ประมาน11โมงครึ่งถึงเทื่ยงครึ่ง

สัญญา ๑๐ ประการ ....  (วิปัสสนาญาณ 9)

อนิจจสัญญา 

อนัตตสัญญา 

อสุภสัญญา 

อาทีนวสัญญา 

ปหานสัญญา 

วิราคสัญญา 

นิโรธสัญญา 

สัพพโลเกอนภิรตสัญญา 

สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา 

อานาปานัสสติ 

1. อนิจจสัญญา  พิจรณา รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง

สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง 

ไม่เที่ยงในอุปาทานขันธ์ ๕ .......

2. อนัตตสัญญา  พิจรณา  ไม่เทื่ยง

1. จักษุเป็นอนัตตา

2. รูปเป็นอนัตตา

3. หูเป็นอนัตตา

4. เสียงเป็นอนัตตา

5. จมูกเป็นอนัตตา

6. กลิ่นเป็นอนัตตา

7. ลิ้นเป็นอนัตตา

8. รสเป็นอนัตตา

9. กายเป็นอนัตตา

10. โผฏฐัพพะเป็นอนัตตา

11. ใจเป็นอนัตตา

12. ธรรมารมณ์เป็นอนัตตา

อยัตตาทั้งภายในและภายนอก 

3. อสุภสัญญา. พิจรณา  ร่างกาย ความจริง สุดท้าย ก็เป็นสิ่งสกปรก เน่า เหม็น ผุพังศูนย์สลายไปไม่มีค่ามีราคา   ไม่เทื่ยง

4.อทินวสัญญา. พิจรณา เหตุเเห่งทุก.  โรคภัย ไข้เจ็บ  (ทุก) ปวดส่วนต่างๆในร่างกาย ปวดหนักเบา (ทุก)  คิดวิตก กังวนไม่ได้สิ่งที่ต้องการ (ทุก) เหตุจากไม่เทืยง

5.ปหานสัญญา .พิจรณา ละ  บรรเทา ทำให้สิ้น ความวิตก ความกังวน อารมต่างๆของอารม

6.วิราดสัญญา.พิจรณา  เมื่อเห็นความจริงเมื่อรู้เหตุเเห่งทุกเเล้ว  ก็ละงับธิถิ ละทิ้งกิเลส ความอยาก เหตุทุก ดับกิเลสเเละดับทุก

7.นิโรธ สัญญา พิจรณา ปฎิบัต  ชำระล้างจิตใจ ให้เข้าถึง ธรรมชาติความจริงที่เป็นความสงบเป็นปกติ โดยทีไม่มีปัจจัยเหตุมาปรุงเเต่ง

8.  สัพพโลเกอนภิรตสัญญา พิจรณา. ละอุบาย อุปาทาน ละความอยาก ความยึดมั้นถือมั้นที่มี ออกไป

9. กะตะมา จานันทะ สัพพะสังขาเรสุ อะนิจจะ สัญญา  พิจารณา. ย่อมอึดอัด ย่อมระอา ย่อมเกลียดชังแต่สังขารทั้งปวง   เห็น อนิจจในสังขาลไม่เทื่ยง
  
  * อานาปานัสสติ*   สติปัฏฐาน    วิธี   ภาวนา วิปัสสนา  โดยวิธีเข้า กรรมฐาน   คือ  โดยยึดเอาเหตุในสัญญาทั้งหลายตั้งเป็นฐานของกรรม (ปฎิบัต กระทำ กรรม)  เเล้ววิปัสสนาญาณ  ตามขั้นลำดับลงมาตั้งเเต่ ญาณ1จนถึงญาณ9 ด้วยปัญญาว่าจะเข้าถึงญาณ  กำหนดรู้ได้เเค่ไหน จากการฝึกภาวนา ตั้งสติไว้กับปัจจุบัน# กำหนดลมหายใจ เข้า ออก รับรู้ลมหายใจปกติ /กำหนดลมหายใจเข้ายาว รับรู้ในสังขาล เเล้วหายใจออก/. กำหนดลมหายใจเข้าออกสั้นยาวละงับลมหายใจเป็นจังหวะ รับรู้ถึงกายหยุดสังขาล/ เเล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจ สติรับรู้ ปิติสุข/เกิดจากความไม่เทื่ยง(จากตรงนี้ไปได้เเค่ไหนขึ้นอยู่กับบารมีของผู้ปฎิบัตว่าจะสำเร็จเข้าถึงได้เเค่ไหน)     จนถึงสติรับรู้อัตโนมัต รับรู้ลมหายใจเข้าออกปกติ รับรู้อารมปกติ รับรู้สัญญาญทั้ง9 ถึงความเป็นปกติ.  ของความไม่เทืยง  ในธรรมชาติทั้งหลาย.  ถ้าปฎิบัตถึงตรงนี้ได้ ก็ถึงผลสำเร็จที่อยากได้ ที่หลงเวืยนว่ายเป็นของยากของวิเศษ.  ทีเรืยกว่าเเดนนิพาน สำหรับผู้ที่ละกิเลส ดับทุกเท่านั้น ที่จะเข้าถึง.ไม่ใช่การคว้ำขันธ์ หรือดับขันธ้ ไม่ใช่เเดนนีพานที่หลงเชือ่ หลงคิดหลงเข้าใจผิด จากสำนักอาจารต่างๆ.ตีความหมายความเข้าใจจากความคิด เอาเองสอนอ้างเป็นผู้รู้ด้วยปัญญาเท่าที่มี อย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน เข้าถึงแดนนิพานสมมุติ หลงคิดขึ้นมาเอง.       โดยลืมความจริงที่ว่า พระพุทธองค์ ได้ให้พระธรรมคำสอนขอพระองค์ เป็นศาสดาไว้เป็นเเนวทางให้สึกษาเรืยนรู้ปฎิบัตไว้อยู่เเล้ว    

ปล ทั้งหมดที่ผมกล่าวมา  พิจรณารับรู้หาความจริงจากตัวท่านทั้งหลาย ด้วยสติ ด้วยปัญญาของท่านเองในการรับรู้ความจริง  อย่าหลงเชื่อในสิ่งที่ผมกล่าว ถ้าท่านยังไม่ได้พิสูจจากการปฏิบัตครับ.   ขอน้อมคุณพระรัตนไตรให้ทุกท่านเจริญในธรรรมทั้งหลาย...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่