เหนือ ตะวัน (ตอนที่ 49)

กระทู้สนทนา
ขอมอบดอกไม้ในสวน ขึ้นต้นแบบเพลงแน่นอนว่าจะบ่งบอกได้ถึงบทต่อไปที่จะเกี่ยวกับความรัก ความรักล้วนๆ ความรักจะนำพาความโหดร้ายมาสู่ชีวิตของอีกคน เพราะเสี่ยเคยได้ยินคำพูดคำว่า 'คิดถึงจึงเป็นทุกข์ คิดถึงจึงหม่นหมอง แต่เมื่อหวนไตร่ตรอง ไม่พ้นต้องคิดถึง' แต่ใครจะคิดถึงใครรอในตอนนะครับ

แต่ความคิดถึงสามารถบำบัดด้วย ความเดิมตอนที่แล้ว ตามนี้นะครับ เสี่ยคิดถึง

เหนือ ตะวัน (ตอนที่ 48)
https://ppantip.com/topic/38554473

========================


บทที่  49  ฝืนลวง

          เอกเดชมาพบคนสนิทของ สส.บารมีที่สถานนัดพบโดยมีไกรเป็นคนจัดการนัดให้มาพบในสถานที่ลับ ซึ่งเป็นการนัดพบที่จะแบ่งสรรผลประโยชน์จากการค้าสินค้าผิดกฎหมายที่กลุ่มสมิงทมิฬดูแลให้ โดยจัดการกลุ่มอิทธิพลอื่นออกทีละกลุ่ม ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ สมิงทมิฬได้ยึดครองเขตการค้านอกกฎหมายของภาคเหนือไว้ในมือหมดสิ้นแล้ว

โดยความช่วยเหลือจาก สส.บารมี ที่ใช้อำนาจทั้งในการจัดการของธุรกิจของพ่อเลี้ยงครรชิต และใช้หน้าที่ของตำแหน่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรช่วยเหลือสมิงทมิฬในทางอ้อม ตัวแทนของ บารมีคือ คำปั่นที่ปกติจะช่วยเหลือ ครรชิตในกิจการอื่นๆ แต่ในทางลับเขาก็ช่วย บารมีในเรื่องการรวบอำนาจทั้งหมดให้อยู่ในการควบคุมโดยผ่านกลุ่มสมิงทมิฬที่จะคอยเก็บกวาดเสี้ยนหนาม

          “เดือนนี้ส่วนแบ่งก็น่าพอใจอยู่ แต่อีกไม่นานจะมีการเลือกตั้ง ท่านต้องการเงินสนับสนุนมากกว่านี้ คุณเอกคิดว่าพอจะมีทางที่จะหาเงินสนับสนุนมากกว่านี้อีกสัก 20% คิดว่าคุณเอกเดชคงไม่ขัดข้องใช่ไหมครับ”

เอกเดชเหลือบตามอง แล้วยิ้มออกมาจนเห็นฟันทองสามซี่เรียงติดกัน

          “แน่นอนครับ ถึงคุณอาไม่บอกผมก็ต้องหาทางสนับสนุนให้ท่านได้รับเลือกอีกครั้ง เพิ่มแค่ 20% ถือว่าเล็กน้อยมาก แต่ผมมีปัญหาแค่อย่างเดียว คือผมแอบไปได้ยินข่าวมาว่า สัมปทานเดินรถจะให้คุณเยาวเรศมาดูแลแทน ไม่แน่ใจว่า เรื่องนี้มันจริงเท็จแค่ไหนครับ”

คำปั่นยิ้มเล็กน้อยเขาหยิบกาแฟขึ้นมาดื่มเอ่ยออกมาอย่างผ่อนคลาย

          “เรื่องนั้นคุณเอกเดชไม่ต้องห่วง เพราะคุณหนูคงไม่ได้ดูแลกิจการตัวนั้นแบบจริงๆ จังๆ หรอก แค่ดูแลตัวเองก็ยังยากเลย แต่ผมนั่นแหละที่จะต้องถามคุณเอกเดชว่า ถ้าไอ้ธนูมันกลับมาทวงทุกอย่างคืน คุณจะรับมือเรื่องนี้อย่างไร”

เอกเดชหยิบกาแฟดำขึ้นดื่มบ้าง

          “ถ้าเรื่องสัมปทานการเดินรถไม่มีปัญหาผมก็สบายใจ ส่วนเรื่องไอ้ธนู คุณอาไม่ต้องเป็นห่วง ถึงมันกลับมาจริงๆ มันก็คงทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เพราะทุกอย่างของมัน จะต้องเป็นของผม รวมทั้งลูกสาวของมันด้วย หึๆๆๆ”

          “ท่านดูคนไม่ผิดจริงๆ คุณเอกเดชเป็นพยัคฆ์ร้ายในหมู่ลูกแกะจริงๆ และนี่คือเหตุผลที่ท่านเลือกคุณ คุณเอกเดช”

          “เสียดายที่ผมไม่ชอบดื่มเหล้าในช่วงเช้า ไม่งั้นผมต้องยกแก้วขึ้นชนกับคุณอาแล้ว”

          “ถ้างั้นเราก็ยกแก้วกาแฟชนกันได้นิครับ คุณเอกเดช”

          “งั้นก็ชนแก้วกัน เพื่อความสำเร็จของเราทั้งสอง”

เมื่อเอกเดชเดินออกมาจากสถานที่นัดพบไปขึ้นรถส่วนตัว เอกเดชถีบเข้าที่เบาะหลังด้วยความแค้น สบถออกมา

          “ไอ้บ้าเอ๊ย มันคิดจะเพิ่มส่วนแบ่งก็พูดออกมาแบบนี้หรือวะ หนอยเลือกตั้งในเขตนั้นจะมีใครมาสู้มันได้ เอาเพิ่มตั้ง 20% มันคิดว่าการทำการค้าแบบนี้มันมีกำไรมากนักหรือไง”

ไกรที่ขับรถให้จึงเอ่ยเตือนออกมา

          “แต่ถ้าไม่มีพวกมัน เราก็ทำอะไรลำบากนะครับ อย่างน้อยมันก็ช่วยเราได้ในเรื่องข่าวสาร และการขนส่งสินค้า”

เอกเดชดึงบุหรี่ขึ้นมาสูบเพื่อระบายอารมณ์โกรธ

         “ไอ้พวกเอาเปรียบ พวกเราเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แต่ไอ้พวกนั้นมันแค่ใช้เส้นสายนิดหน่อยก็เอาหยาดเหงื่อของพวกเราไป แต่อีกไม่นานหรอกไกร อีกไม่นาน พี่จะไปยืนตรงจุดนั้นบ้าง”

ไกรยิ้มกว้างเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเช่นเดิม

          “ผมก็คิดแบบนั้น ผมถึงมารับใช้พี่เอกไงครับ เพราะพี่เอกจะเป็นแสงอันเจิดจ้าที่ส่องนำทางน้องๆ ทุกคน”

เขาอดหัวเราะออกมาเบาๆ ในคำเยินยอนั้น จึงสูบบุหรี่อัดควันเข้าปอดแล้วพ่นออก ทันใดเอกเดชหวนคิดถึงความผิดปกติในเรื่องข่าวของ ดรุณีที่ไม่มีอะไรมาเข้าหู

          “ไกร แกได้ยินข่าวเรื่องพบศพนังดรุณีบ้างไหม”

ไกรนึกย้อนกลับไปก่อนเอ่ยขึ้น

          “ไม่เลยครับพี่ มีอะไรผิดสังเกตหรือครับ”

เอกเดชคิ้วขมวด ก่อนเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

          “ตอนที่แกตามไอ้โชติไปฆ่านังนั่น แกเห็นไอ้โชติยิงนังนั่นตายกับตาของแกหรือเปล่า”

ไกรเงียบไปครู่ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ

          “ไม่ครับ ผมได้ยินแต่เสียงปืนในห้องของมัน”

สายตาของเอกเดชเริ่มเห็นอะไรไม่ชอบมาพากล ถึงจะรู้สึกโกรธแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาแสดงนิสัยส่วนตัว จึงถามถึงความเคลื่อนไหวของบุคคลต้องสงสัย

          “ช่วงนี้ไอ้โชติไม่ค่อยมานอนบ้านใช่ไหม”

          “ใช่ครับพี่”

          “ถ้าไอ้โชติมันกลับมาที่สำนักงานให้ส่งมือดี ตามมันไปที่พักของมัน แล้วดูว่านังดรุณีอยู่กับมันหรือเปล่า”

          “พี่เอกครับ แล้วถ้าไอ้โชติมันพานังดรุณีไปซ่อนไว้จริงๆ พี่จะให้ผมทำยังไงต่อครับ”

เอกขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาหลี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์

          “ถ้าเป็นอย่างนั้น แกก็ต้องรีบสืบหาไอ้สิทธิชัยให้เจอตัวโดยเร็ว เพราะพี่จะต้องให้ไอ้โชติมันคืนทุนให้ก่อน พอมันฆ่าไอ้ชั่วนั่นได้ ไกรก็เก็บมันอีกคน แล้วค่อยตามไปเก็บนังนั่น เป็นคนสุดท้าย”

ไกรมีสีหน้าเป็นกังวล ก่อนเอ่ยถามเอกเดชเพื่อความแน่ใจ

          “ไอ้โชตินี่ผมได้ข่าวว่ามันหนังเหนียว แล้วผมจะฆ่ามันได้ยังไงครับ”

          “เรื่องนี้แกไม่ต้องห่วง เพราะพี่จะให้กระสุนที่ใช้สำหรับฆ่าไอ้โชติโดยเฉพาะ เพียงแต่แกต้องเล็งที่จุดตายของมัน ยิงไห้โดน แค่นี้แกก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนฆ่ามือปืนที่ร้ายกาจที่สุดในประเทศ ถ้าพี่ไม่รักแกละก็จะไม่ยื่นโอกาสให้เด็ดขาด”

ไกรมองไปข้างหน้า ก่อนเอ่ยออกมาตามที่เคยได้ยินมาให้เอกเดชรับทราบ

          “พี่เอกครับ ผมว่าจะบอกพี่หลายครั้ง แต่ไม่มีโอกาส”

เอกเดชขมวดคิ้วอย่างสงสัย

          “เรื่องอะไรหรือวะ”

ไกรลดเสียงต่ำลง เพื่อให้เอกเดชตั้งใจใช้สมาธิฟังเรื่องที่เขาสื่อสารออกมา

          “ผมเคยได้ยินว่า ในสมัยก่อนพวกเล่นอาคมจะมีของดีติดตัว ถ้าเป็นของขลังประเภทรอยสักที่ใช้วิญญาณของสัตว์ร้ายเป็นเทพคุ้มครอง มักจะถูกคนที่มีวิชาฆ่าเพื่อเอาของของคนที่ฆ่ามาเป็นของตัวเอง”

เอกเดชเริ่มสนใจในคำพูดของไกร ก่อนจะนึกถึงความคงกระพันชาตรีของโชติ ซึ่งถ้าตนได้ครอบครองอำนาจนั้น มันยิ่งทำให้ตนเองยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้น เพราะนั่นหมายถึงว่าต่อไปเขาจะไม่ต้องกลัวอาวุธจากศัตรูหน้าไหนอีก

          “ไกรคิดว่าเรื่องนี้มันจริงเท็จแค่ไหน”

ไกรจึงเอ่ยออกมาให้เอกเดชมั่นใจยิ่งขึ้น

          “แล้วพี่คิดว่า ไอ้โชติ มันหนังเหนียวจริงไหมครับ ถ้าพี่เชื่อว่ามันหนังเหนียวจริงๆ เรื่องนี้ย่อมเชื่อถือได้แน่นอน แต่ผมไม่แน่ใจว่าไอ้โชติมันจะกล้ากลับมาหาพี่เอกหรือเปล่า”

          “เรื่องนั้นแกไม่ต้องห่วง เมื่อพี่อยากเลี้ยงเสือย่อมต้องรู้จักเสือตัวนั้นอย่างดีเสียก่อน ไอ้โชติถึงมันจะมีนิสัยประหลาด แต่มันเป็นเหมือนหมาที่ซื่อสัตย์ ถ้ามันคิดจะถอนตัวจากพี่จริงๆ มันต้องมาบอกกับพี่ตรงๆ เพื่อคืนของที่พี่เคยให้มัน แล้วถ้ามันมาหาพี่เมื่อไหร่ นั่นจะเป็นวันตายของมัน”

เพราะความโลภที่เกิดขึ้นนั่นเอง เอกเดชจึงต้องการลงมือฆ่าโชติด้วยมือ เพื่อจะเอาของขลังที่อยู่กับโชติตามข้อมูลที่ได้จากไกร

          “และมันต้องตาย ด้วยมือของพี่ แต่…พี่สงสัยแค่อย่างเดียว ไกรไม่อยากได้ของดีของมันหรือไง ถึงบอกให้พี่รู้เรื่องนี้”

ไกรยิ้มกว้างเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความจริงใจ

          “ของวิเศษ มันก็ควรอยู่กับคนพิเศษแบบพี่ชายของผมสิครับ พี่เอกคือคนพิเศษ ที่จะก้าวขึ้นสู่จุดที่สูงสุดเหมือน พระอาทิตย์ ผมภูมิใจที่ได้รับใช้พี่เอกเดชครับ”

เอกเดชเมื่อได้ยินคำป้อยอ ก็อดที่จะหัวเราะด้วยความลำพองมิได้เขาใช้มือตบที่เบาะอย่างถูกใจ ก่อนจะเอ่ยออกมา

          “ไกร แกพูดเกือบถูกใจพี่ แต่ติดอยู่แค่ คุณเอกเดชคนนี้ ไม่ได้คิดเป็นแค่ดวงอาทิตย์ แต่คิดอยู่สูงกว่านั้น ยิ่งใหญ่เหนือความยิ่งใหญ่ เพราะพี่จะเป็นบุรุษที่ยืนอยู่เหนือ ดวงตะวันยังไงละ ฮ่าๆๆๆ”

ดวงตาของเอกเดชวาวโรจน์คล้ายดวงตาของสัตว์ร้ายที่ร้ายกาจที่สุด ส่วนไกรอดเหยียดยิ้มที่มุมปาก ในยามที่เอกเดชไม่ทันสังเกต

          ‘ความจริงกูก็อยากฆ่าไอ้จอมกับมือเหมือนกัน แต่นักฆ่าที่แท้จริงจะไม่ลงมือกับเหยื่อที่มันไม่มั่นใจ อยากฆ่ามัน ก็ควรต้องลงมือด้วยตัวเอง ส่วนเรื่องของขลังของไอ้จอม กูไม่อยากได้ในตอนนี้ เพราะกูไม่อยากเสี่ยงกับแค่เรื่องเล่าขาน แล้วมันเกิดเป็นจริง กูก็แค่ฆ่าเพื่อเอาของขลังมาเป็นของกู โดยที่มีเป็นหนูทดลองให้กู ไกรจักร แสงพิฆาตคนนี้’
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่