วันที่ฉันป่วยด้วยอาการมีประจำเดือนนานผิดปกติ ตอนที่ 3 : ไส้ติ่งอักเสบและมดลูกเพื่อนรัก

กระทู้สนทนา
เมื่อวานเราไปทำ MRI แล้วค่อนข้างเพลียจากการฉีดแร่เพื่อตรวจเลยยังไม่มีเวลาได้พิมพ์เพิ่มเติมจากที่เราร่างคร่าวๆไว้บางส่วน กลับมาเล่าต่อนะคะ
ต่อจากตอนที่ 2 :หมอบอกว่าฉันเป็น Asherman Syndrome ในเดือนธันวาคม 2561 เราเองได้ตรวจสุขภาพประจำปีที่บริษัทและเราซื้อแพคเกจการตรวจเพิ่มคือ ตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องและเมมโมแกรม ส่วนตรวจภายในเราไม่ได้ตรวจเพราะเราเพิ่งจะตรวจ หลังจากนั้น 1 เดือนผลตรวจได้มาถึงมือ นี่คือการอ่านผลตรวจฉบับแปลภาษาไทยนะคะ จากการตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องพบว่า “มีเนื้องอกมดลูกขนาด 0.5 – 0.9 เซนติเมตร หากมีอาการเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ ปวดท้องน้อย หรือการกดเบียดอวัยวะข้างเคียง ควรพบแพทย์ หากไม่มีอาการควรตรวจอัลตราซาวด์ติดตามได้ทุกปี และตรวจพบถุงน้ำรังไข่ขนาด 3.3 เซนติเมตร (ซึ่งผลตรวจในภาษาอังกฤษระบุว่าเป็นที่รังไข่ด้านซ้าย และสันนิษฐานว่าจะเป็น Functional Cyst) หากอยู่ในวัยเจริญพันธุ์และขนาดเล็กกว่า 5 เซนติเมตร ส่วนใหญ่จะหายได้เอง ควรตรวจอัลตราซาวด์ติดตามทุกปี” กลับมาที่การอ่านผลตรวจนะคะน่าแปลกที่ รพ.นี้ ไม่แปลผลการตรวจให้ละเอียด แต่เมื่อกลับมาอ่านในฉบับภาษาอังกฤษมีการระบุด้านอย่างชัดเจนว่าเป็นถุงน้ำรังไข่ด้านซ้าย แถมยังสงสัยว่าถุงน้ำดังกล่าวน่าจะเป็นแบบ Functional Cyst

ก่อนอื่นเราคงต้องมาทำความเข้าใจกับประเภทของซีสต์ หรือถุงน้ำรังไข่กันเสียก่อน

ถุงน้ำรังไข่หรือซีสต์รังไข่มี 3 ประเภท

1.ฟังค์ชั่นนัล ซีสต์ (Functional Cyst)คือ ถุงน้ำรังไข่ที่เกิดจากการทำงานตามปกติของรังไข่เพื่อสร้างไข่ที่เป็นเซลล์สืบพันธุ์ของฝ่ายหญิง จะเป็นถุงน้ำที่โตขึ้นแล้วแตกทำให้เซลล์ไข่ไหลออกมา หลังจากนั้นถุงน้ำนี้ก็จะค่อยๆ ยุบตัวไปเอง

2.เนื้องอกถุงน้ำรังไข่ (Ovarian Tumor หรือ Ovarian Cyst) คือ เนื้องอกรังไข่ชนิดที่มีของเหลวภายใน ซึ่งอาจเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง (ไม่ใช่มะเร็ง) หรือ ชนิดร้ายแรง (มะเร็ง) ก็ได้ โดยมากเนื้องอกแต่ละชนิดมักจะมีลักษณะเฉพาะที่พอจะบอกได้ว่าเป็นชนิดใด เช่น Dermoid Cyst (ถุงน้ำเดอร์มอยด์) ซึ่งภายในถุงน้ำมักจะมีน้ำ, ไขมัน เส้นผม กระดูกและฟัน เมื่อเอ็กซเรย์ดูหรือตรวจอัลตราซาวด์ ก็มักจะบอกได้ว่าเป็นเนื้องอกชนิดนี้ ส่วนเนื้องอกถุงน้ำชนิดที่เป็นมะเร็งบางชนิด จะมีการสร้างสารเคมีที่ตรวจพบว่ามีปริมาณสูงมาก ๆ ในกระแสเลือดได้ เช่น CA 125 ก็สามารถบ่งบอกล่วงหน้าได้ว่าน่าจะเป็นมะเร็ง

3.ถุงน้ำที่คล้ายเนื้องอก (Tumor like condition) คือถุงน้ำที่เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ที่เกิดขึ้นที่รังไข่ เมื่อมีรอบเดือนเยื่อบุโพรงมดลูกนี้ก็จะมีเลือดซึมออกมาสะสมในถุงน้ำนี้เรื่อย ๆ จนเป็นเลือดเก่า ๆ ข้น ๆ สีคล้ายช็อกโกแลต จึงเรียกว่า ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst)

เครดิตที่มา : https://www.phyathai.com/article_detail.php?id=1596

สำหรับผลการตรวจเมมโมแกรมของเราเป็นประเภท BIRADS3 คือมีการตรวจพบความผิดปกติที่น่าจะไม่ใช่มะเร็ง โดยความผิดปกตินี้มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งได้ 2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งควรไปพบแพทย์เฉพาะทางศัลยกรรมเต้านมเพื่อนัดตรวจติดตามอาการทุก 6 เดือนติดต่อกัน 3 ปี ก็คือเจอถุงน้ำที่หน้าอกทั้งสองข้างขนาดไม่ได้โตมาก -*- เจอทุกส่วนที่มีในร่างกายในอวัยวะที่บอกเพศสภาพของผู้หญิงจริงๆค่ะ เพื่อนๆที่สนิทก็แซวว่าถ้าจะเจ็บทั้งทีลองถามหมอไปเลยว่าถ้าต้องการอัพไซส์ด้วยราคาเท่าไหร่ >w<” เรื่องหน้าอกเราพักไว้ก่อน การตรวจเจอถุงน้ำนี่ไม่ได้นอกเหนือการคาดหมายนะคะ เพราะมีพี่ที่ทำงานเคยบอกว่าถ้ามดลูกเรามีปัญหาอย่าละเลยในส่วนของหน้าอกเพราะเหมือนมีความสัมพันธ์กันแบบอธิบายไม่ได้ หมายความว่าอาจตรวจเจอความผิดปกติหรือเป็นซีสต์ที่หน้าอกได้ด้วย T_________T ตอนนี้เราต้องโฟกัสไปที่มดลูกเพื่อนรัก เพราะอาการหนักกว่า!!!!!!!

- เดือนมกราคม 2562 จากผลการตรวจสุขภาพประจำปีที่ได้รับถามว่าเราตกใจไหม๊ที่ได้รู้ว่ามีถุงน้ำรังไข่เกิดขึ้น ก็ค่อนข้างตกใจค่ะ เรียกว่าคาดไม่ถึงดีกว่าค่ะ เพราะเราเพิ่งจะตรวจอัลตราซาวด์และตรวจภายในไปในเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา แต่เราก็พยายามที่จะไม่เครียด ก็ยังดำเนินชีวิตไปเช่นเคยตามวิถีมนุษย์เงินเดือนค่ะ ทำงาน ไปยิม ไปเวท ซ้อมวิ่ง ทานข้าว ไปงานวิ่ง และต้องยอมรับว่าในช่วงปลายปีที่ผ่านมาก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้เคร่งครัดในเรื่องการควบคุมอาหารการกิน เนื่องด้วยเรามีเป้าหมายในการวิ่งมาราธอนที่บุรีรัมย์ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งเป็นมาราธอนแรกของเราด้วย และยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นมาราธอนเดียวในชีวิตหรือเปล่า T______T จากเป้าหมายของการมีมาราธอนแรกของเราก็เลยต้องซ้อมวิ่งมากขึ้น เลยไม่ได้สนใจในเรื่องการมีถุงน้ำรังไข่มากนัก และเพราะเราซ้อมวิ่งหนัก วิ่งเยอะ และใช้ร่างกายหักโหมในช่วงเดือนมกราคมจนถึงกุมภาพันธ์ จึงเป็นที่มาและที่สงสัยในเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ค่ะ

- เดือนเมษายน 2562 ที่ผ่านมา เราก็กลับบ้านนอกตามปกติ ซึ่งเหตุการณ์ก็ดูเหมือนจะปกติดี ไม่มีอะไรที่น่าจะกังวลเกิดขึ้น แต่นั่นแหละค่ะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ในวันที่ 17 เมษายน เรายังแคปเจอร์หน้าจอ FB ช่วงของไทม์ไลน์ที่เราป่วยไปให้น้องๆแก๊งกัลยาณมิตรของเราว่า แป๊ปๆผ่านมาหนึ่งปีแล้วเน๊อะที่เราป่วยและไม่มีประจำเดือน ถามว่าเราคิดถึงโหยหาการมีประจำเดือนขนาดนั้นเลยหรอ ก็ไม่ขนาดนั้นค่ะ แต่ถ้าอะไรที่ผู้หญิงเราควรจะมีก็ควรเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติถูกต้องไหม๊คะ แต่นี่คืออยู่ๆก็กลายเป็นผู้หญิงที่หมดประจำเดือนไปเสียเฉยๆ เธอไปไม่ลาสักคำไม่ทันได้เตรียมใจจจจจ~~~ เราแพลนลาพักร้อนกลับบ้านนอกตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2562 จนถึงวันที่ 21 เมษายน 2562 นั่นก็คือกลับมาทำงานในวันจันทร์ที่ 22 เมษายน 2562 นั่นเอง ซึ่งเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้นค่ะ อยู่ๆคืนวันศุกร์ที่ 19 เมษายน เราก็มีอาการปวดท้องน้อยด้านขวาขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุ ตอนนั้นเรามีอาการปวดมวนๆในท้องเหมือนมีอาการท้องเสีย แต่เราไม่ได้ถ่ายเหลว เราก็เลยบอกคุณป๋า ว่าลูกปวดท้องเหมือนจะท้องเสียเลย คุณป๋าก็บอกว่าเดี๋ยวเอายาแก้ท้องเสียมาใหม่ เราบอกว่าถ้ายาหยุดถ่ายไม่เอานะ เดี๋ยวจะท้องผูก สรุปคืนนั้นเราก็ไม่ได้ทานยาแต่เราเอายาหม่องทาให้ทั่วบริเวณท้องที่ปวด (ทำไมต้องเอายาหม่องทาท้อง คุณย่าของเราเคยบอกเราตอนเด็กๆ ว่าถ้ามีอาการปวดท้องให้เอายาหม่องทาท้องนะ ท้องจะได้เย็นๆและจะหายปวด เราก็จำแบบนี้มาตลอดเลยค่ะ ไม่ว่าจะปวดท้องด้วยอาการท้องเสีย ปวดท้องโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ ปวดประจำเดือน เอายาหม่องป้ายท้องไว้ก่อน ^^ ) ปรากฏว่ามันเหมือนจะดีขึ้น เรานอนหลับได้สบายขึ้นในคืนนั้น เช้าวันเสาร์ที่ 20 เมษายนเราต้องขับรถกลับไปนิคมอุตสาหกรรมที่เราทำงาน เผื่อเวลาให้วันอาทิตย์ได้พักผ่อนอีก 1 วัน ระหว่างที่ขับรถกลับไปทำงานจากบ้านนอกของเราจนถึงนิคมอุตสาหกรรมด้วยระยะทางราวๆ 610 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ 9 ชั่วโมง ช่วงที่ขับรถกลับเราก็มีอาการปวดท้องน้อยด้านขวาอยู่เป็นระยะ เรื่อยๆ แต่แบบพอทนได้ เราก็ขับมาเรื่อยๆ และแวะเติมน้ำมัน ทานข้าวกับรุ่นน้องที่มหาลัย เวลาประมาณบ่ายสองจนถึง 4 โมงเย็นเราจึงออกเดินทางต่อเพราะอากาศร้อนมากจนแสบผิว เรามาถึงบ้านประมาณหกโมงครึ่ง เราก็เก็บของ จัดของ แต่อาการปวดท้องก็ยังคงอยู่ไม่ดีขึ้นเลย คืนวันเสาร์เราจึงกินยาธาตุน้ำขาวตรากระต่ายบินและทายาหม่องที่ท้องก่อนนอนตามเคย

- วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2562 อาการปวดท้องดูเหมือนจะดีขึ้นในตอนเช้าไม่มีอะไรน่ากังวล เราก็ทานข้าว ทำงานบ้าน เก็บสมบัติบ้าของเราไปเพลินๆ ประมาณเที่ยงเรามีนัดไปกินข้าวกับตามล่าหาทุเรียนพันธุ์พื้นเมืองกับน้องที่บริษัท ตอนนั้นเรายังไม่ได้คิดว่าเราผิดปกติอะไร ไม่ได้คิดเรื่องมดลูกเพื่อนรัก เพราะเรามีนัดจะไปตรวจติดตาม ถ้านับจากเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาก็ครบรอบที่จะต้องไปตรวจในระยะ 6 เดือนพอดี ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าอาจจะเป็นลำไส้อักเสบหรือโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน เนื่องจากเรามีอาการเบื่อข้าว เบื่ออาหารมาพักใหญ่แล้ว เราก็คิดแค่ว่าน่าจะเพราะอากาศร้อน ทำให้เราไม่เจริญอาหารหรือเปล่า และอาการท้องเสียคือถ่ายบ่อยแต่ไม่ได้ถ่ายเหลว เลยคิดว่าถ้าอาการไม่ดีเราจะไปหาหมอที่ห้องพยาบาลบริษัทในวันจันทร์ ดูเหมือนอาการปวดท้องจะมาตามนัดคืนวันอาทิตย์เราก็ยังปวดอยู่และเราก็กินยาธาตุน้ำขาวตรากระต่ายบินและทายาหม่องทีท้องก่อนนอนตามเคย

- วันจันทร์ที่ 22 เมษายน 2562 เรารีบไปห้องพยาบาลของบริษัทแต่เช้า หมอที่ห้องพยาบาลก็สอบถามอาการ เราก็บอกว่าเราปวดท้องน้อยด้านขวามา 3 วันแล้ว มีอาการเบื่ออาหาร ทานอาหารได้น้อยลง และมีอาการท้องเสียแต่ไม่ได้ถ่ายเหลวร่วมด้วย หมอเอามือกดดูที่บริเวณท้องน้อยด้านขวาของเรา เราบอกว่าเราเจ็บตามแรงที่กดลงไป หมอสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นกรดไหลย้อน เลยให้ยาแก้ปวดเกร็งในช่องท้องมาทานและยาแก้อักเสบ เราก็ไปทานมื้อเช้ากะแก๊งมื้อเช้าที่แคนทีนบริษัทตามปกติ ทานยาแต่เหมือนอาการปวดไม่ได้ทุเลาเบาบางลง มื้อเที่ยงเราออกไปทานข้าวข้างนอกบริษัทกลับมาเราก็ทานยาอีกรอบ ก็ยังไม่ดีขึ้นเราเลยไปซื้อยาเคลือบกระเพาะอาหารที่ 7-11 ของบริษัทมากินแบบจิบๆไป 2-3 รอบตลอดบ่าย เวลาเลิกงาน 5 โมงเย็นมาถึง เราตัดสินใจรีบขับรถกลับบ้านเพื่อจะเอาของไปเก็บแล้วจะไปโรงพยาบาลที่เราทำประกันสังคม ใช่ค่ะโรงพยาบาลที่จะตัดมดลูกดิฉันนั่นแหละค่ะ ^^” ประจวบกับพี่ที่แผนกเก่าเราไลน์มา เราเลยตัดสินใจโทรหาแก เราเรียกแกว่าน้ามั่ง เจ้มั่ง เราเลยถามแกไปว่า

เรา : เจ้ตุ้มว่างไหม๊...เราปวดท้องมากเลยไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนเราหน่อยสิ

เจ้ตุ้ม : ได้ๆ เดี๋ยวผมเอารถไปรับที่บ้านนะ

เรา : (ขับรถกลับบ้านเพื่อเอารถไปเก็บ) หยิบแค่กระเป๋าเงิน มือถือ กุญแจบ้านและพาวเวอร์แบงค์

เวลาประมาณเกือบๆหกโมงเจ้ตุ้มมารับเราที่บ้าน ระหว่างที่เดินทางไปโรงพยาบาลก็คุยกันเรื่องอาการปวดท้อง เจ้ตุ้มบอกว่าน่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบหรือเปล่า เราก็บอกว่าถ้าเป็นไส้ติ่งอักเสบป่านนี้มันไม่แตกแล้วหรอ มันจะปวดเตือนๆแบบนี้หรอเจ้ แล้วมันจะปวดมาได้ถึง 3 วันหรอ ซึ่งมันก็น่าคิดใช่ไหม๊คะ จนถึง รพ เวลาราวๆทุ่ม เราก็มาใช้สิทธิ์ประกันสังคม วัดความดัน บันทึกข้อมูลอาการเจ็บป่วยปรากฏว่าคนเยอะมากจนเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เกือบถึงเวลาสองทุ่ม หมดเวลาทำการของหมอ เราโดนตัดคิวต้องมาพบหมอที่ห้อง ER แทน (และตอนนั้นแอบแว่บไปเข้าห้องน้ำเพราะทนไม่ไหวละ -*- อุตส่าห์อดทนอดกลั้นมาตั้งนาน) หลังจากได้เข้าพบหมอเป็นคิวแรก หมอประจำห้อง ER ก็สอบถามอาการเบื้องต้นของเรา เราก็บอกว่า “เรามีอาการปวดท้องน้อยด้านขวามา 3 วันแล้ว มีอาการเบื่ออาหาร ทานอาหารได้น้อยลง และมีอาการท้องเสียแต่ไม่ได้ถ่ายเหลวร่วมด้วย” จากนั้นหมอขอกดท้องน้อยด้านขวาของเรา เราก็บอกว่าเราเจ็บในตอนที่หมอกดลงไป หมอบอกว่าท้องดูแข็งๆนะคะ หมอสงสัยว่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ โดยหมอขอตรวจเลือดและตรวจฉี่ของเราเพื่อดูค่าความผิดปกติต่างๆ ความยากลำบากใจเกิดขึ้นเพราะเราเพิ่งฉี่ไปหมดเลยหมดเลยจริงๆเจ้าค่ะ พยาบาลที่เจาะเลือดก็บอกว่าขอแค่ 2 cc เท่านั้นค่ะพี่ ก็ตรวจได้แล้วลองเบ่งฉี่ดูนะคะ U______U เราก็ไปเข้าห้องน้ำพยายามเท่าที่จะทำได้ โชคยังดีที่มีฉี่ออกมา เอาไปให้พยาบาลตรวจ ช่วงระหว่างรอผลแลป 30 นาที เราก็บอกเจ้ตุ้มว่าเราหิวข้าว เจ้ตุ้มเลยพาเราไป 7-11 ที่ รพ แล้วบอกว่าถ้าเธอกินข้าวได้ หรือรู้สึกหิวแบบนี้ไม่น่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบหรอก เพราะคนที่เป็นไส้ติ่งอักเสบอ่ะ จะไม่รู้สึกหิวอะไรเลย ฉันรู้เพราะฉันเป็นมาก่อน เอ้ากินเยอะๆ เดี๋ยวจะได้อดข้าวอดน้ำแน่ๆคืนนี้อ่ะ

อ่านต่อใน comment นะคะ...เพราะตอนนี้ค่อนข้างยาว ยิ้ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่