ผู้ที่จะปิดอบายภูมิได้แน่นอน ไม่ต้องเกิดเป็น สัตว์นรก, เปรต, อสุรกาย, สัตว์เดรัจฉาน ก็คือ
พระโสดาบัน
(((((
อารมณ์ของพระโสดาบัน )))))
1.ไม่ลืมความตาย
2.ไม่ลังเลสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย
3.มีศีล5บริสุทธิ์
4.มีนิพพานเป็นอารมณ์
ปุถุชนคนธรรมดา ถ้าเป็นพระโสดาบันไม่ได้ ก็ควรจะมีศีล5บริสุทธิ์ (ถ้าศีล5 ของคุณข้อไหนที่บกพร่องไป คุณก็จะตกนรกเพราะข้อนั้น)
แต่ถ้าคุณถือศีล5บริสุทธิ์ไม่ได้ คุณก็ควรจะเกาะยึดอารมณ์ที่เป็นกุศลเอาไว้เสมอ เช่น อนุสสติ10 (เกาะข้อใดข้อหนึ่งเป็นอารมณ์ก็ใช้ได้)
(ถ้าเกิดตายแบบปุ๊ปปั๊ปขึ้นมา จิตก็จะไปเสวยสุคติภูมิก่อน)
(((((
อนุสสติ 10 ))))) หมายถึง กรรมฐานเป็นเครื่องระลึกถึง มี 10 อย่าง ได้แก่.....
1. พุทธานุสสติ (การระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า)
2. ธัมมานุสสติ (การระลึกถึงพระคุณของพระธรรม)
3. สังฆานุสสติ (การระลึกถึงพระคุณของพระสงฆ์)
4. สีลานุสสติ (การระลึกถึงศีลที่ตนรักษา)
5. จาคานุสสติ (การระลึกถึงทาน ความดีที่ตนสร้างไว้)
6. เทวตานุสสติ (การระลึกถึงคุณที่ทำให้คนเป็นเทวดา เช่น หิริ โอตตัปปะ)
7. อุปสมานุสติ (การระลึกถึงพระคุณของพระนิพพาน)
8. มรณานุสสติ (การระลึกถึงความตายที่สัตว์โลกย่อมประสบ)
9. อานาปานสติ (การระลึกถึงลมหายใจเข้าออก)
10. กายคตาสติ (การระลึกถึงความไม่งามปฏิกูลของอาการ 32 มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง)
ลองฟังเรื่อง มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร(ผู้มีตุ้มหูเกลี้ยง) เป็นตัวอย่างที่ดี
ตอนที่มีชีวิต ท่านทำผิดศีลทุกข้อ แต่ตอนใกล้จะตาย นึกถึงพระพุทธเจ้า แค่แป๊ปเดียวเท่านั้น ก็รอดพ้นจากการตกนรกไปได้
และเขาก็ไม่ได้นึกถึงแบบซาบซึ้งในพระคุณของพระพุทธเจ้าด้วย (เพราะตัวเองเป็นพราหมณ์ ไม่ได้สนใจพระพุทธเจ้ามาแต่เดิม)
แต่นึกถึงเพราะว่าตัวเองเจ็บปวดทรมานร่อแร่ใกล้จะตาย แต่ก็ไม่มีใครจะช่วยได้เลย
เพียงแต่เคยได้ยินว่าชาวบ้านเขาพูดกันว่า พระพุทธเจ้า ท่านมีฤทธิ์ ท่านเป็นคนใจดี จึงนึกอยากจะขอให้ท่านมาช่วย
ตอนหลังเมื่อท่านได้เป็นเทวดาแล้ว ยังกลับมาสอนบิดาของตนเองที่เป็นพราหมณ์ ให้หันมานับถือพระพุทธเจ้าด้วย
อารมณ์จิตของคุณก่อนที่จะตาย จะเป็นตัวบ่งบอกว่าคุณจะไปเสวยอะไร?
(ถ้าก่อนที่จะตาย จิตของคุณเกาะเรื่องที่เป็นกุศล คุณก็ได้จะไปเสวยสุคติภูมิก่อน แต่ถ้าจิตของคุณเกาะเรื่องที่เป็นอกุศล คุณก็จะตกไปอบายภูมิ)
เพราะฉนั้น ถ้าคุณกลัวว่าตายแล้วจะตกอบายภูมิ คุณก็ควรจะ เกาะทาน, เกาะศีล, เกาะภาวนา ก็แล้วแต่ว่าคุณจะชอบเกาะอะไร?
(แนะนำว่าให้เกาะภาวนาดีที่สุด เพราะมีอานิสงส์สูงที่สุด และเป็นการฝึกภาวนาให้จิตเกาะพระ ติดอยู่เป็นนิสัย จะได้ไม่พลาดพลั้งตกอบายภูมิ)
เพราะว่าก่อนที่คุณจะตาย เวทนาความเจ็บปวดทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ มันจะรุมเร้าคุณหนักมาก (จิตใจอาจจะหดหู่และมีโทสะนึกแต่เรื่องที่เป็นอกุศล)
ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยฝึกสติเจริญสมาธิภาวนามาก่อน อาจจะนึกถึงเรื่องที่เป็นกุศลไม่ออก คุณอาจจะพุ่งหลาวลงอบายภูมิแทน (ทั้งๆที่ทำทานมาเยอะ)
คนทุกคนจึงควรที่จะ มีการฝึกภาวนาให้จิตเกาะพระ ติดอยู่เป็นนิสัย จะได้ไม่พลาดพลั้งตกอบายภูมิ (ภาวนา พุทโธ, สัมมาอะระหัง, นิพพานัง สุขัง ฯลฯ)
เพราะฉนั้น ในเมื่อยังงัยๆคนเราทุกคนก็จะต้องตายกันอยู่แล้ว
จงใช้ความตายให้เป็นประโยชน์เสีย
แม้ว่าคุณจะกำลังเป็นผู้ป่วยอัมพาตที่นอนเป็นผักบนเตียง ที่พูดไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ แต่ถ้าคุณยังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ สามารถที่จะใคร่ครวญฟังธรรมได้
ก็ถือว่าคุณยังมีโอกาสที่ดีอันแสนวิเศษอยู่ ยังมีโอกาสที่จะได้สิ่งที่มีค่ามากที่สุดของการได้เกิดเป็นมนุษย์อยู่
นั่นก็คือ การได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เข้าสู่นิพพาน
ให้คุณคิดและวางกำลังใจไปตามข้อความด้านล่างนี้ทุกวัน ทรงอยู่ในอารมณ์นี้ทุกวัน ให้บ่อยที่สุด เท่าที่จะทำได้
"จงตัดละความพอใจในการเกิดลงเสีย ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ ปฏิเสธการเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม เพราะสภาพเหล่านี้ล้วนยังต้องเกิดอยู่ทั้งสิ้น
ตราบใดที่ยังมีการเกิดอยู่ ตราบนั้นเรายังทุกข์อยู่เสมอ
จงตัดละความพอใจในร่างกายตนเอง ตัดละความพอใจในร่างกายผู้อื่น และ ตัดละความพอใจในวัตถุธาตุใดๆทั้งหมด
จิตพอใจแต่นิพพาน จิตมุ่งแต่พระนิพพานจุดเดียวเท่านั้น" (และภาวนา "
นิพพานัง สุขัง" เพื่อให้จิตเกาะพระนิพพาน)
พอตื่นนอน และ ก่อนจะนอน ก็ให้อธิษฐานจิตว่า "หากข้าพเจ้าตายจากชาตินี้เมื่อใด ข้าพเจ้าขอไปนิพพานที่เดียวเท่านั้น" ทุกวัน
คิดเพียงแค่นี้ทุกวัน ให้เป็นอนุสสติ จนมีนิพพานเป็นอารมณ์ พอขณะใดที่คุณตายลง จิตของคุณจะมุ่งสู่พระนิพพาน (เป็นวิธีเข้านิพพานที่ง่ายที่สุด)
ถ้าทรงอารมณ์ได้อย่างนี้ ถ้าเกิดตายลงในขณะนั้น อย่างน้อยไปกามาวจรสวรรค์ อย่างกลางไปพรหมโลก อย่างดีไปพระนิพพาน
ตามกำลังใจที่คุณทำได้
บทความเรื่อง "ฝึกภาวนาให้จิตเกาะพระ ติดอยู่เป็นนิสัย จะได้ไม่พลาดพลั้งตกอบายภูมิ"
ผู้ที่จะปิดอบายภูมิได้แน่นอน ไม่ต้องเกิดเป็น สัตว์นรก, เปรต, อสุรกาย, สัตว์เดรัจฉาน ก็คือ พระโสดาบัน
((((( อารมณ์ของพระโสดาบัน )))))
1.ไม่ลืมความตาย
2.ไม่ลังเลสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย
3.มีศีล5บริสุทธิ์
4.มีนิพพานเป็นอารมณ์
ปุถุชนคนธรรมดา ถ้าเป็นพระโสดาบันไม่ได้ ก็ควรจะมีศีล5บริสุทธิ์ (ถ้าศีล5 ของคุณข้อไหนที่บกพร่องไป คุณก็จะตกนรกเพราะข้อนั้น)
แต่ถ้าคุณถือศีล5บริสุทธิ์ไม่ได้ คุณก็ควรจะเกาะยึดอารมณ์ที่เป็นกุศลเอาไว้เสมอ เช่น อนุสสติ10 (เกาะข้อใดข้อหนึ่งเป็นอารมณ์ก็ใช้ได้)
(ถ้าเกิดตายแบบปุ๊ปปั๊ปขึ้นมา จิตก็จะไปเสวยสุคติภูมิก่อน)
((((( อนุสสติ 10 ))))) หมายถึง กรรมฐานเป็นเครื่องระลึกถึง มี 10 อย่าง ได้แก่.....
1. พุทธานุสสติ (การระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า)
2. ธัมมานุสสติ (การระลึกถึงพระคุณของพระธรรม)
3. สังฆานุสสติ (การระลึกถึงพระคุณของพระสงฆ์)
4. สีลานุสสติ (การระลึกถึงศีลที่ตนรักษา)
5. จาคานุสสติ (การระลึกถึงทาน ความดีที่ตนสร้างไว้)
6. เทวตานุสสติ (การระลึกถึงคุณที่ทำให้คนเป็นเทวดา เช่น หิริ โอตตัปปะ)
7. อุปสมานุสติ (การระลึกถึงพระคุณของพระนิพพาน)
8. มรณานุสสติ (การระลึกถึงความตายที่สัตว์โลกย่อมประสบ)
9. อานาปานสติ (การระลึกถึงลมหายใจเข้าออก)
10. กายคตาสติ (การระลึกถึงความไม่งามปฏิกูลของอาการ 32 มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง)
ลองฟังเรื่อง มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร(ผู้มีตุ้มหูเกลี้ยง) เป็นตัวอย่างที่ดี
ตอนที่มีชีวิต ท่านทำผิดศีลทุกข้อ แต่ตอนใกล้จะตาย นึกถึงพระพุทธเจ้า แค่แป๊ปเดียวเท่านั้น ก็รอดพ้นจากการตกนรกไปได้
และเขาก็ไม่ได้นึกถึงแบบซาบซึ้งในพระคุณของพระพุทธเจ้าด้วย (เพราะตัวเองเป็นพราหมณ์ ไม่ได้สนใจพระพุทธเจ้ามาแต่เดิม)
แต่นึกถึงเพราะว่าตัวเองเจ็บปวดทรมานร่อแร่ใกล้จะตาย แต่ก็ไม่มีใครจะช่วยได้เลย
เพียงแต่เคยได้ยินว่าชาวบ้านเขาพูดกันว่า พระพุทธเจ้า ท่านมีฤทธิ์ ท่านเป็นคนใจดี จึงนึกอยากจะขอให้ท่านมาช่วย
ตอนหลังเมื่อท่านได้เป็นเทวดาแล้ว ยังกลับมาสอนบิดาของตนเองที่เป็นพราหมณ์ ให้หันมานับถือพระพุทธเจ้าด้วย
อารมณ์จิตของคุณก่อนที่จะตาย จะเป็นตัวบ่งบอกว่าคุณจะไปเสวยอะไร?
(ถ้าก่อนที่จะตาย จิตของคุณเกาะเรื่องที่เป็นกุศล คุณก็ได้จะไปเสวยสุคติภูมิก่อน แต่ถ้าจิตของคุณเกาะเรื่องที่เป็นอกุศล คุณก็จะตกไปอบายภูมิ)
เพราะฉนั้น ถ้าคุณกลัวว่าตายแล้วจะตกอบายภูมิ คุณก็ควรจะ เกาะทาน, เกาะศีล, เกาะภาวนา ก็แล้วแต่ว่าคุณจะชอบเกาะอะไร?
(แนะนำว่าให้เกาะภาวนาดีที่สุด เพราะมีอานิสงส์สูงที่สุด และเป็นการฝึกภาวนาให้จิตเกาะพระ ติดอยู่เป็นนิสัย จะได้ไม่พลาดพลั้งตกอบายภูมิ)
เพราะว่าก่อนที่คุณจะตาย เวทนาความเจ็บปวดทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ มันจะรุมเร้าคุณหนักมาก (จิตใจอาจจะหดหู่และมีโทสะนึกแต่เรื่องที่เป็นอกุศล)
ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยฝึกสติเจริญสมาธิภาวนามาก่อน อาจจะนึกถึงเรื่องที่เป็นกุศลไม่ออก คุณอาจจะพุ่งหลาวลงอบายภูมิแทน (ทั้งๆที่ทำทานมาเยอะ)
คนทุกคนจึงควรที่จะ มีการฝึกภาวนาให้จิตเกาะพระ ติดอยู่เป็นนิสัย จะได้ไม่พลาดพลั้งตกอบายภูมิ (ภาวนา พุทโธ, สัมมาอะระหัง, นิพพานัง สุขัง ฯลฯ)
เพราะฉนั้น ในเมื่อยังงัยๆคนเราทุกคนก็จะต้องตายกันอยู่แล้ว จงใช้ความตายให้เป็นประโยชน์เสีย
แม้ว่าคุณจะกำลังเป็นผู้ป่วยอัมพาตที่นอนเป็นผักบนเตียง ที่พูดไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ แต่ถ้าคุณยังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ สามารถที่จะใคร่ครวญฟังธรรมได้
ก็ถือว่าคุณยังมีโอกาสที่ดีอันแสนวิเศษอยู่ ยังมีโอกาสที่จะได้สิ่งที่มีค่ามากที่สุดของการได้เกิดเป็นมนุษย์อยู่
นั่นก็คือ การได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เข้าสู่นิพพาน
ให้คุณคิดและวางกำลังใจไปตามข้อความด้านล่างนี้ทุกวัน ทรงอยู่ในอารมณ์นี้ทุกวัน ให้บ่อยที่สุด เท่าที่จะทำได้
"จงตัดละความพอใจในการเกิดลงเสีย ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ ปฏิเสธการเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม เพราะสภาพเหล่านี้ล้วนยังต้องเกิดอยู่ทั้งสิ้น
ตราบใดที่ยังมีการเกิดอยู่ ตราบนั้นเรายังทุกข์อยู่เสมอ
จงตัดละความพอใจในร่างกายตนเอง ตัดละความพอใจในร่างกายผู้อื่น และ ตัดละความพอใจในวัตถุธาตุใดๆทั้งหมด
จิตพอใจแต่นิพพาน จิตมุ่งแต่พระนิพพานจุดเดียวเท่านั้น" (และภาวนา "นิพพานัง สุขัง" เพื่อให้จิตเกาะพระนิพพาน)
พอตื่นนอน และ ก่อนจะนอน ก็ให้อธิษฐานจิตว่า "หากข้าพเจ้าตายจากชาตินี้เมื่อใด ข้าพเจ้าขอไปนิพพานที่เดียวเท่านั้น" ทุกวัน
คิดเพียงแค่นี้ทุกวัน ให้เป็นอนุสสติ จนมีนิพพานเป็นอารมณ์ พอขณะใดที่คุณตายลง จิตของคุณจะมุ่งสู่พระนิพพาน (เป็นวิธีเข้านิพพานที่ง่ายที่สุด)
ถ้าทรงอารมณ์ได้อย่างนี้ ถ้าเกิดตายลงในขณะนั้น อย่างน้อยไปกามาวจรสวรรค์ อย่างกลางไปพรหมโลก อย่างดีไปพระนิพพาน ตามกำลังใจที่คุณทำได้