เหนือ ตะวัน (ตอนที่ 54)

กระทู้สนทนา
มากับสายฝนพรำ ในวันที่อากาศเย็นชื้น  แต่จะเย็นแบบนี้ได้นานแค่ไหน เพราะความร้อมแรงของดวงตะวันกำลังเคลื่อนเข้ามา ดั่งเช่น ความรักความจริงใจจะเห็นได้ชัดในยามมีภัยที่จะต้องร่วมต้าน พบกับบทบาทของ สาว สาว สาว ที่จะมาสร้างความมันแบบไม่กลัวเปลืองกระสุนได้แล้วครับ

ตอนที่แล้วดุเดือดในระดับไหนต้องตามไปดูนะขอรับ เสี่ยขอร้อง

เหนือ ตะวัน (ตอนที่ 53)
https://ppantip.com/topic/38706580

บทที่  54  ล่าจิ้งจอกขาว

          มาริสาตื่นขึ้นมากลางดึก ด้วยฝันร้าย ภาพของฝันร้ายที่ยังติดตาของเธอ นั่นคือภาพของปรีชามาหาเธอในบ้านพัก น้ำเสียงที่อบอุ่นและเคารพเธอยังคงก้องในหูอย่างชัดเจน

          ‘อาผิงฉันต้องไปแล้ว ต่อไปก็ดูแลตัวเองให้ดี วาสนาของฉันคงมีเพียงแค่นี้ ถ้าเป็นไปได้ก็เลิกล้มความคิดทุกอย่าง กลับไปบ้านที่เราจากมา ใช้ชีวิตเหมือนตอนเด็กๆ ที่เราเคยเป็นนะ’

          ‘ทำไมพูดแบบนี้พี่ก็รู้ไม่ใช่หรือว่าอาผิงต้องการอะไร อาผิงต้องการให้พวกเราทุกคนทุกคนในหมู่บ้าน มีความสุข มีผืนแผ่นดินเป็นของตนเอง ความจริงมันเป็นความฝันของพี่ไม่ใช่หรือ ตอนนี้เราก็ใกล้จะประสบความสำเร็จแล้วนะพี่อู่ (ห้า)’

ปรีชาฝืนยิ้มก่อนจะเอ่ยออกมาอีก

          ‘ความจริงความฝันของฉันมีแค่สิ่งเดียว คือต้องการให้เธอมีความสุข มันเป็นความฝันของฉันก่อนที่เธอจะไปกับอาฟางอีก ฉันไม่เคยไม่มีวันที่ไม่คิดถึงเธออาผิง ฉันอ้างว่าจะทำเพื่อพวกเราทุกคน แต่ความจริงฉันโกหกเธอ และโกหกตัวเองมาตลอด ฉันแค่อยากใกล้เธอแค่รับใช้เธอในฐานะทาสผู้ซื่อสัตย์ หรือเป็นแค่หมาที่เธอเลี้ยงไว้ก็ได้ ทุกอย่างที่ฉันทำ ก็เพื่อเธอเท่านั้น’

มาริสาน้ำตาไหลออกมา ก่อนคว้ามือของปรีชามาแนบแก้ม

          ‘อย่าพูดเหมือนจะจากอาผิงไป ความจริงอาผิงก็รู้ แต่อาผิงก็อยากบอกพี่มาตลอด ว่าอาผิงก็รักพี่ แต่เป็นความรักที่น้องสาวให้พี่ชาย เหมือนเพื่อนที่ไม่เคยทอดทิ้งกัน’

ปรีชาจึงใช้มืออีกข้างเช็ดน้ำตาของมาริสา ยิ้มออกมา

          ‘แค่นี้พี่ก็ดีใจแล้ว เอาล่ะต่อไปเธอก็ต้องระวังตัวด้วย เพราะมันคงไม่หยุดแค่นี้ เธอต้องหนีไปซ่อนตัว อย่าติดต่อกองทัพหนูอีก ตอนนี้ทุกอย่างที่เคยเป็นของเธอ มันเป็นของคนอื่นไปแล้ว…ลาก่อนอาผิง ลาก่อน’

เมื่อปรีชาถอยหลังหันหลังกลับ มาริสาจึงวิ่งตาม แต่เธอก็ต้องตกใจสุดขีด เพราะภาพที่เห็นคือภาพของของปรีชาที่ค่อยๆ ก้าวเดินจากไป แต่ไร้ศีรษะ แล้วเธอก็สะดุ้งตื่น

มาริสาเดินไปที่โต๊ะ เทเหยือกน้ำลงในแก้ว แล้วดื่มอย่างกระหาย เธอดื่มไปสามถึงสี่แก้ว นึกถึงแต่ภาพของปรีชาที่เดินจากไปแต่ไร้ศีรษะ ลางร้ายปรากฎอย่างชัดเจน จนเธอไม่ต้องการจะอยู่นิ่งเฉย มาริสาเข้าไปในห้องสื่อสารเพื่อติดต่อวิทยุ ด้วยช่องหมายเลขที่มีเพียงเธอกับปรีชาที่ทราบ ใช้รหัสที่เขาและเธอทราบเพื่อติดต่อ

          “กระต่ายเรียกอาห้า กระต่ายเรียกพี่อาห้า ได้ยินแล้วตอบด้วย”

เธอส่งสัญญาณอยู่นานก็ไม่มีเสียงสัญญาณตอบกลับมา ความคิดภายในใจเริ่มคิดในทางร้าย มาริสานึกถึงเพื่อนสนิท ที่เป็นผู้ช่วยของเธออีกคน ก็คืออาเหลียง เขาเป็นคนซื่อสัตย์ไม่ยอมเปลี่ยนความคิดแม้จะถูกผิดถ้าเขายอมรับนับถือใคร จะไม่มีวันเปลี่ยนใจอย่างเด็ดขาด

มาริสาจึงโทรศัพท์ไปหาอาเหลียงที่เป็นเบอร์ตรง เขาจะรับสายเสมอ นอกจากเขาไม่อยู่ตรงนั้น สายโทรศัพท์ดังขึ้นหลายครั้ง ก็ไม่มีคนรับสาย มาริสากระแทกสายลงอย่างแรง

          “นี่มันอะไรกัน ทำไมสองคนไม่อยู่ตอนนี้นะ จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”

แล้วเธอก็จึงโทรไปหาโกตั๊บซึ่งเป็นอีกคนที่ช่วยเธอดูแลกิจการจิ้งจอกขาว สายสัญญาณดังขึ้นสองครั้ง แล้วโกตั๊บก็รับสาย มาริสารีบถามทันที

          “ได้ข่าว ปรีชาบ้างไหม ทำไมฉันถึงติดต่อไม่ได้”

โกตั๊บเงียบเสียงไปสักครู่จนมาริสารับรู้ถึงความผิดปกติ ก่อนเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง

          “นายรู้อะไรมา ก็บอกฉันเดี๋ยวนี้”

เสียงถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยออกมา

          ‘ตอนนี้เธอไม่ใช่นายหญิงของฉันอีกแล้ว เพราะทั้งอาอู่ กับไอ้เหลียง มันตายไปแล้ว ฉันไม่อยากตายเหมือนไอ้สองคนนั่น และตอนนี้ จิ้งจอกขาว ก็ไม่มีอีกแล้ว เพราะมันเปลี่ยนเป็น สมิงทมิฬ ฉันจะรับคำสั่งจากคุณเอกเดชเท่านั้น ถ้าฉลาดก็อย่ามาขวาง ทรัพย์สินที่เธอมีอยู่ในขณะนี้ ก็คงพอทำให้เธอไปไหนก็ได้บนโลก แต่อย่าอยู่ที่นี่ บนประเทศแห่งนี้ เพราะมันเป็นแผ่นดินของ สมิงทมิฬเท่านั้น คุณมาริสาหว่อง’

มาริสาเหมือนตนเองถูกผลักให้ตกเหวลึก ร่างกายลอยคว้าง และลงสู่ผืนน้ำที่เย็นเยียบคล้ายผิวหนังถูกเข็มนับหมื่นนับแสนเล่มทิ่มแทงบนร่างกาย เธอทำได้เพียงแค่

          “พี่อู่ พี่เหลียง ตายแล้วอย่างงั้นหรือ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้”

โกตั๊บที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะทำงานเขาวางหูโทรศัพท์แล้วจ้องมองโทรศัพท์เครื่องนั้นด้วยสายตาโศกเศร้า เขารอแค่ให้มาริสาโทรเข้ามาเพื่อแจ้งข่าว ให้เธอได้มีโอกาสหนี มันเป็นความภักดีสุดท้ายที่เขามอบให้ หลังจากนั้นเขาก็ทำลายเครื่องโทรศัพท์นั้นทิ้งรวมทั้งกระชากสายโทรศัพท์นั้นขาดออก

เขานั่งลงบนโต๊ะหอบหายใจถี่ นึกถึงเหตุการณ์เมื่อเวลา 1 ทุ่มที่เอกเดชมาเข้าพบเอกเดชสวมเสื้อเชิ้ตสีดำ กางเกงสีดำ ราวกับว่าเขาเพิ่งไปงานศพของใครมา โกตั๊บที่ไม่ค่อยจะต้อนรับแขกมากนัก ก็อดรู้สึกถึงความหยิ่งผยองของชายผู้นี้ไม่ได้

          “มีธุระอะไรก็ว่ามา ฉันมีธุระยุ่งอยู่”

เอกเดชหยิบซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้ออย่างช้า แล้วก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ

          “ก็อย่างที่ผมแจ้งกับหลงจู๊ไว้ ว่าผมมีของมาให้ดู ให้ดูเสร็จแล้วผมก็จะกลับ”

โกตั๊บรู้สึกในกิริยาที่เหมือนไร้ความยำเกรงของชายผู้นี้ ก่อนตวาดออกมา

          “ไม่! อั้วไม่อยากดูอะไรของลื้อทั้งนั้น เอาของๆ ลื้อกลับ แล้วไสหัวไปได้แล้ว ก่อนที่อั้วจะหมดความอดทน ไอ้เก๊าเจ้ง(ไอ้หมาเลว)”

เอกเดชหัวเราะในท่าทีโกรธเคืองของโกตั๊บหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่ของจิ้งจอกขาว ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นอำมหิต ตบโต๊ะจนเสียงดังเปรี้ยงตวาดกลับมา

          “เมริงต้องดูของขวัญของกู ไม่งั้นเมริงจะไม่มีโอกาสได้ดูอะไรอีก ไอ้ตั๊บ”

โกตั๊บถึงกับขนลุกซู่ ถึงอำนาจคุกคามที่เป็นรังสีฆ่าฟันที่พุ่งออกมาถึงทุกคนภายในห้องจนชะงักไปหมด เอกเดช จึงเหลือบมองลูกสมุนที่ถือกล่องให้นำไปวางบนโต๊ะรับแขก ทั้งสามกล่อง แล้วจึงเดินกลับไปยืนข้างหลัง

          “ทีนี่ก็เบิ่งตาดู แล้วกูจะบอกอะไรให้เมริงฟัง…ดูซะให้เต็มตา”

แล้วโกตั๊บก็จึงเปิดฝากล่องออก เมื่อเห็นภาพของในกล่องก็ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นตกใจ

          ”ไอ้เหลียง”

เอกเดชหยิบบุหรี่ขึ้นมาจากซองมาคาบ ลูกสมุนจึงก้มตัวมาจุดไฟให้ สายตาของเอกเดชเต็มไปด้วยความลำพองไขว่ห้างอย่างไร้ความรู้สึกกดดัน จากนั้นโกตั๊บก็มองหน้าเอกเดชด้วยความแค้น ส่วนเอกเดชใช้สายตามองไปยังอีกกล่อง เพื่อให้โกตั๊บเปิดฝากล่องอีกใบ เขาจึงเอื้อมมือที่สั่นเทาไปเปิดกล่องที่สองออก

          “ไอ้อู่ เมริงก็…”

ทีนี้โกตั๊บถึงกับเข่าอ่อนลงไปนั่งกับพื้น ด้วยความรู้สึกตื่นตกใจ เอกเดชจึงใช้เท้าถีบกล่องเปล่าลงมาข้างหน้าโกตั๊บ แล้วตวาดออกมาด้วยเสียงที่มีอำนาจ

          “ถ้าเมริงไม่มาเป็นลูกน้องกู แล้วเปลี่ยนชื่อจากจิ้งจอกขาวมาเป็นสมิงทมิฬ หัวของเมริงจะลงไปอยู่ในกล่อง เหมือนไอ้สองตัวที่มันไม่รู้ว่าใครควรจะเป็นนายของมัน ว่าไงตกลงว่าเมริงจะรับข้อเสนอของกูหรือเปล่า”

โกตั๊บมองศีรษะของเพื่อนทั้งสองที่ลงไปอยู่ในกล่อง ก็ได้แต่ถอนลมหายใจแล้วก้มลงคุกเข่าโน้มตัวลงใช้ศีรษะโขกพื้น เพื่อแสดงความยอมรับนับถือเป็นเจ้านายของตนนับจากนี้เป็นต้นไป เอกเดชลุกขึ้นยืนส่งสายตาให้ลูกน้องนำกล่องบรรจุศีรษะของทั้งสองเดินตามออกมา แต่ก่อนจะออกจากห้อง เอกเดชหันมามองมายังโกตั๊บอีกครั้ง แล้วเอ่ยขึ้นมา

          “ฉันจะถือว่าให้แกทำในสิ่งที่แกต้องการ บอกกับนังมาริสาไปตรงๆ ว่าบัดนี้ สมาคมจิ้งจอกขาวไม่มีอยู่บนโลกอีกแล้ว เพราะมันเหลือแต่ สมิงทมิฬ ที่เป็นของฉัน เอกเดชคนนี้ เท่านั้น อีกสามวันให้หัวหน้าสายทั้งหมดมารายงานตัวที่สำนักงานของฉันด้วย ใครไม่มา ถือว่าไม่ใช่คนของสมิงทมิฬ บอกทุกคนให้รู้ทั่วๆ กัน”

เอกเดชกล่าวจบก็ร่อนจดหมายเปิดผนึกไปอยู่ตรงหน้า โกตั๊บอย่างแม่นยำ เขาเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โกตั๊บได้แต่นั่งพับเพียบอย่างสิ้นเรี่ยวแรง…และทั้งหมดคือเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว ต่อไปสมิงทมิฬจะจัดการอะไรอีกนั้น โกตั๊บก็ไม่มีวันจะคาดเหตุการณ์ล่วงหน้าได้เลย แต่ที่ทราบตอนนี้ก็คือ คงต้องมีการนองเลือดครั้งใหญ่อีกครั้งอย่างแน่นอน

+++++++++++++++++


          เอกเดชเมื่อกลับถึงห้อง ก็ทรุดลงกับพื้นคลานไปอาเจียนออกมาเป็นเลือดคำใหญ่ สบถออกมาอย่างโกรธแค้น พร้อมถมน้ำลายลงกระโถน

          “ไอ้ปรีชา ไอ้แก่ตัวแสบ ถ้ากูไม่เตรียมแผนสำรองไว้ก่อนป่านนี้คนที่หัวขาดก็คงต้องเป็นกู หึๆๆ แต่มันก็ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ที่ได้ลองของกับเมริง”

ความจริงแล้วที่เอกเดชต้องฆ่าปรีชาด้วยมือของตนเอง มีเหตุผลสามประการ อย่างแรกคือได้ทดสอบความขลังของยันต์เกราะเพชร ที่เขาให้อาจารย์เตียนเป็นคนทำพิธีเย็บหัวใจของวานรโลหิต ติดไปบนหน้าอกข้างซ้ายและสักเป็นลายเสือสมิงสีดำ เพื่อให้เป็นที่สถิตย์  หรือพิธีปลูกยันต์เกราะเพชร

ประการที่สองได้สร้างความยอมรับและหวั่นเกรงแก่สุบิน ผู้ที่จะคุมหน่วยข่าวของเขา ถ้าไม่สร้างความศรัทธาหรือความเกรงกลัว เขาจะไม่สามารถควบคุมกองทัพหนูได้เลย ถึงแม้จะให้สมุนสังหารปรีชาลงได้ก็ตาม ดังนั้นการสังหารปรีชาที่ได้ชื่อว่ามีฝีมือในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดด้วยกำลังของตนเอง แสดงให้เห็นว่าเขาเหนือกว่าหัวหน้าที่คุมกองทัพคนเดิม

ประการที่สาม คือทดสอบความแข็งแกร่งของตนเองว่าสามารถจะต่อสู้กับคนที่มีฝีมือเหนือกว่าในสถานการณ์เป็นตาย เพราะคนที่มีฝีมือระดับยอดฝีมือในตอนนี้มีเหลือไม่กี่คน ปรีชาเป็นคนที่เอกเดชทราบดีว่า มีวิชาการต่อสู้ที่ร้ายกาจที่สุด ดังนั้นถ้าต้องการวัดขีดความสามารถของตน ก็ต้องใช้โอกาสนี้ ในการทดสอบฝีมือ

เมื่อเขาได้ผลดีจากการลงมือด้วยตนเอง มีหรือเอกเดชจะปล่อยโอกาสเช่นนี้ให้หลุดลอยไป ถึงต้องแลกด้วยชีวิตของตนก็ตาม เพราะเอกเดชไม่คิดว่าแค่ใช้ปัญญาเพียงอย่างเดียวจะทำให้ยิ่งใหญ่เหนือใครๆ ได้ เขาต้องมีฝีมือเป็นที่ครั่นคร้าม ถึงจะเรียกว่ายิ่งใหญ่อย่างสมบูรณ์แบบ

          “ถ้าไม่กล้าเสี่ยงด้วยชีวิต แล้วมันจะยิ่งใหญ่ขึ้นไปหาพระแสงอะไร ทุกคนจะต้องยอมรับนับถือเอกเดชคนนี้ ทั้งสติปัญญา ความเก่งกาจ และความเด็ดขาดทุกครั้งที่ลงมือ”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่