แบ่งปันประสบการณ์การทำ Local Hostel ในระยะสองปีครึ่งค่ะ

เราทำโฮสเทลรอบนอกเชียงใหม่สองปีกว่า  คนที่มาพักส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ  เนื่องจาก life style เราไม่ใช่คนเนี้ยบ และไม่สามารถจะจัดที่พักได้แบบเป๊ะปัง  เป็นระเบียบเรียบร้อย  เราจึงเลือกทำโฮสเทลมากกว่าบูติคโฮเทล  ซึ่งนั่นก็เท่ากับการเลือกว่าเราจะได้ลูกค้า backpack  มากกว่าลูกค้าที่มีกำลังซื้อมากๆ  แต่เราก็เลือกแบบนั้นเพราะมันสบายใจ  คิดว่าถ้าสบายใจมันก็น่าจะมีกำลังใจ  และถ้ามีกำลังใจมันก็น่าจะยั่งยืนกว่า

เรื่องที่จะมาแชร์ประสบการณ์จากการทำโฮสเทลจริงๆ แล้วมีหลายประเด็นมาก  มีทั้งเรื่องที่อยากเล่าและเรื่องที่อยากถาม
แต่กระทู้นี้เป็นกระทู้แรก  ขอเขียนเล่าเรื่องทั่วๆ ไปก่อนละกันนะคะ

เริ่มจากคำถามในหัวเราเองก่อนเลย  ว่าทำไมถึงมาทำโฮสเทล

เราทำงานมาหลากหลายอาชีพนะ  เป็นพนักงานบริษัท, แม่ค้าขายข้าวแกง, ขายเสื้อผ้า, ทำจิวเวอรี่, ทำสวนลำไย และงานอดิเรกที่พอทำเงินเล็กๆ น้อยๆ
เริ่มจากชีวิตหักมุม  แผ่นเสียงตกร่อง  ตอนนั้นน่าจะปี 53  เราต้องเลือกว่าจะกลับมาอยู่บ้านหรือจะไปทำงานโรงงานแถวๆ กทม.
เราเลือกกลับบ้าน  เราเลือก back to basic  กินน้อย ใช้น้อย  อยู่น้อย  แต่พอมองเห็นอนาคต  ตอนนั้นเรายังไม่ได้คิดเรื่องทำโฮสเทลจริงจังหรอก  แต่เราเขียนไดอะรี่ว่าเราอยากทำ

หลายปีผ่านไป  เราก็ทำงานของเราไปเรื่อย  ประคองให้อยู่ได้ในความจำกัดจำเขี่ยเรื่องรายรับรายจ่าย  คุณๆ อาจจะนึกไม่ออกว่าเดือนๆ นึงใช้เงินสองสามพัน (เฉพาะส่วนตัว)  นั้นใช้ยังไง  ขอยืนยันว่าได้นะคะ  ไม่ได้ลำบากลำบนอะไรมากมายด้วย  (เราบันทึกรายจ่ายเดือนนึงพอเป็นบรรทัดฐาน  ตกใจมากที่เราใช้เงินส่วนตัวน้อยกว่ารายจ่ายของน้องแมวอีก)  และแล้วก็เหมือนมีเค้าลางว่าเราจะทำโฮสเทลได้จริงๆ  เริ่มจากเราจำเป็นจะต้อง renovate บ้านเพราะมันถึงเวลาแล้วล่ะ  เราคิดว่าไหนๆ จะจ่ายเงิน  จะเป็นหนี้แล้ว  ก็ให้มันพิเศษหน่อยคือทำให้เกิดรายได้ด้วยได้มั๊ย  คิดไปต่างๆ นานา  ว่าจะทำร้านกาแฟมั่งล่ะ  ทำห้องติวเตอร์บ้างล่ะ  ทำร้านอาหารไรงี้  แต่ทุกอย่างก็จบเห่  ตรงที่ไม่มีที่จอดรถ

งั้นทำที่พักละกันวะ...ไม่มีใครมาพักก็เอาไว้ให้พ่อแม่พี่น้องผองเพื่อนละกัน  อันนี้คือความคิดปลอบใจตัวเองในแง่ร้ายสุดๆ แต่ลึกๆ แล้วมั่นมากนะคะว่ามันต้องมีน่า  ทำเลดีขนาดนี้  แต่รายรับจะดีมั๊ยมันต้องลุ้นคะ  มันสนุกตรงนี้แหละ
ก็นั่นล่ะค่ะ  เข้าเรื่องที่หนึ่ง
ที่ตัดสินใจทำโฮสเทลก็เพราะ...ทำเลดี  ไม่ต้องมีที่จอดรถ   อย่าไปเชื่อใครเด็ดขาดเลยว่า..ที่ไหนก็ได้ถ้าคุณมีจุดขายซะอย่าง
คำว่า "ที่ไหนก็ได้ถ้าคุณมีจุดขาย"  เป็นทั้งความคิดเห็นและเป็นทั้งข้อเท็จจริงนะคะ
ข้อเท็จจริงคือ  ใช่ค่ะถ้าคุณตีความคำว่า "จุดขาย"  ได้แตกฉาน  คุณมีแผนการตลาดที่เป๊ะมาก  คุณเลือกลูกค้าได้ตรงแผงก่อนที่ลูกค้าจะเลือกคุณเสียอีก  ใช่สุดๆ เลยค่ะ  ถ้าคุณชัดเจน  ตรงประเด็นมากพอ
ยกตัวอย่างเช่น  คุณคร่ำหวอดในวงการมวยไทยแสนนาน  ชีวิตคุณหลงใหลฝักใฝ่มวยไทยมาก  อยากป่าวประกาศให้โลกรู้ว่ามวยไทยนั้นทรงคุณค่าแค่ไหน  passion มาเต็ม  อินเนอร์มาไม่ขาด  คุณมีคอนเน็คชั่น  เพื่อนๆ ในวงการรักและชอบคุณ  พร้อมที่จะสนับสนุนและร่วมยินดีไปกับคุณ   และคุณมีกำลังพอที่จะทำสิ่งเหล่านี้ผนวกเข้าหากัน  (ที่พัก, ค่ายมวย, ภาษาและการตลาด  อะไรประมาณนี้)  ถ้ามีคุณสมบัติแบบนี้  ถ้ามันไม่ถึงกับต้องนั่งฮ. ไปล่ะก็นะ  ทำเลไม่สำคัญหรอกค่ะ  คุณภาพ  ความชัดเจนและการจัดการจะสำคัญกว่า  (ไม่พูดถึงเรื่องทุนทรัพย์และเรื่องอาหารนะคะ  เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคิดมาก่อนอยู่แล้ว)

ส่วนความคิดเห็นของเราคือ  ถ้าคุณมีเงิน  มีความอยากเจอผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก  มีความอยากลองทำ  แต่ทำเลไม่ดีเลย  ขอให้หยุดทบทวนให้ดีก่อนลงทุนนะคะ  ลงทุนในสิ่งที่เหมาะกับ life style ของคุณ  ถ้าตามกระแสคุณมีโอกาสรอด 5-10% เองค่ะ 

เรามักจะเน้นย้ำเรื่องของความสุขและความยั่งยืน  เรื่องเงิน เรื่องรายรับจ่ายก็ต้องโฟกัสอยู่แล้ว  แต่ไหนๆ จะลงทุนทำธุรกิจทั้งที  ทำให้มีความสุขไปด้วยดีกว่ามั๊ยอะเพราะในระหว่างนั้น  อุปสรรคปัญหามันจะมาเรื่อยๆ  ถ้าเราไม่สุขใจที่จะทำก็ขาดทุนตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว  ใช่มั๊ยล่ะคะ 

หัวข้อถัดไป  ถ้าคิดๆ จะทำโฮสเทล  ลองวางเรื่องเงินหรือความโก้เก๋ลงก่อน 
แล้วถามตอบตัวเอง ตามที่เราจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นนะ  เอาตรงๆ คิดดังๆ ไม่มีใครได้ยินนะคะ

หนึ่ง  คุณเป็นคนชอบช่วยเหลือผู้อื่น  เห็นอกเห็นใจผู้อื่น  ใส่ใจผู้อื่น  รึเปล่า   เรื่องมีอยู่ว่าสาวน้อยผมทองอายุ 21 ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเที่ยวซะไกล  มานั่งร้องไห้หน้าห้องน้ำ  เธอแพ้ผงชูรส แพ้กลูเต็น เป็นวีแกน  เธอเช็คอินตอนสามทุ่มกว่า  เธอขับสกูตเตอร์มาไกล  เหนื่อยและหิวเอามากๆ   คุณหาอาหารเย็นให้เธอณ. ตอนนั้นได้มั๊ยคะ  555  ฟังดูเว่อร์เน๊าะ  แต่ที่ยกตัวอย่างมานี่ของจริงจากประสบการณ์นะคะ   เลเวลนี้ภูมิใจประมาณว่าได้ช่วยชีวิตคนเลยค่ะ 555
อีกเคสละกัน  คู่รักหวานแหวว ทั้งสองกินเจ  มีความอยากอาหารไทยมากแต่เอาแบบเจนะ  ผัดกระเพราใส่เต้าหู้ไม่ใส่น้ำปลา  ไม่ใส่ผงปรุงรสที่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์  น้ำมันหอยก็ต้องใช้ซอสเห็ดแทน  คุณจะมีน้ำใจเขียนข้อความให้เขาได้มั๊ยหรือสอนเขาพูดสั่งอาหารได้มั๊ย อะไรแบบนี้  จำเป็นมั๊ยไม่รู้  รู้แต่ว่านี่แหละคือความเป็นคนไทย  เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่จะอยู่ในความทรงจำของเขาไปตลอด  ปลื้มมั๊ยล่ะ

ด้วยความที่เราทำ Local Hostel  คนที่มาพักก็เหมือนผ่านการคัดกรองมาจากเมืองหลักและเมืองรองมาพอสมควร  เราก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องลูกค้าห่วยๆ เข้าผับเข้าบาร์  เมาแอ๋กลับตีหนึ่งไรงี้  โล่งใจไปเยอะเลย  แต่ลูกค้าที่ผ่านการคัดกรองมาแล้วก็มักจะต้องการหรือเสาะหา Local People เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนะจ๊ะ  (จะว่าไปเราว่ากระทู้นี้เอาไปเปรียบกับโฮสเทลที่ข้าวสารเห็นจะไม่เหมาะ  เหมือนเอานิชมาเก็ตไปเปรียบกับแมสมาเก็ต)  ก็นั่นล่ะเป็นที่มาของข้อถัดไป  ถามตัวเองนะคะ

สอง  คุณจะตอบคำถามเหล่านี้เป็นภาษาอังกฤษยังไงคะเวลาคุณคุยกับชาวต่างชาติ  ทุ่มสองทุ่มนั่งไขว่ห้างจิบเบียร์ชวนเราคุย  เดินเข้าห้องหน้าตาเฉยไม่ได้นะคะเพราะเห็นได้ชัดเลยว่าเขาตั้งท่าจะคุยกับเรา  บางคำถามนี่เป็นคำถามซ้ำๆ กันจาก backpacker  อายุราวๆ  25-30  จาก 40 ประเทศนะคะ
ยกตัวอย่างเช่น 
ทำไมที่ไทยมี lady boy เยอะจัง, ทำไมคนไทยถึงรักในหลวงเอามากๆ, ในหลวงทำงานอะไร  ท่านเก่งยังไง, คุณบริจาคเงินให้วัดรึเปล่า, คุณเข้าวัดไปทำอะไร  ไปบ่อยแค่ไหน, คุณนับถือศาสนาอะไร  ทำไมถึงนับถือศาสนานี้, คุณเคยฝึกวิปัสสนารึเปล่า, คุณพูดได้กี่ภาษา  คุณเรียนภาษาอังกฤษเฉพาะที่โรงเรียนหรือที่ไหน, ฐานเงินเดือนคนจบป.ตรีที่นี่เท่าไหร่, ค่าแรงต่อชั่วโมงที่นี่เท่าไหร่, คุณจะแนะนำที่เที่ยวแถวๆ นี้ได้รึเปล่า, ที่นี่มีอะไรน่าสนใจบ้าง, ทำไมเจดีย์ถึงเป็นสีทอง, นั่นพระพุทธรูปทำท่าอะไร say hello เหรอ (ปางห้ามญาติน่ะฮ่ะ), ทำไมผู้คนถึงซื้อกุ้งหอยปลาหมึกในกะบะที่มีแมลงวันหลายๆ ตัวลอยฟ่องอยู่ด้วย  แถมยังบินวนๆ แถวนั้นเป็นฝูง เขาอยากสัมภาษณ์คนที่ซื้อกินว่ามีความคิดเห็นอย่างไร  เพราะเขาอยากจะเข้าใจจริงๆ  แถมยังจ้องหน้า  ถามเราว่า  เราก็ซื้อแบบนี้รึเปล่า  (อันนี้พีคและเศร้ามาก ปลอบตัวเองว่ากรูไม่รู้กรูไม่เกี่ยวกรูก็ไม่กินเหมือนยิ้มนั่นแหละ) 

อะไรอีกนะ...ถ้าอายุเยอะกว่า 30 หน่อยก็จะถามว่า  ทำไมถึงมีรัฐบาลทหาร, ชอบมั๊ย, รู้สึกว่าขาดอิสระหรือไม่ปลอดภัยมั๊ย, คุณมีลูกค้าจากประเทศไหนเยอะที่สุด, จริงเหรอที่ผู้ชายไทยเจ้าชู้, สังคมไทยโอเคมั๊ยถ้าผู้หญิงแต่งงานแล้วหย่า, ที่นี่เขาแต่งงานอายุเท่าไหร่  ประมาณนี้

มาต่อๆ คำถามทั่วๆ ไปจากแบ็คแพ็คหลากหลายอายุและเชื้อชาติ  ทำไมแมวที่นี่หางกุด คุณตัดหางแมวเพราะความเชื่ออะไรรึเปล่า, คุณกินงูหรือหมาแมวมั๊ย, คุณกินแมลงรึเปล่า, นมข้นหวานคืออะไร, นมข้นจืดเป็นยังไง, เย็นตาโฟทำไมใส่ซอสสีแดง  มันคืออะไร ทำไมมีสีแดง, ทำไมมะม่วงมีทั้งสีเขียวสีเหลืองต่างกันยังไง, มะละกอล่ะ papaya salad  มันไม่เหมือน papaya  สีแดงๆ นิ่มๆ หวานๆ นั่นเลยนะ, butterfly pea flower  นั่นเหมือนมีเวทมนต์ 555  ปลื้มจะเป็นจะตายถ้าเราหุงข้าวสีฟ้าให้กิน  ถามบ่อยต้นอะไร  ปลูกแถวนี้มั๊ย  อยากเห็น 
อะไรอีกน้าาาา  พอก่อนมั๊ย 555   เหนื่อยจะตอบแต่ก็พยายามอยู่นะ

สาม  คุณเป็นคนเข้าถึงอารมณ์คนอื่นรึเปล่า  (ก็ใส่ใจคนอื่นนั่นล่ะค่ะ  แต่ข้อนี้จะเจาะนิดนึงตรงที่..ถ้าไม่เข้าใจก็ต้อง "ตั้งใจฟัง"  ให้มากๆ นะคะ)  ก็ขอย้ำอีกทีค่ะว่า Local Hostel วันเวลามันเดินช้ากว่า Hostel ในเมือง  และเราก็จะมีความเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องกันกับลูกค้าในระดับนึง  เขาสัมผัส "ความเป็นไทย"  ได้นะคะ  ส่วนใหญ่เขาก็จะซึมซับตรงนี้ได้ด้วยความเต็มใจ (ก็มันอบอุ่นนี่เน๊าะ)  และเขาก็ชอบมากค่ะ  ยกตัวอย่างเช่น  
บางคนมาจากประเทศที่เขายังรบราฆ่าฟันกัน  ยังทิ้งระเบิดใส่กัน  บางคนเคยเป็นทหาร  เขามาเที่ยวเพราะต้องการ "หลบหนี"  จากความเครียดตรงนั้นค่ะมันก็เป็นอัตโนมัติเน๊าะ  พลังงานมันจะปรับสมดุลย์  เขาจะดูดซับความสบายๆ ม่ายเป็นรายยยยของคนไทยไปเต็มๆ  เขามาเรียนรู้ว่าจะอยู่ยังไง  ใช้ชีวิตยังไง  ไม่ให้เครียด  เค้าจะเอาไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันของเขา...น่าคิดมั๊ยคะ  ว่าเขามองคนไทย  ความเป็นไทย  ว่ามีความสุข  ดีงามและเรียบง่ายขนาดไหน

สาวน้อยคนนึงไลฟ์สดไปหาพ่อแม่ที่บ้าน south africa ในขณะนั่งกินส้มตำไก่ย่าง เท้าข้างหนึ่งแช่น้ำใสแจ๋ว   ดูซิแม่..ลูกปลอดภัยดี..ปลอดภัยมากกว่าอยู่ที่บ้านเสียอีก  ได้ยินกับหูเลย  ปลื้มมั๊ยคะ  แค่อยากจะบอกว่าเราไม่เข้าใจปัญหา  เราไม่เข้าใจความขัดแย้งในสิ่งที่เขาประสบพบเจอมาและหลบมาพัก  มาเบรค  เราก็อย่าไปพูดอะไร  ฟังเข้าไว้ค่ะ  ฟังเข้าไป  ถ้าไม่เข้าใจก็อย่าได้แสดงความคิดเห็น  เน๊าะ

หลายๆ คนมาเที่ยวไม่ใช่เพราะอยากเที่ยว  แต่เพราะอยากหลบหลีก  อยากเบรค  อยากทบทวน  อยากหาคำตอบให้ตัวเอง  อยากมาซึมซับพลังงานดีๆ อยากมีวิชชั่นใหม่ๆ อะไรแบบนี้  หนีหิมะความหนาวเย็นมาก็เยอะ  หนีการจราจลมาก็ไม่น้อย  หนีปัญหาชีวิตมาก็ใช่    ความอบอุ่น, มิตรภาพ, การดูแลเอาใจใส่, รอยยิ้ม, น้ำใจ, ความช่วยเหลือ  อะไรแบบนี้  รวมๆ กับอาหารรสชาติดี  ความสะอาดใช้ได้  การแพทย์โอเค  ค่าครองชีพไม่แพงมาก  การคมนาคมก็ค่อนข้างสะดวก   สิ่งเหล่านี้ล่ะค่ะคือความเป็นไทย  ที่ใครๆ ก็อยากมาสัมผัสด้วยตัวเอง

เขียนไปเขียนมา  ยาวใช้ได้เลยนะคะนี่  แต่เนื้อหายังไปไม่ถึงไหนเลย 555   เอาไว้ว่างๆ หรือมีความรู้สึกอยากเขียนเมื่อไหร่จะมาเล่าต่อนะคะ  อาจจะตอบเม้นช้านะคะ   ขออภัยล่วงหน้าเลยค่ะ

ตอนที่ 2 มาแล้วนะคะ   https://ppantip.com/topic/38804254  
ตอนที่ 3 ค่ะ
https://m.ppantip.com/topic/38995274?
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่