ความรักของอาหลี่ที่สูญเสียทำให้เสี่ยเสียสูญไปพักใหญ่ เลยหาทางไปต่อยากขึ้น เสี่ยเลยใช้เวลาเขียนมากหน่อย แต่เมื่อเขียนเสร็จก็รีบเอามาลงทันที
ถึงความรักจะจากไป แต่สิ่งหนึ่งก็ยังคงอยู่ คือความเดิมตอนที่แล้ว
เหนือ ตะวัน (ตอนที่ 58)
https://ppantip.com/topic/38812464
บทที่ 59 รักสุดแสนแค้นสุดขีด
เอกเดชได้รับข่าวจากสุบินเรื่องที่ไกรทำงานพลาด ทำให้มีคนของสมิงทมิฬตายถึง 64 ศพ บาดเจ็บสาหัส 7คน นอกนั้นจะบาดเจ็บทั่วไปแต่ก็ถูกคุมขังในสถานีตำรวจก็โกรธจัด แต่ไม่พยายามแสดงให้สุบินเห็นจึงเอ่ยให้สุบินคอยติดตามสถานการณ์ แล้วพูดเรื่องสุบินต้องการได้ยินอีกครั้ง
“พรุงนี้ช่วงบ่ายๆ มาหาฉันที่วังสมิง ถึงมันไม่สำเร็จตามเป้าหมาย แต่แกก็ทำงานดีมากมารับรางวัลของแกไป”
‘ขอบคุณมากครับท่านจ้าวสมิง’
เอกเดชวางสายอย่างปกติ ก่อนลุกขึ้นยืนหันไปมองสมหมายที่นั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขก เขาเดินเข้าไปหาแล้วนั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ
“ไอ้ไกรทำงานพลาด นังนฤมลมันหนีไปแล้ว”
สมหมายสงสัยใครคือนฤมลแต่ก็เข้าใจได้ด้วยปัญญาที่ฉับไว
“เจ้านายหมายถึงนังมาริสาหรือครับ ว่าแต่ทำไมเจ้านายถึงเรียกมันว่า นฤมลละครับ”
ใบหน้าของเอกเดชยังคงเป็นเช่นเดิม เอ่ยออกมาอย่างเรียบๆ
“ชื่อเดิมของมันคือ นฤมล เจริญบูรพา มีข่าวว่ามันตายไปแล้ว แต่มันก็กลับมาจากความตาย เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ แล้วใช้ชื่อมาริสาหว่อง”
สมหมายนั้นมิใช่ลูกสมุนของเอกเดชที่คอยทำตามคำสั่ง แต่เขาคือมันสมองอีกส่วนหนึ่ง ดังนั้นก้วยความช่างคิดช่างถามและไม่เคยปล่อยผ่านในประเด็นเล็กๆ จึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังมากยิ่งขึ้น
“เจ้านายครับผมว่า เรื่องนี้มันไม่ธรรมดานะครับ แล้วข้อสำคัญเจ้านายไปรู้เรื่องนี้จากที่ไหนครับ”
เอกเดชเริ่มฉุกคิดขึ้นมา เขาขยับกายนั่งไขว่ห้าง ก่อนเอ่ยออกมา
“ความจริงข้ารู้เรื่องนี้ตอนที่ ไอ้สิงห์กับไอ้ธนูมันคุยกันตอนโน้นแต่ข้าก็ไม่ได้สนใจ จนตอนที่ได้สุบินมาเป็นพวก มันเลยมาเอาประวัติของมาริสามาให้ รวมทั้งไอ้ปรีชา กับสมุนคนสำคัญมาให้ข้าศึกษาอย่างละเอียด แล้วที่เอ็งว่ามันไม่ธรรมดา เอ็งหมายความว่าอะไรวะ”
สมหมายขบคิดอยู่อึดใจก็เอ่ยออกมา
“ผมว่าคนที่จะทำแบบนั้นได้ มันต้องมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่มากที่สามารถเปลี่ยนประวัติตนเอง รวมทั้งเปลี่ยนหน้า ให้เป็นอีกคน แถมเป็นคนต่างประเทศที่เดินทางไปได้ทั่วโลก มันไม่มีทางนำประวัติมาทำเป็นคนใหม่ แต่เป็นการสวมรอยเป็นคนคนนั้นจริงๆ ถ้ามันเป็นแบบนั้น คงจะมีแค่ สมาพันธ์ห้ามังกรเท่านั้นที่ทำได้”
เอกเดชส่ายศีรษะ แล้วเอ่ยออกมา
“มันไม่ใช่คนของ สมาพันธ์ห้ามังกรแน่นอน เพราะสมาพันธ์ห้ามังกรมีมังกรธรนินอยู่แล้ว แถมมีมังกรไม้มาร่วมด้วย ไม่เป็นสมาพันธ์ห้ามังกร ก็อาจจะเป็น องค์กรเงา แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้อีก เพราะองค์กรเงามันจะมีน้ำยาอะไร”
เอกเดชเว้นช่วง ก่อนนึกถึงเรื่องราวที่เคยได้ยินมาจากที่นฤมลคุยกับธนูในตอนงานเลี้ยงในขณะนั้นเอกเดชกำลังเต้นรำกับศิริศร เขาจึงได้ยินที่ทั้งสองคุยกันพร้อมกับศิริศรว่าจุดประสงค์ของนฤมลต้องการหาคนที่ได้รหัสว่า จอมพลเงา
“นังนฤมลยังเคยถามเรื่องจอมพลเงาขององค์กรเงา ซึ่งถ้ามันเป็นคนขององค์กรนี้มันจะไม่ถามคำถามนี้อย่างเด็ดขาด”
สมหมายจึงเอ่ยออกมาจากงานข่าวที่เขาตามหาวิเคราะห์ข้อมูลให้เอกเดชมานาน
“แล้วถ้าเป็น องค์กรลับที่ชื่อแสงสุรีย์ละครับ ไม่แน่ใจว่าเจ้านายเคยได้ยินชื่อนี้หรือเปล่า”
เอกเดชส่ายศีรษะ ก่อนเอ่ยออกมา
“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้แต่ในสมุดแฟ้มที่ไอ้สุบินมันเอามาให้ก็ไม่มีชื่อนี้ มีแต่เรื่ององค์กรเงาเต็มไปหมด”
สมหมายจึงเหลือบตาขึ้นมองพร้อมขยับแว่นทรงกลม เอ่ยออกมาตามที่คิดวิเคราะห์
“นังนฤมล น่าจะเป็นคนของแสงสุรีย์แน่นอนครับเจ้านาย”
“เพราะอะไรแกถึงคิดแบบนั้นวะสมหมาย”
“ก็เพราะไม่มีประวัติของแสงสุรีย์นี่แหละครับ ที่ไอ้กองทัพหนูรวบรวมข้อมูลก็เพื่อสืบหาแหล่งข้อมูลขององค์กรเงา ซึ่งไอ้แสงสุรีย์มันคงคิดจะกำจัด จึงให้นังนฤมลมันมาตามสืบเรื่องนี้โดยเฉพาะ แล้วมันก็ไม่พยายามจะให้เรื่องของแสงสุรีย์ มีคนรู้มากจึงไม่มีคำสั่งให้ทำประวัติ”
“แล้วแกรู้ได้ยังไงว่า ไอ้แสงสุรีย์มันนีตัวตนจริงๆ”
สมหมายขยับแว่นตาอีกครั้ง
“ผมอยู่ในสนามมวย สนามม้า บ่อนวิ่งเป็นประจำ เพื่อหาข่าวให้เจ้านายเก่า เลยได้ยินเรื่องแสงสุรีย์จากในนั้น เรื่องที่มันเป็นเจ้ามือเถื่อน แม้แต่เจ้านายเก่าผมที่เป็นถึงคนใหญ่คนโตก็บอกว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับวงการนี้ เพราะมันเสี่ยงกับหนี้สูญหรือไม่ก็ตาย ผมถึงฉุกคิดขึ้นมาครับ”
เอกเดชลูบคาง ก่อนคิดถึง สส.บารมีที่ต้องการให้ตน ทำลายเครือข่ายของฟ็อกซ์ทั้งหมด รวมทั้งกำจัดนฤมลทิ้งอีกด้วย โดยมอบเงินรางวัลจำนวนมหาศาลมาให้ เอกเดชคิดได้ทันทีว่า มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่ สส.บารมีก็อาจเกี่ยวข้องกับแสงสุรีย์
“ไอ้หมายงั้นแกคงต้องสืบเรื่องแสงสุรีย์ให้ข้าหน่อย ว่ามันคืออะไรกันแน่ แล้วมาบอกกับข้า ใช้เงินอะไรยังไง ก็ทำบัญชีมา ข้าจ่ายไม่อั้นสำหรับเรื่องนี้”
สมหมายโค้งตัวลงเป็นการแสดงการตอบรับตามคำสั่งนั้น
“ได้ครับนาย ผมจะจัดการให้อย่างดีที่สุด”
แต่ก่อนที่สมหมายจะเดินออกไป เอกเดชเอ่ยถามอีกเรื่องเพื่อขอความเห็น
“สมหมายฉันอยากปรึกษาอะไรแกสักหน่อย”
สมหมายยิ้ม ก่อนเอ่ยออกมา
“เรื่องไอ้ไกรใช่ไหมครับนาย”
เอกเดชพยักหน้า ใบหน้าเครียด เพราะเขาต้องการความเห็นสมหมายก่อนที่จะทำอะไรลงไป
“ใช่ ไอ้ไกรมันทำงานพลาดอีกแล้ว แถมทำให้คนของเราตายไปหลายคน ที่เหลือก็ถูกจับเกือบหมด ฉันไม่รู้จะจัดการอะไรกับมัน แกมีความคิดดีๆ ให้ข้าหรือเปล่า”
สมหมายอดยิ้มที่เอกเดชปรึกษาในเรื่องสำคัญกับตน ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ผมว่าที่ไอ้ไกรทำงานพลาด มันอาจมาจากความประมาท เพื่อต้องการจัดการนังมาริสาให้เร็วที่สุด เลยบุกขึ้นไปจัดการกับมันด้วยกำลังที่มี แต่เจ้านายครับ นังมาริสา มันไม่ใช่หมูในอวยที่จะจัดการมันแบบนั้น มันมีโอกาสพลาดพอๆ กับทำสำเร็จ”
“แกหมายถึง จะให้ข้าทำอะไรกับมัน”
“ถึงมันจะพลาดเรื่องสำคัญ แต่ในการทำงานที่ออกหน้าแทนเจ้านาย มันทำได้ดีไม่มีข้อบกพร่อง แล้วถ้าเจ้านายกำจัดไอ้ไกรไป ใครจะมาทำเรื่องนี้ได้ดีกว่าไอ้ไกรละครับ”
“ข้าควรให้อภัยมันอย่างนั้นหรือวะ”
“ครับเจ้านาย นอกจากให้อภัยมันแล้วควรให้รางวัลกับมันด้วย เพราะมันยังมีประโยชน์กับเจ้านาย เรื่องการสร้างพระคุณสำคัญมากกับคนสนิท มากกว่าพระเดช ตัวอย่างเจ้านายก็เห็นอยู่แล้วในกรณีของไอ้ปรีชากับไอ้สุบิน”
เอกเดชลูบปากก่อนจะโบกมือให้ สมหมายเดินออกไปได้แล้ว สมหมายจึงเดินออกไปจากห้อง เอกเดชได้แต่เดินไปที่หน้าต่างมองออกไปข้างนอก ความคิดของเขาจึงกระจ่างชัดขึ้น
“ใช่แล้วกูอุตส่าห์ลงทุนกับพวกที่ไม่เคยรู้จักให้มันรู้ว่าข้าพูดจริงทำจริง จะยอมจ่ายเงินอีกเพื่อให้คนสนิทมันทำงานถวายชีวิตไม่ได้เลยหรือ เงินกูก็มีเยอะแยะจะใช้ยังไงก็ไม่หมดอยู่แล้ว ถ้าไม่ปรึกษาไอ้สมหมายกูคงเสียโอกาสนี้”
สมหมายนั้นคือมือขวาอย่างแท้จริงของเอกเดช ถึงเขาจะใบหน้าเหมือนแก่เกินอายุไปไกลแต่ก็เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมถึงแม้จะไม่มีฝีมืออะไร เขามีความกล้า บวกความคิดลึกซึ้ง และมีความซื่อสัตย์ต่อเอกเดช เพราะได้รับการช่วยเหลือจากตอนที่เขาเคยเป็นเด็กเดินโพยในสนามมวย ทั้งสองได้พบกันตอนนั้นสมหมายอายุ 14 ปี ส่วนเอกเดชอายุ 16 ปี
เพราะสมัยก่อน สมหมายออกจะตัวเล็กผอมบางจึงถูกรังแกจากคนในสนามมวย เอกเดชนึกถึงตนเองตอนเด็กที่ถูกรังแกจึงเข้าช่วย สมหมายจึงเห็นเอกเดชเป็นเหมือนหัวหน้า และเรียกเอกเดชว่านายจนติดปาก
ถึงแม้อายุจะน้อยแต่มีความคิด มีความรู้จากการอ่านหนังสือเกือบทุกเล่มในหอสมุดแห่งชาติ เมื่อเอกเดชเริ่มเป็นใหญ่จึงคิดถึงสมหมายว่าเป็นเด็กเข้าขั้นอัจฉริยะ จึงดึงมาเป็นพวกเพื่อวางแผนงานต่างๆ นั่นเอง
+++++++++++++++++++
นฤมลถูกพาตัวมาที่คลีนิครักษาคนไข้ในเมืองสระแก้ว นายแพทย์ที่อยู่ประจำคลีนิคจึงรักษาให้เธอด้วยความจำเป็น เพราะจอมเปิดเสื้อให้เห็นด้ามปืนในตอนที่นายแพทย์กำลังจะพูดปฏิเสธ เพราะแผลของนฤมลนั้นค่อยข้างสาหัส
“ถึงผมจะช่วยตอนนี้ได้แต่ถ้าไม่พาไปโรงพยาบาลเธอก็อาจไม่รอด แผลมันกว้าง เพราะคนที่ยิงใช้ลูกปืนแบบหัวระเบิดแผลเข้าจึงเล็ก แผลออกมันจะใหญ่ แต่ผมก็ทำสุดความสามารถ”
นายแพทย์ต้องผ่าปากแผลให้กว้างขึ้นเพื่อตัดเนื้อที่ตายออกแล้วใส่ยาล้างแผลและเอาหัวกระสุนที่ยังค้างออก จากนั้นก็พันแผลให้น้ำเกลือเพื่อฟื้นฟูร่างก่าย
ส่วนจางหลี่อุ้มร่างของอาเหมยมาวางบนอีกเตียงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมอยากให้หมอพาเมียของผมไปที่โรงพยาบาล เพื่อเก็บร่างของเธอในห้องดับจิตก่อน แล้วฝากจดหมายฉบับนี้ให้กับตำรวจด้วย พวกเขาอ่านก็จะเข้าใจเอง”
นายแพทย์มองร่างของอาเหมยที่ถูกอาฮัวผลัดเปลี่ยนชุดให้สวยงามขึ้น แต่ใบหน้าซีดขาวก็ทำให้เขาทราบว่า เธอผู้นี้ได้เสียชีวิตไปแล้ว
“แล้วจะให้ผมพูดกับตำรวจยังไง หรือให้บอกว่าอยู่ๆศพมาอยู่ในคลีนิคงั้นหรือ ผมช่วยคุณไม่ได้หรอก เพราะผมคงต้องถูกตรวจสอบวินัยถ้าทำแบบนั้น”
จอมนั้นไม่ค่อยเข้าใจหลักการมากนักเขามีเพียงสิ่งเดียวที่ใช้ และได้ผลเสมอ จอมดึงปืนออกมาจากเอววางตรงโต๊ะ แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม
“ก็บอกทุกคนที่จะมาสอบปากหมอว่า มีโจรเข้ามาบังคับขู่เข็ญให้ทำแบบนี้ แล้วมันจะผิดอะไรของหมอ เป็นหมอต้องช่วยคนสิ ไม่ใช่จะกลัวนั่นกลัวนี่ แล้วอย่างนี้หมอจะเรียนเป็นหมอเพื่ออะไร บอกไปก็ได้ว่าไอ้โจรมันใช้ปืนขู่ให้หมอทำ แค่นี้บอกได้ไหมหมอ”
นายแพทย์กลืนน้ำลาย ก่อนพยักหน้า จางหลี่จึงควักเงินออกมาเป็นเงิน หกพันบาทซึ่งเป็นเงินที่เขามีติดตัวให้กับหมอทั้งหมดแล้วก็เอ่ยออกมา
“ผมไม่รู้ว่าต้องใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่สำหรับเก็บร่างของคนเสียชีวิตให้ห้องเย็น ผมรบกวนใช้เงินก้อนนี้ช่วยเก็บร่างของเธอไว้ก่อน แล้วผมจะมาทำพิธีของเธอด้วยตนเองอีกครั้ง”
จากนั้นจางหลี่ก็เดินออกจากห้องไปนั่งที่เบาะนั่งหน้ารถตู้เมื่อได้ยา และจ่ายค่ารักษาให้กับนฤมลแล้ว สิทธิชัยก็รีบพานฤมลมาขึ้นรถ พร้อมถุงน้ำเกลือทั้งหมดขึ้นรถตู้ ส่วนจอมขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปตามทางที่มุ่งหน้าไปทางถนนอีกเส้นที่จะตัดเข้ากรุงเทพ
เหนือ ตะวัน ตอนที่ 59
ถึงความรักจะจากไป แต่สิ่งหนึ่งก็ยังคงอยู่ คือความเดิมตอนที่แล้ว
เหนือ ตะวัน (ตอนที่ 58)
https://ppantip.com/topic/38812464
บทที่ 59 รักสุดแสนแค้นสุดขีด
เอกเดชได้รับข่าวจากสุบินเรื่องที่ไกรทำงานพลาด ทำให้มีคนของสมิงทมิฬตายถึง 64 ศพ บาดเจ็บสาหัส 7คน นอกนั้นจะบาดเจ็บทั่วไปแต่ก็ถูกคุมขังในสถานีตำรวจก็โกรธจัด แต่ไม่พยายามแสดงให้สุบินเห็นจึงเอ่ยให้สุบินคอยติดตามสถานการณ์ แล้วพูดเรื่องสุบินต้องการได้ยินอีกครั้ง
“พรุงนี้ช่วงบ่ายๆ มาหาฉันที่วังสมิง ถึงมันไม่สำเร็จตามเป้าหมาย แต่แกก็ทำงานดีมากมารับรางวัลของแกไป”
‘ขอบคุณมากครับท่านจ้าวสมิง’
เอกเดชวางสายอย่างปกติ ก่อนลุกขึ้นยืนหันไปมองสมหมายที่นั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขก เขาเดินเข้าไปหาแล้วนั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ
“ไอ้ไกรทำงานพลาด นังนฤมลมันหนีไปแล้ว”
สมหมายสงสัยใครคือนฤมลแต่ก็เข้าใจได้ด้วยปัญญาที่ฉับไว
“เจ้านายหมายถึงนังมาริสาหรือครับ ว่าแต่ทำไมเจ้านายถึงเรียกมันว่า นฤมลละครับ”
ใบหน้าของเอกเดชยังคงเป็นเช่นเดิม เอ่ยออกมาอย่างเรียบๆ
“ชื่อเดิมของมันคือ นฤมล เจริญบูรพา มีข่าวว่ามันตายไปแล้ว แต่มันก็กลับมาจากความตาย เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ แล้วใช้ชื่อมาริสาหว่อง”
สมหมายนั้นมิใช่ลูกสมุนของเอกเดชที่คอยทำตามคำสั่ง แต่เขาคือมันสมองอีกส่วนหนึ่ง ดังนั้นก้วยความช่างคิดช่างถามและไม่เคยปล่อยผ่านในประเด็นเล็กๆ จึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังมากยิ่งขึ้น
“เจ้านายครับผมว่า เรื่องนี้มันไม่ธรรมดานะครับ แล้วข้อสำคัญเจ้านายไปรู้เรื่องนี้จากที่ไหนครับ”
เอกเดชเริ่มฉุกคิดขึ้นมา เขาขยับกายนั่งไขว่ห้าง ก่อนเอ่ยออกมา
“ความจริงข้ารู้เรื่องนี้ตอนที่ ไอ้สิงห์กับไอ้ธนูมันคุยกันตอนโน้นแต่ข้าก็ไม่ได้สนใจ จนตอนที่ได้สุบินมาเป็นพวก มันเลยมาเอาประวัติของมาริสามาให้ รวมทั้งไอ้ปรีชา กับสมุนคนสำคัญมาให้ข้าศึกษาอย่างละเอียด แล้วที่เอ็งว่ามันไม่ธรรมดา เอ็งหมายความว่าอะไรวะ”
สมหมายขบคิดอยู่อึดใจก็เอ่ยออกมา
“ผมว่าคนที่จะทำแบบนั้นได้ มันต้องมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่มากที่สามารถเปลี่ยนประวัติตนเอง รวมทั้งเปลี่ยนหน้า ให้เป็นอีกคน แถมเป็นคนต่างประเทศที่เดินทางไปได้ทั่วโลก มันไม่มีทางนำประวัติมาทำเป็นคนใหม่ แต่เป็นการสวมรอยเป็นคนคนนั้นจริงๆ ถ้ามันเป็นแบบนั้น คงจะมีแค่ สมาพันธ์ห้ามังกรเท่านั้นที่ทำได้”
เอกเดชส่ายศีรษะ แล้วเอ่ยออกมา
“มันไม่ใช่คนของ สมาพันธ์ห้ามังกรแน่นอน เพราะสมาพันธ์ห้ามังกรมีมังกรธรนินอยู่แล้ว แถมมีมังกรไม้มาร่วมด้วย ไม่เป็นสมาพันธ์ห้ามังกร ก็อาจจะเป็น องค์กรเงา แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้อีก เพราะองค์กรเงามันจะมีน้ำยาอะไร”
เอกเดชเว้นช่วง ก่อนนึกถึงเรื่องราวที่เคยได้ยินมาจากที่นฤมลคุยกับธนูในตอนงานเลี้ยงในขณะนั้นเอกเดชกำลังเต้นรำกับศิริศร เขาจึงได้ยินที่ทั้งสองคุยกันพร้อมกับศิริศรว่าจุดประสงค์ของนฤมลต้องการหาคนที่ได้รหัสว่า จอมพลเงา
“นังนฤมลยังเคยถามเรื่องจอมพลเงาขององค์กรเงา ซึ่งถ้ามันเป็นคนขององค์กรนี้มันจะไม่ถามคำถามนี้อย่างเด็ดขาด”
สมหมายจึงเอ่ยออกมาจากงานข่าวที่เขาตามหาวิเคราะห์ข้อมูลให้เอกเดชมานาน
“แล้วถ้าเป็น องค์กรลับที่ชื่อแสงสุรีย์ละครับ ไม่แน่ใจว่าเจ้านายเคยได้ยินชื่อนี้หรือเปล่า”
เอกเดชส่ายศีรษะ ก่อนเอ่ยออกมา
“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้แต่ในสมุดแฟ้มที่ไอ้สุบินมันเอามาให้ก็ไม่มีชื่อนี้ มีแต่เรื่ององค์กรเงาเต็มไปหมด”
สมหมายจึงเหลือบตาขึ้นมองพร้อมขยับแว่นทรงกลม เอ่ยออกมาตามที่คิดวิเคราะห์
“นังนฤมล น่าจะเป็นคนของแสงสุรีย์แน่นอนครับเจ้านาย”
“เพราะอะไรแกถึงคิดแบบนั้นวะสมหมาย”
“ก็เพราะไม่มีประวัติของแสงสุรีย์นี่แหละครับ ที่ไอ้กองทัพหนูรวบรวมข้อมูลก็เพื่อสืบหาแหล่งข้อมูลขององค์กรเงา ซึ่งไอ้แสงสุรีย์มันคงคิดจะกำจัด จึงให้นังนฤมลมันมาตามสืบเรื่องนี้โดยเฉพาะ แล้วมันก็ไม่พยายามจะให้เรื่องของแสงสุรีย์ มีคนรู้มากจึงไม่มีคำสั่งให้ทำประวัติ”
“แล้วแกรู้ได้ยังไงว่า ไอ้แสงสุรีย์มันนีตัวตนจริงๆ”
สมหมายขยับแว่นตาอีกครั้ง
“ผมอยู่ในสนามมวย สนามม้า บ่อนวิ่งเป็นประจำ เพื่อหาข่าวให้เจ้านายเก่า เลยได้ยินเรื่องแสงสุรีย์จากในนั้น เรื่องที่มันเป็นเจ้ามือเถื่อน แม้แต่เจ้านายเก่าผมที่เป็นถึงคนใหญ่คนโตก็บอกว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับวงการนี้ เพราะมันเสี่ยงกับหนี้สูญหรือไม่ก็ตาย ผมถึงฉุกคิดขึ้นมาครับ”
เอกเดชลูบคาง ก่อนคิดถึง สส.บารมีที่ต้องการให้ตน ทำลายเครือข่ายของฟ็อกซ์ทั้งหมด รวมทั้งกำจัดนฤมลทิ้งอีกด้วย โดยมอบเงินรางวัลจำนวนมหาศาลมาให้ เอกเดชคิดได้ทันทีว่า มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่ สส.บารมีก็อาจเกี่ยวข้องกับแสงสุรีย์
“ไอ้หมายงั้นแกคงต้องสืบเรื่องแสงสุรีย์ให้ข้าหน่อย ว่ามันคืออะไรกันแน่ แล้วมาบอกกับข้า ใช้เงินอะไรยังไง ก็ทำบัญชีมา ข้าจ่ายไม่อั้นสำหรับเรื่องนี้”
สมหมายโค้งตัวลงเป็นการแสดงการตอบรับตามคำสั่งนั้น
“ได้ครับนาย ผมจะจัดการให้อย่างดีที่สุด”
แต่ก่อนที่สมหมายจะเดินออกไป เอกเดชเอ่ยถามอีกเรื่องเพื่อขอความเห็น
“สมหมายฉันอยากปรึกษาอะไรแกสักหน่อย”
สมหมายยิ้ม ก่อนเอ่ยออกมา
“เรื่องไอ้ไกรใช่ไหมครับนาย”
เอกเดชพยักหน้า ใบหน้าเครียด เพราะเขาต้องการความเห็นสมหมายก่อนที่จะทำอะไรลงไป
“ใช่ ไอ้ไกรมันทำงานพลาดอีกแล้ว แถมทำให้คนของเราตายไปหลายคน ที่เหลือก็ถูกจับเกือบหมด ฉันไม่รู้จะจัดการอะไรกับมัน แกมีความคิดดีๆ ให้ข้าหรือเปล่า”
สมหมายอดยิ้มที่เอกเดชปรึกษาในเรื่องสำคัญกับตน ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ผมว่าที่ไอ้ไกรทำงานพลาด มันอาจมาจากความประมาท เพื่อต้องการจัดการนังมาริสาให้เร็วที่สุด เลยบุกขึ้นไปจัดการกับมันด้วยกำลังที่มี แต่เจ้านายครับ นังมาริสา มันไม่ใช่หมูในอวยที่จะจัดการมันแบบนั้น มันมีโอกาสพลาดพอๆ กับทำสำเร็จ”
“แกหมายถึง จะให้ข้าทำอะไรกับมัน”
“ถึงมันจะพลาดเรื่องสำคัญ แต่ในการทำงานที่ออกหน้าแทนเจ้านาย มันทำได้ดีไม่มีข้อบกพร่อง แล้วถ้าเจ้านายกำจัดไอ้ไกรไป ใครจะมาทำเรื่องนี้ได้ดีกว่าไอ้ไกรละครับ”
“ข้าควรให้อภัยมันอย่างนั้นหรือวะ”
“ครับเจ้านาย นอกจากให้อภัยมันแล้วควรให้รางวัลกับมันด้วย เพราะมันยังมีประโยชน์กับเจ้านาย เรื่องการสร้างพระคุณสำคัญมากกับคนสนิท มากกว่าพระเดช ตัวอย่างเจ้านายก็เห็นอยู่แล้วในกรณีของไอ้ปรีชากับไอ้สุบิน”
เอกเดชลูบปากก่อนจะโบกมือให้ สมหมายเดินออกไปได้แล้ว สมหมายจึงเดินออกไปจากห้อง เอกเดชได้แต่เดินไปที่หน้าต่างมองออกไปข้างนอก ความคิดของเขาจึงกระจ่างชัดขึ้น
“ใช่แล้วกูอุตส่าห์ลงทุนกับพวกที่ไม่เคยรู้จักให้มันรู้ว่าข้าพูดจริงทำจริง จะยอมจ่ายเงินอีกเพื่อให้คนสนิทมันทำงานถวายชีวิตไม่ได้เลยหรือ เงินกูก็มีเยอะแยะจะใช้ยังไงก็ไม่หมดอยู่แล้ว ถ้าไม่ปรึกษาไอ้สมหมายกูคงเสียโอกาสนี้”
สมหมายนั้นคือมือขวาอย่างแท้จริงของเอกเดช ถึงเขาจะใบหน้าเหมือนแก่เกินอายุไปไกลแต่ก็เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมถึงแม้จะไม่มีฝีมืออะไร เขามีความกล้า บวกความคิดลึกซึ้ง และมีความซื่อสัตย์ต่อเอกเดช เพราะได้รับการช่วยเหลือจากตอนที่เขาเคยเป็นเด็กเดินโพยในสนามมวย ทั้งสองได้พบกันตอนนั้นสมหมายอายุ 14 ปี ส่วนเอกเดชอายุ 16 ปี
เพราะสมัยก่อน สมหมายออกจะตัวเล็กผอมบางจึงถูกรังแกจากคนในสนามมวย เอกเดชนึกถึงตนเองตอนเด็กที่ถูกรังแกจึงเข้าช่วย สมหมายจึงเห็นเอกเดชเป็นเหมือนหัวหน้า และเรียกเอกเดชว่านายจนติดปาก
ถึงแม้อายุจะน้อยแต่มีความคิด มีความรู้จากการอ่านหนังสือเกือบทุกเล่มในหอสมุดแห่งชาติ เมื่อเอกเดชเริ่มเป็นใหญ่จึงคิดถึงสมหมายว่าเป็นเด็กเข้าขั้นอัจฉริยะ จึงดึงมาเป็นพวกเพื่อวางแผนงานต่างๆ นั่นเอง
+++++++++++++++++++
นฤมลถูกพาตัวมาที่คลีนิครักษาคนไข้ในเมืองสระแก้ว นายแพทย์ที่อยู่ประจำคลีนิคจึงรักษาให้เธอด้วยความจำเป็น เพราะจอมเปิดเสื้อให้เห็นด้ามปืนในตอนที่นายแพทย์กำลังจะพูดปฏิเสธ เพราะแผลของนฤมลนั้นค่อยข้างสาหัส
“ถึงผมจะช่วยตอนนี้ได้แต่ถ้าไม่พาไปโรงพยาบาลเธอก็อาจไม่รอด แผลมันกว้าง เพราะคนที่ยิงใช้ลูกปืนแบบหัวระเบิดแผลเข้าจึงเล็ก แผลออกมันจะใหญ่ แต่ผมก็ทำสุดความสามารถ”
นายแพทย์ต้องผ่าปากแผลให้กว้างขึ้นเพื่อตัดเนื้อที่ตายออกแล้วใส่ยาล้างแผลและเอาหัวกระสุนที่ยังค้างออก จากนั้นก็พันแผลให้น้ำเกลือเพื่อฟื้นฟูร่างก่าย
ส่วนจางหลี่อุ้มร่างของอาเหมยมาวางบนอีกเตียงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมอยากให้หมอพาเมียของผมไปที่โรงพยาบาล เพื่อเก็บร่างของเธอในห้องดับจิตก่อน แล้วฝากจดหมายฉบับนี้ให้กับตำรวจด้วย พวกเขาอ่านก็จะเข้าใจเอง”
นายแพทย์มองร่างของอาเหมยที่ถูกอาฮัวผลัดเปลี่ยนชุดให้สวยงามขึ้น แต่ใบหน้าซีดขาวก็ทำให้เขาทราบว่า เธอผู้นี้ได้เสียชีวิตไปแล้ว
“แล้วจะให้ผมพูดกับตำรวจยังไง หรือให้บอกว่าอยู่ๆศพมาอยู่ในคลีนิคงั้นหรือ ผมช่วยคุณไม่ได้หรอก เพราะผมคงต้องถูกตรวจสอบวินัยถ้าทำแบบนั้น”
จอมนั้นไม่ค่อยเข้าใจหลักการมากนักเขามีเพียงสิ่งเดียวที่ใช้ และได้ผลเสมอ จอมดึงปืนออกมาจากเอววางตรงโต๊ะ แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม
“ก็บอกทุกคนที่จะมาสอบปากหมอว่า มีโจรเข้ามาบังคับขู่เข็ญให้ทำแบบนี้ แล้วมันจะผิดอะไรของหมอ เป็นหมอต้องช่วยคนสิ ไม่ใช่จะกลัวนั่นกลัวนี่ แล้วอย่างนี้หมอจะเรียนเป็นหมอเพื่ออะไร บอกไปก็ได้ว่าไอ้โจรมันใช้ปืนขู่ให้หมอทำ แค่นี้บอกได้ไหมหมอ”
นายแพทย์กลืนน้ำลาย ก่อนพยักหน้า จางหลี่จึงควักเงินออกมาเป็นเงิน หกพันบาทซึ่งเป็นเงินที่เขามีติดตัวให้กับหมอทั้งหมดแล้วก็เอ่ยออกมา
“ผมไม่รู้ว่าต้องใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่สำหรับเก็บร่างของคนเสียชีวิตให้ห้องเย็น ผมรบกวนใช้เงินก้อนนี้ช่วยเก็บร่างของเธอไว้ก่อน แล้วผมจะมาทำพิธีของเธอด้วยตนเองอีกครั้ง”
จากนั้นจางหลี่ก็เดินออกจากห้องไปนั่งที่เบาะนั่งหน้ารถตู้เมื่อได้ยา และจ่ายค่ารักษาให้กับนฤมลแล้ว สิทธิชัยก็รีบพานฤมลมาขึ้นรถ พร้อมถุงน้ำเกลือทั้งหมดขึ้นรถตู้ ส่วนจอมขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปตามทางที่มุ่งหน้าไปทางถนนอีกเส้นที่จะตัดเข้ากรุงเทพ