสวยๆ พื้นหญ้าสีเขียวๆ ดอกไม้เยอะๆ แต่เปล่าเลย เป็นเหมือนสวนที่ไม่ค่อยได้รับการดูแล แต่ก็ยังมีเค้าความเป็น Red Keep courtyard อยู่
หลังจากนั้นก็เดินเล่นจนมาถึงป้ายรถบัส รอรถกลับ Sliema แล้วไปหาอะไรกินต่อ วิวข้างทางตอนที่เดินสวยมาก เป็นเมืองเก่าๆ ตึกเก่าๆ ตอนพระอาทิตย์ใกล้จะตก เป็นภาพที่สวยทีเดียว :,)
กลับมาถึง Sliema ก็หาร้านอาหารกิน มาตกลงปลงใจที่ร้านอาหารอิตาลีใกล้ๆที่พัก อันที่จริง ที่นี่ร้านอาหารอิตาลีเยอะมาก และราคาไม่แพง เพราะอยู่ใกล้ประเทศอิตาลีมาก และคนอิตาลีที่นี่ก็เยอะพอตัวเลย จำชื่อเมนูไม่ได้ว่าสั่งอะไรไป แต่พาสต้าในรูปนี้คือเส้นอะไรสักอย่างที่มีแซลมอนและกุ้งอยู่ในนั้น กินไปกินมาจะเลี่ยนนะ และให้เยอะมากกกกกกกก กินไม่หมดต้องขอห่อกลับบ้านไป ส่วนอีก 2 คน คือ B1 กับ B2 สั่งพาสต้ากับพิซซ่ามา ได้ complimentary dish จากทางร้านคือ Bruschetta มากินแก้หิวกันไปก่อน
** to be continued ☺︎ **
[CR] Malta ♡ ประเทศเล็กๆที่เที่ยวเท่าไรก็ไม่พอ
ไม่แปลกหรอก เราเองก็ไม่รู้จักเหมือนกัน ถ้าเพื่อนไม่แนะนำให้รู้จักประเทศนี้
ทริปนี้มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 3 คน ประกอบไปด้วย นักศึกษาป.โท 2 คนจากมหาลัยใน Grenoble ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส และนักศึกษาป.ตรีที่เพิ่งจบปี 3 มาฝึกงานที่นี่อีก 1 คน
แรกเริ่มเดิมทีคือวางแผนจะไปหลายที่มาก แต่ตกลงกันไม่ได้สักทีว่าจะไปที่ไหน ในหัวมีลิสเต็มไปหมด ทั้ง Hungary, Italy, Bulgaria, Belgium, Spain, Portugal แต่จุดหมายปลายทางที่ต้องไปแน่ๆคือประเทศ Malta แต่ด้วยกำลังเงินที่มีอยู่นั้น ประเทศข้างต้นที่กล่าวมาอะไรๆก็ดูจะไม่ค่อยลงตัว ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน ไฟลท์บิน วันหยุดที่มีอยู่ และอีกหลายๆปัจจัย สุดท้ายจึงตัดสินใจไปมันประเทศเดียวนั่นแหละ
“MALTA”
นั่งหาตั๋วเครื่องบินกันอยู่ 2-3 วันเพื่อที่จะหาราคาที่ถูกที่สุด และบินออกใกล้ที่สุด สุดท้ายมาตกอยู่ที่สายการบิน Ryan Air บินออกจาก Marseille ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งสามารถนั่งรถจาก Grenoble ไป Marseille ได้ ดูทั้งรถไฟและรถบัส บทสรุปมาตกอยู่ที่รถบัส ใช้เวลา 3.50 ชั่วโมง ราคาไปกลับคนละ 24€
จากที่กล่าวข้างต้นว่าตัวละครมีทั้งหมด 3 คน ตอนแรกเกือบจะมีแค่ 2 เพราะอีกคนนึงยังไม่แน่ใจว่าจะไปได้มั้ย 2 คนเลยจองตั๋วเครื่องบินไปก่อน เกรงว่าราคาจะขึ้นได้ราคาไปกลับคนละประมาณ 120€ ซึ่งถือว่าถูกกว่าบินออกจากที่อื่นๆ แต่ยังไม่ได้จองที่พักเพราะรออีกคนคอนเฟิร์มว่าได้ไปหรือไม่ได้ไป สุดท้ายก็ได้ไปเลยกดจองไฟลท์เดียวกัน ซึ่งระทึกมาก เพราะที่นั่งเหลืออยู่ประมาณไม่เกิน 3 ที่นั่ง ปรากฎว่า ได้ราคาถูกกว่าอยู่ที่ 100€ จากที่ตอนแรกราคาพุ่งขึ้นไปถึง 150€!! ไม่รู้เป็นกลยุทธ์อะไรของสายการบิน แต่ได้ถูกกว่าก็ลุยยยย จองไปทั้งหมด 5 วัน
ขั้นตอนต่อไปก็คือที่พัก หาหลายเว็บไซต์มาก แต่ก็ยังไม่ลงตัว ราคาดีที่พักไม่ดี ราคาดีโลเคชั่นไม่ผ่าน โลเคชั่นผ่านแต่ราคาสูงปรี๊ด พวกเราจะไปหาเงินมาจากไหนนนน เลยมาตกอยู่ที่ Airbnb 4 คืน ราคาตกอยู่ที่ 25€ ต่อคนต่อคืน ทั้งหมด 300€ เป็น apartment อยู่โลเคชั่นดี รีวิวก็ดีก็กดจองไปปปปปป
ขั้นตอนต่อไปคือเตรียมทริป ทั้ง 3 คนคือมีความรู้เกี่ยวกับประเทศนี้น้อยนิดมาก มาช่วยกันลิสสถานที่ท่องเที่ยว หาอ่านรีวิวจากพันทิปดู ก็ไม่ค่อยมีข้อมูลมากเท่าไร เพราะดูท่าแล้วคนไทยยังไม่ค่อยรู้จักประเทศนี้ ส่วนใหญ่แล้วคนที่มาเที่ยวแล้วทำรีวิวจะบินมาจากประเทศใดประเทศหนึ่งในยุโรป เช่น เยอรมันหรืออิตาลี จึงเป็นที่มาในการทำรีวิวครั้งนี้ เพราะยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก
ข้อดีของประเทศนี้คือเค้าพูดภาษาอังกฤษกัน เพราะเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ทำให้เราเที่ยวได้อย่างสบายใจ ไม่มีอุปสรรคในการสื่อสารใดๆทั้งสิ้น และประเทศนี้อยู่ใน European Union พวกเราที่ถือวีซ่านักเรียนอยู่แล้วก็เข้าออกประเทศใน Schengen ได้สบายๆ ใช้เงินสกุลยูโรเลยยิ่งเที่ยวง่ายไปใหญ่
ทริปนี้ใช้กล้องทั้งหมด 6 ตัว:
- Nikon D90 Fixed-Lens 35mm F1.8
- Olympus Pen Lite E-PL7
- GoPro Hero 3 & 4
- iPhone 6 & 6s Plus
Day 1
ออกจาก Grenoble มุ่งหน้าไป Marseille โดยรถบัส ออกเที่ยงไปถึงประมาณ 3:50pm ก็งมกันอยู่ที่สถานีสักพัก เพื่อหาทางไปสนามบิน เพราะพรุ่งนี้ต้องบินไฟลท์เช้าตอน 9 โมง ซึ่งต้องไปถึงสนามบินตอน 7 โมงเช้า มีทั้งรถบัสและรถไฟ แต่ดูๆแล้วรถไฟถูกกว่าและใช้เวลาใกล้เคียงกัน ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเศษๆ ราคาตั๋วรถไฟตกอยู่ที่คนละ 5.10€ สำหรับคนที่มี Carte Jeune เป็นบัตรใช้ลดราคาตั๋วรถไฟสำหรับคนอายุ 12-25 ปี ตั๋วก็จะตกอยู่ที่ราคา 2.60€ เท่านั้น
คืนแรกนอนที่ Ibis Budget Marseille เดินจากสถานีครึ่งชั่วโมงเพื่อไปเช้คอิน แล้วออกมาเดินเล่นแถว Vieux Port (Old Port of Marseille) เป็นท่าเรือใหญ่ นั่งดูผู้คนและนักท่องเที่ยวเดินขวักไขว่ไปมา ซื้อพิซซ่ามากิน พระอาทิตย์ตกก็กลับโรงแรม เพื่อเตรียมตัวเดินทางในวันต่อไป
Day 2
ตื่นแต่เช้าตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง เพื่อที่จะออกจากโรงแรมเวลาตี 5:50 ใช้เวลาเดินจากโรงแรมไปสถานีรถไฟประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วไปต่อรถไฟไปที่สนามบิน
เรา 3 คนได้ทำ online check-in มาเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ต้องไปต่อคิวตรวจวีซ่าเท่านั้น ซึ่งแถวก็ยาวเหลือเกิน สมกับที่เป็น low cost airline ตรวจวีซ่าเสร็จ สแกนกระเป๋า ช่วงนี้แหละระทึก เพราะเอาครีมไปเยอะมากกกกกก แต่ละขวดไม่เกิน 100ml แต่ก็โดนเปิดกระเป๋าอยู่ดีเพราะมันคงเยอะเกินผิดสังเกต มาเสียเวลาอยู่ตรงนี้เยอะไปหน่อย ต่อไปก็ immigration ซึ่งแถวก็ยาวมากกกกเช่นกัน อีก 10 นาทีเครื่องจะออกแล้วก็ยังไม่ถึงคิวสักที แต่ความจริงก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะ 3 คนข้างหน้าเราก็ไป Malta เหมือนกัน หันไปอีกทางก็เจอกัปตัน Ryan Air ใส่ชุดเต็มยศยืนกิน croissant อยู่ในแถวเหมือนกัน ซึ่งเรามั่นใจว่าเป็นกัปตันเรา ก็เลยใจชื้น
พอเข้าเกตมาได้ สรุปเครื่องดีเลย์ไปประมาณ 10 นาที ใช้เวลาบินประมาณ 1.55 ชั่วโมงก็ถึงจุดหมายปลายทาง ตอนก่อนเครื่องจะแลนด์ ถ้ามองออกไปนอกหน้าต่างทางด้านซ้ายมือของเครื่องจะเห็นเกาะ 3 เกาะเรียงกัน ซึ่งนั่นก็คือประเทศ Malta ประกอบไปด้วย 3 เกาะหลักๆคือ Malta Comino และ Gozo ถ้าเรียงตามรูปภาพจากซ้ายไปขวาคือ Gozo Comino และ Malta
เครื่องลงปุ๊ปก็ไปหาทางเข้าเมืองเพื่อที่จะไปที่พักก่อน ตอนแรกมีความคิดอยากเช่ารถกันเพราะที่นี่ขับพวงมาลัยขวาเหมือนประเทศไทย แต่ดูราคาไม่ค่อยเป็นมิตรเลยต้องตัดใจ เพราะทั้ง 3 คนอายุยังไม่ถึง 25 จะมี young driver fee ด้วย สุดท้ายมาตกลงปลงใจที่ public transport หลักซึ่งก็คือรถบัส ที่ดูรีวิวจากพันทิปมาคือมีตั๋วรถบัสแบบ one day 2.60€ แต่ไปถามแล้วสรุปว่าไม่มี มีแต่ 7 days 21€ ก็เลยเสียทรัพย์กันไป มาคิดคำนวนดูแล้วก็น่าจะคุ้ม ถึงเราจะอยู่ไม่ถึง 7 วัน แต่ขึ้นรถบัสราคาธรรมดาคือเที่ยวละ 2€ ราคานี้ขึ้น 10 ครั้งก็คุ้มแล้ว บัตรนี้ครอบคลุมไปถึงรถบัสในเกาะ Gozo ด้วย
เรานั่งรถ X2 จากสนามบินมาที่ Sliema ซึ่งเป็นที่พักของเรา ย่านนี้ถือว่าเป็นย่านที่นักท่องเที่ยวเยอะ ที่ที่เราพักจะอยู่ใกล้ทุกอย่าง ทั้งท่าเรือ ป้ายรถบัส ร้านขายของที่ระลึก และร้านอาหาร
ลงเครื่องตอนประมาณ 11 โมง กว่าจะหาทางมา กว่าจะมาถึงใช้เวลานั่งรถบัส 1 ชั่วโมงกว่าๆ รถบัสที่นี่จะขับวนเป็นวงกลม ซึ่งถ้าเรานั่งย้อนกลับ จะไม่ใช่สถานีเดียวกันกับที่ลง พอมาถึงที่พัก เจ้าของอพาร์ตเม้นท์ก็รอต้อนรับ พร้อมนำดูอพาร์ตเม้นท์และชี้ทางให้ดู supermarket ให้ดูเผื่อต้องการอะไร หลังจากเก็บของเสร็จก็เดินลงไปซื้อของกัน ทั้งขนมปัง แยม น้ำเปล่า และของใช้ ดูจากราคาอาหารและของใช้แล้ว ที่นี่ดูค่าครองชีพจะสูงกว่าฝรั่งเศสอยู่หน่อยๆ
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ออกเดินทาง เช้คเวลารถบัสในแอพของมันแล้วมุ่งหน้าไป Mdina และ Rabat ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ติดกัน เป้าหมายหลักของวันนี้คือตามรอย Game of Thrones ซึ่งที่เมืองนี้ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากสำคัญๆอยู่หลายฉาก
ที่แรกคือ The King’s Gate หรือ Mdina Gate เดินเข้าไปเหมือนหลุดเข้าไปอยู่อีกโลก ซึ่งดูเป็นเมืองเก่า ตัวเมือง Mdina นี้เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของ Malta
ตรงนี้คือ Littlefinger’s brothel เดินไปเดินมาอยู่นานกว่าจะมาถึงตรงนี้ พอฉากนี้ปรากฎสู่สายตาก็รู้เลยในทันที ข้อดีของทริปนี้คือ ทั้ง 3 คนเป็นแฟนของ Game of Thrones ซึ่งถ้าคนใดคนหนึ่งไม่อิน ก็อาจจะเที่ยวไม่สนุกเท่าไรในวันนี้
และใน The King's Gate หรือ Mdina Gate ถ้าเดินวนเข้าไปเรื่อยๆจะเจอลานเล็กๆที่เป็นจุดชมวิว จะสามารถมองเห็นเมืองทั้งเมืองสุดลูกหูลูกตา
อีกที่หนึ่งคือ Saint Dominic's Priory ซึ่งเป็นฉากหนึ่งใน Red Keep ความจริงแล้วในหัวทั้ง 3 คนคือวาดภาพไว้สวยมาก แต่พอไปถึงพระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกแล้ว คนก็เงียบๆ เดินเข้าไปมีคนอยู่ในห้องกำลังทำพิธีศาสนากันอยู่ เลยต้องสำรวมกายใจ รีบถ่ายรูปและรีบออก ฉากนี้คิดเอาไว้ว่าจะเป็นสวนสวยๆ พื้นหญ้าสีเขียวๆ ดอกไม้เยอะๆ แต่เปล่าเลย เป็นเหมือนสวนที่ไม่ค่อยได้รับการดูแล แต่ก็ยังมีเค้าความเป็น Red Keep courtyard อยู่
หลังจากนั้นก็เดินเล่นจนมาถึงป้ายรถบัส รอรถกลับ Sliema แล้วไปหาอะไรกินต่อ วิวข้างทางตอนที่เดินสวยมาก เป็นเมืองเก่าๆ ตึกเก่าๆ ตอนพระอาทิตย์ใกล้จะตก เป็นภาพที่สวยทีเดียว :,)
กลับมาถึง Sliema ก็หาร้านอาหารกิน มาตกลงปลงใจที่ร้านอาหารอิตาลีใกล้ๆที่พัก อันที่จริง ที่นี่ร้านอาหารอิตาลีเยอะมาก และราคาไม่แพง เพราะอยู่ใกล้ประเทศอิตาลีมาก และคนอิตาลีที่นี่ก็เยอะพอตัวเลย จำชื่อเมนูไม่ได้ว่าสั่งอะไรไป แต่พาสต้าในรูปนี้คือเส้นอะไรสักอย่างที่มีแซลมอนและกุ้งอยู่ในนั้น กินไปกินมาจะเลี่ยนนะ และให้เยอะมากกกกกกกก กินไม่หมดต้องขอห่อกลับบ้านไป ส่วนอีก 2 คน คือ B1 กับ B2 สั่งพาสต้ากับพิซซ่ามา ได้ complimentary dish จากทางร้านคือ Bruschetta มากินแก้หิวกันไปก่อน
** to be continued ☺︎ **