วันที่ฉันป่วยด้วยอาการมีประจำเดือนนานผิดปกติ ตอนที่ 2 : หมอบอกว่าฉันเป็น Asherman Syndrome

กระทู้สนทนา
ต่อจากตอนที่1 : หลังจากที่ขูดมดลูกเรียบร้อยแล้ว อาจารย์หมออนุญาตให้กลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ โดยระยะเวลาในการพักฟื้นเป็นเวลา 14 วัน และมีนัดตรวจติดตามในปลายเดือนพฤษภาคม ระหว่างที่พักฟื้นอาจารย์หมอก็ให้หคำแนะนำในการดูแลรักษาตัวเองระหว่างพักฟื้น คือ ในตอนเช้าพยายามเดินออกกำลังกาย เพื่อให้แผลภายในสมานได้เร็วขึ้น ห้ามยกของหนัก หรือออกกำลังกายหนักๆในช่วงนี้ อาหารการกิน ให้งดชา นม หรือกาแฟ เนื้อสัตว์ที่ทานได้เป็นพวกปลา ผัก ไข่ ไม่ควรทานสัตว์เนื้อแดง พวกหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ รวมถึงพวกอาหารแปรรูปต่างๆ เช่น ฮอทดอก โบโลน่า ไส้กรอกต่างๆ ถ้าเลี่ยงได้ให้เลี่ยงไปก่อน เราก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยเราก็ทานฮอร์โมนที่อาจารย์หมอให้มาคือ provera 5mg ควบคู่กับสมุนไพรของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรประกอบด้วย แคปซูลหญ้าปักกิ่ง ขมิ้นชัน และรางจืด (สัปดาห์ละ 1 ครั้ง)

- เหตุการณ์ดูดำเนินไปตามปกติ เหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราก็ทานข้าว ทานยา ทานฮอร์โมน ดูแลตัวเองตามคำแนะนำของอาจารย์หมอทุกวันตามปกติ แต่ทุกวันเราจะมีอาการเหมือนแพ้ฮอร์โมนคือ มีความรู้สึกว่าเมื่อทานฮอร์โมนไปแล้วจะรู้สึกปั่นป่วนอยู่ข้างใน เหมือนฮอร์โมนพุ่งพล่านมาก แถมมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนในทุกเช้า U.U แต่เราก็พยายามทาน จนกระทั่งครบกำหนดตรวจติดตามผลทาง รพ. สมิติเวช ธนบุรี ก็จะโทรมาย้ำเพื่อคอนเฟิร์มการนัดตรวจติดตามกับอาจารย์หมอ โดยวันที่ไปพบอาจารย์หมอเราก็เตรียมคำถามมากมายในหัวเพื่อไปถามด้วย

- ปลายเดือนพฤษภาคม วันที่นัดตรวจติดตามผล เราไปถึงคลีนิคของอาจารย์หมอราวๆ 10 โมง ได้พบอาจารย์หมอประมาณ 12.30 น. ได้พูดคุยเกี่ยวกับผลแลปชิ้นเนื้อที่ส่งไปตรวจ โดยปกติเราจะทราบผลภายใน 1 สัปดาห์ ผลออกมาคือ เป็นเนื้อดีไม่ใช่เนื้อร้ายที่น่ากังวล และเราก็บอกอาจารย์หมอว่า หลังจากทาน provera 5mg ชุดแรก 20 วันไปแล้วประจำเดือนเราก็ยังไม่มา อาจารย์หมอบอกว่าอาจจะต้องใช้เวลาเพราะเมื่ออัลตราซาวด์แล้วพบว่าผนังมดลูกยังไม่มีการสร้างเนื้อเยื่อใดๆ ขึ้นมา อาจารย์หมอให้เรากินฮอร์โมน provera 5mg ต่อไปอีก 1 ชุดแล้วกลับมาตรวจติดตามผลกันอีกครั้งในเดือนถัดไป และอาการที่เรามีนั้นเป็นอาการปกติของการกินฮอร์โมน ระหว่างนี้เราก็กินน้ำมะพร้าวหรืออาหารที่ช่วยในเรื่องของฮอร์โมนควบคู่ไปด้วย

- เมื่อการตรวจติดตามผลครั้งที่ 2 มาถึงในปลายเดือนมิถุนายน วันนั้นเราไปพบอาจารย์หมอที่คลีนิคกับรุ่นน้องป.โท เราก็กลั้นปัสสาวะตั้งแต่ 5 โมงเย็น จนถึงเวลา 1 ทุ่มที่เราได้ตรวจอัลตราซาวด์กับอาจารย์หมอ (เหตุผลของการกลั้นปัสสาวะเพื่อให้มีน้ำเต็มอยู่ในกระเพาะเพื่อให้อวัยวะต่างๆภายในช่องท้องของเราลอยตัวขึ้น เวลาอัลตราซาวด์จะได้เห็นชัดขึ้น) และเราก็บอกอาจารย์หมอว่าหลังจากทาน provera 5mg ชุดที่สองไปแล้วแต่ประจำเดือนเราก็ยังไม่มา อาจารย์หมอบอกว่ามันมีการสร้างเนื้อเยื่อบุมดลูกขึ้นมานะแต่มันสร้างน้อยมาก อาจารย์หมอบอกพร้อมชี้ให้เราดูว่าเนี่ยเส้นขาวๆบางๆในมดลูก เพียงแต่ว่ามันไม่มากพอและผนังหนามากพอที่จะออกมาเป็นเลือดประจำเดือน เฮ้ออออออออ~~ ตรวจเสร็จอาจารย์หมอก็ให้ฮอร์โมนมากินอีกเช่นเคยโดยเพิ่มเป็น provera ขนาด 10mg

- ในเดือนกรกฎาคมหลังจากทาน provera 10 mg เราก็ยังไม่มีประจำเดือน แถมไลน์ไปอาจารย์หมอก็ไม่ได้ตอบว่าอย่างไร อาจจะเพราะอาจารย์หมอน่าจะมีคนไข้เยอะก็เป็นได้ เราเลยตัดใจและก็ไม่ได้กลับไปพบและรักษากับอาจารย์หมออีกเลย เราเริ่มวิตกกังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ รวมถึงเครียดจากเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวด้วย จนวันนึงเราตัดสินใจบอกหัวหน้าและขอลางานเพื่อไปหาหมอที่ รพ.เอกชนแถวๆนิคมอุตสาหกรรมที่ทำงานอยู่ คุณหมอท่านนี้เป็นคุณหมอท่านที่ 3 แล้วที่เรามารักษาด้วย คุณหมอท่านที่ 3 เป็นผู้ชาย ก็เช่นเคยตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องและขึ้นขาหยั่ง -*- ตอนนี้เราจะบอกว่าเรามีความคุ้นเคย คุ้นชินกับการตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องและขึ้นขาหยั่งจนไม่ได้รู้สึกต้องเขินอายเมื่อเจอหมอสูติที่เป็นผู้ชายในการตรวจ เราก็เล่าประวัติการรักษาให้คุณหมอท่านที่ 3 ฟังทั้งหมด โดยผลจากการตรวจครั้งนี้แตกต่างไปจากเดิมคือ คุณหมอท่านนี้บอกว่า ผนังมดลูกของเรามีการสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาแต่ก็บางมากจริงๆโดยมีความหนาไม่มากพอที่จะสร้างเป็นเลือดประจำเดือน และคุณหมอบอกว่า “ผมคิดว่าเราน่าจะเจออาการใหม่คือ คุณน่าจะเป็น Asherman Syndrome” ชื่อฟังดูเพราะมากค่ะ แปลเป็นภาษาไทยง่ายๆคือ “พังผืดในมดลูก” เป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่มีประจำเดือนเพราะการเป็นพังผืดก็คือการปิดเส้นทางการไหลของเลือดประจำเดือน ได้ฟังตอนแรกก็ค่อนข้างตกใจ เพราะความวัวยังไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก มีอาการอื่นมาเพิ่มเข้าไปอีก - -“ คุณหมอคนที่ 3 อธิบายว่า การเกิด Asherman Syndrome หรือ พังผืดในโพรงมดลูก คือ side-effect ที่เกิดจากการขูดมดลูกที่ลึกจนเกินไป ภาพวันที่อาจารย์หมอในคืนออกจรวจก่อนกลับบ้านย้อนเข้ามาในหัวเราอีกครั้ง ที่อาจารย์หมอผู้หญิงบอกว่า โพรงมดลูกของเราอยู่ค่อนข้างลึก แต่นั่นแหละค่ะ “สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้ว...สิ่งนั้นดีเสมอ” เราไม่สามารถกลับไปแก้ไข้หรือทำอะไรได้แล้ว เพียงแต่เราต้องยอมรับมัน เราเลยถามถึงการรักษาและดูแลตัวเอง คุณหมอท่านที่ 3 ก็บอกว่าอยากให้เราลองสู้ต่ออีกครั้ง โดยหมอจะให้ฮอร์โมน provera 10 mg มาทานอีกครั้งแล้วกลับมา follow up กันในอีก 2 สัปดาห์ว่าแนวโน้มเป็นไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่ ซึ่งจากการตรวจไม่พบอะไรอย่างอื่นผิดปกติ หรือสิ่งแปลกปลอมในมดลูกนะคะ

- หลังจากนั้น 2 สัปดาห์เราก็ไปตรวจติดตามผลตามปกติกับคุณหมอคนเดิม และประจำเดือนเราก็ยังไม่มา คุณหมอก็เลยแนะนำว่าให้ดูแลรักษาสุขภาพไปตามปกติ ประจำเดือนยังไม่มาตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ไม่แน่ในวันใดวันหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ประจำเดือนอาจจะมาเองก็ได้ คุณหมอท่านที่ 3 ยังไม่ได้แนะนำวิธีการรักษาอย่างอื่นเพิ่มเติมในตอนนี้ ปล.หมอท่านที่ 3 บอกว่าต่อให้คุณกินน้ำมะพร้าวเยอะเป็นลิตรมันก็มีฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อยมากนะ แต่ถ้าคุณสบายใจที่จะยังทานอยู่ก็ไม่มีปัญหาอะไร

- เราก็ยังใช้ชีวิตตามปกติแบบผู้หญิงที่ไม่มีประจำเดือน (เหมือนผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนแบบไม่ทันตั้งตัว) เราเริ่มกลับมาออกกำลังกายโดยการเล่นโยคะ ซ้อมวิ่งและสมัครวิ่งไปตามปกติ เราก็ไปร่วมงานวิ่งทุกเดือน โดยงานแรกคือ Garmin 10K Sub1 ที่ธรรมศาสตร์ เป็นสนามแรกที่เรากลับไปวิ่ง ไม่ได้ทำเวลาอะไรดีมากและไม่ได้ Sub1 นะคะ จริงๆเรามีเป้าหมายใหญ่ในการวิ่งเทรล คือ รายการโป่งแยงเทรลที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นรายการวิ่งเทรลที่เราสมัครตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ด้วยระยะ 23K ซึ่งสมัครตั้งแต่ช่วงที่ร่างกายกำลังสมบูรณ์แข็งแรงมากก่อนที่เราจะป่วย ในช่วงนี้เราเริ่มไปเวทเทรนนิ่ง มีเทรนเนอร์ดูแลจริงจัง จุดประสงค์เพื่อสร้างกล้ามเนื้อและความแข็งแรงให้กับร่างกาย โดยเราบอกเทรนเนอร์ถึงข้อจำกัดและขีดจำกัด รวมถึงอาการเจ็บป่วยต่างๆด้วย เทรนเนอร์เราเข้าใจเป็นอย่างดี ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีไม่มีอาการบาดเจ็บหรือผลกระทบอะไร แต่มีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆหลายๆคนเริ่มวิตกกังวลและเป็นห่วงว่าเรากำลังหักโหมใช้ร่างกายหนักเกินไปไหม๊ ออกกำลังกายมากเกินไป วิ่งมากเกินไปจนเกินขีดความสามารถของร่างกาย แต่ทุกคนรวมถึงครอบครัวเราดีมากเลย ไม่เคยพูดให้เรารู้สึกเสียใจ และให้กำลังใจตลอดเวลา เรารู้และซาบซึ้งในความห่วงใยของทุกคนเสมอ และเรารู้ว่าร่างกายเรายังไหว (-/|\-)

- ต้นเดือนพฤศจิกายน 2561 ก่อนวันเดินทางไปวิ่งเทรลที่โป่งแยง เราไม่ใช่นักวิ่งขาแรงนะคะ เราเป็นแค่ผู้หญิงที่ชื่นชอบในการออกกำลังกาย ชอบวิ่ง และอยากลองหาประสบการณ์ใหม่ๆด้วยการลองวิ่งเทรล เราได้ไปพบหมอท่านที่ 4 ที่ รพ.วิภาวดี เพื่อตรวจสุขภาพและตรวจภายในเพื่อให้มั่นใจว่า ร่างกายเรายังปกติแข็งแรงดี เพื่อที่จะไม่ได้เป็นภาระสนาม เราเล่าอาการเจ็บป่วยให้คุณหมอท่านที่ 4 ฟังตั้งแต่ต้น เราก็อัลตราซาวด์เหมือนทุกครั้ง ก็ไม่ได้พบสิ่งผิดปกติแปลกปลอมอะไรภายในร่างกายและในมดลูกก็ยังปกติ คุณหมอนัดเรามาพบอีกครั้งหลังจากที่เราวิ่งเทรลเสร็จ เพื่อตรวจคอนเฟิร์มอีกรอบ และคุณหมอท่านที่ 4 ก็ยังให้ฮอร์โมน provera 10 mg มาทานเหมือนเดิมอีกครั้งเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ แล้วกลับมาตรวจซ้ำใหม่

- ปลายเดือนพฤศจิกายน 2561 เราก็กลับไปตรวจติดตามผลกับคุณหมอท่านที่ 4 และแจ้งว่ายังไม่มีประจำเดือนอีกเช่นเคยหลังจากที่ทานฮอร์โมนไป คุณหมอก็แจ้งว่าที่สงสัยว่าที่ไม่เป็นประจำเดือนเพราะป่วยเป็น Asherman Syndrome หรือพังผืดในโพรงมดลูกน่าจะจริงตามที่คุณหมอท่านที่ 3 ได้ระบุไว้ในการตรวจ เราเลยถามว่าแนวทางการรักษาอาการป่วยด้วย Asherman Syndrome หรือพังผืดในโพรงมดลูกมีไหม๊คะ คุณหมอท่านที่ 4 บอกว่าต้องเลาะพังผืดออกหรืออาจจะต้องทำการจี้ไฟฟ้า แต่ระหว่างนี้หมอยังไม่อยากให้คนไข้ทำอะไรเกี่ยวกับมดลูก (อารมณ์เหมือนพักเรื่องที่จะรักษามดลูกหรือทำอะไรเกี่ยวกับมดลูกไปก่อน) แต่ถ้าคนไข้อยากจะแต่งงานหรือตั้งท้องหรือวางแผนการมีครอบครัวและบุตรค่อยคิดถึงการรักษาอย่างจริงจัง เพราะว่าการจี้ไฟฟ้าไม่ได้การันตีว่าจะรักษาได้ 100% แล้วจะไม่กลับมาเป็นพังผืดในมดลูกอีก และแนะนำให้ตรวจภายใน อัลตราซาวด์ช่องท้อง ปีละ 2 ครั้ง

- หลังจากพบหมอท่านที่ 4 เราก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติของมนุษย์เงินเดือน ทำงาน ไปยิม ไปเวท ซ้อมวิ่ง ทานข้าว ไปงานวิ่ง จนกระทั่งเดือนธันวาคมมาถึง กำหนดการตรวจสุขภาพประจำปีของบริษัทมาถึง เราก็ไปตรวจตามปกติและซื้อแพคเกจตรวจเพิ่มคือ อัลตราซาวด์ช่องท้อง และทำเมมโมแกรม ในวันที่ไปตรวจเราก็กลั้นฉี่ กินน้ำให้เต็มกระเพาะ เพื่อให้เวลาที่ทำอัลตราซาวด์จะได้เห็นอวัยวะต่างๆได้ชัด ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติ แต่ตรวจพบบางอย่างไม่ปกติในมดลูก ลักษณะคล้ายถุงน้ำที่รังไข่ โดย จนท ไม่ได้พูดรายละเอียดบอกแค่ว่ารอผลแลปเพื่อความชัวร์จะดีกว่าค่ะ

- นอกเรื่องจากมดลูก ขอเล่าเรื่องการตรวจเมมโมแกรม ซึ่งการตรวจเมมโมแกรม ผู้หญิงที่อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปควรตรวจนะคะ หลังจากตรวจจากอัลตราซาวด์ช่องท้องเสร็จ จากนั้นเราก็ไปตรวจเมมโมแกรมต่อ ก็เจอถุงน้ำที่หน้าอกอีก -*- แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นปกติค่ะ เหมือนที่หน้าอกของผู้หญิงทุกคนก็ตรวจเจอถ้าไม่ได้โตขึ้นก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อเอาออก แต่ขั้นตอนการตรวจเมมโมแกรมนี่ขอบอกว่าเจ็บมากค่ะ เราคิดว่าความรู้สึกคงเหมือนที่เค้าไปทำศัลยกรรมหน้าอกแล้วพูดว่าเหมือนโดนรถสิบล้อเหยียบ มันเป็นแบบนี้นี่เอง เพราะโดนกดอัดจากเครื่องตรวจที่แบบกดทับลงเหมือนหน้าอกจะบี้แบนเลยค่ะ ก็ทำการตรวจทีละข้าง โดยการเอาหน้าอกเราไปแนบกะเครื่อง อาจจะโชคร้ายที่เนื้อหน้าอกเราน้อยมั้งคะ -*- เจ้าหน้าที่บอกว่าคนที่มีเนื้อหน้าอกเยอะหน่อยก็จะสบายกว่า (แม้ในใจเราจะขัดแย้งว่าเราก็มีอยู่นะก็ตาม T.T) เลยเหมือนต้องพยายามที่จะต้องโกยมาให้มากที่สุด เรารู้สึกได้เลยว่ามันเจ็บมาเมื่อเครื่องมือตรวจกดอัดลงมาเพื่อสแกนให้ครบทุกด้าน

สรุปนะคะ ตอนนี้เราไปพบหมอทั้งหมด 4 ท่าน แล้วค่ะ

หมอท่านที่ 1 : แนวทางการรักษาให้ตัดมดลูกทิ้งไป -> เราปฏิเสธการรักษา

หมอท่านที่ 2 : แนวทางการรักษาโดยการขูดมดลูกและให้ทานฮอร์โมน

หมอท่านที่ 3 : วินิจฉัยว่าเป็น Asherman Syndrome ให้ทานฮอร์โมน

หมอท่านที่ 4 : เห็นด้วยกับแพทย์ท่านที่ 3 และวินิจฉัยว่าเป็น Asherman Syndrome ให้ทานฮอร์โมน แนะนำให้ตรวจภายใน อัลตราซาวด์ช่องท้อง ปีละ 2 ครั้ง ถ้าต้องการวางแผนการมีครอบครัวและบุตรค่อยคิดถึงการรักษาอย่างจริงจัง

ขอบคุณทุกๆคนที่อ่านมาจนจบ...เดี๋ยวมาเล่าต่อในตอนที่ 3 นะคะ  ^^

Link ตอนที่ 1 : https://ppantip.com/topic/38819647
Link ตอนที่ 3 : https://ppantip.com/topic/38833985
Link ตอนที่ 4 : https://ppantip.com/topic/38866680
Link ตอนที่ 5 : https://ppantip.com/topic/39056073
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่