สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
เรื่องนี้เคยมีคนทำวิจัยมาแล้วครับ เกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งผิวหนัง (Malignant Melanoma) จากรังสีในเครื่องบินในอาชีพของนักบินและแอร์ ซึ่ง American Medical Association (JAMA) เป็นคนตีบทความนี้ลงลงในนิตยาสารในปี 2015 โดยเป็นการวิจัยจาก University of California ผลก็คือ เป็นความจริงที่ นักบินและแอร์ ซึ่งผลก็คือ ในกลุ่มนักบินนั้นมีอัตราเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งผิวหนังได้สูงกว่าถึง 2.22 เท่า ในขณะที่แอร์มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วๆไปที่ 2.09 เท่า ส่วนอัตราการเสียชีวิตในอาชีพกลุ่มนี้ซึ่งเป็นผลจากมะเร็งผิวหนังนั้น ก็สูงกว่าคนทั่วๆไปถึง 42%
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คราวนี้เรามาอธิบายเรื่องนี้ในด้านวิทยาศาสตร์กันครับว่า ทำไมผลถึงออกมาเป็นแบบนี้ ส่วนเกี่ยวกับ UV นี้ผมก๊อปมาพร้อมภาพจากเวป http://www.talkatalka.com ให้ก่อนนะครับ เพราะอธิบายไว้ง่ายดี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ส่วนแรกก็คือ เรื่องรังสี UV และ UV ตัวไหนที่ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง
เราต้องแยกกันก่อนนะครับว่าในแสงอาทิตย์ ประกอบด้วย รังสี ultraviolet 3ชนิด คือ
1.ultraviolet A เรียกสั้นๆว่า UVA เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่น 320 to 400 nm ในแสงแดดจะมี UVA มากถึง 95%
2. ultraviolet B เรียกสั้นๆว่า UVB เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่น 290 to 320 nm มีประมาณ 5%
3. ultraviolet C เรียกสั้นๆว่า UVC เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่น 100 to 290 nm รังสีชนิดนี้ ไม่ลงมายังผิวโลก
เพราะฉะนั้นปกติแล้วแสงแดดที่เราเจอบนพื้นโลกจะมีแค่ UVA และ UVB
อันตรายที่เกิดจาก รังสี UVA และ UVB
รังสี UVA เข้าสู่ผิวหนังชั้นลึกของเรา สามารถไปกดภูมิต้านทานของผิวหนัง อันส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถปกป้องผิวจากการเกิดและแพร่กระจายของมะเร็งผิวหนังได้ นอกจากนี้ UVA ยังส่งผลร้ายต่อผิว ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย เหี่ยวย่น เกิดจุดด่างดำ
รังสี UVB แม้จะไม่สามารถทะลุสู่ชั้นผิวหนังที่ลึกได้เท่ากับรังสี UVA แต่ก็มีผลทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น เกิดอาการแสบร้อน แดง และไหม้เกรียม (ภายใน 24 ชั่วโมงที่โดนแสงแดดจัดนานๆ) อย่างไรก็ตาม ทั้งรังสี UVA และรังสี UVB ก็ทำให้ผิวหนัง เหี่ยวย่นและก่อโรคมะเร็งผิวหนังได้พอกันทั้ง 2 ชนิด
คราวนี้มาอธิบายกันสั้นๆถึงเรื่องชั้นบรรยากาศเสียหน่อย ยิ่งสูงจากพื้นดินเท่าไหร่ ก็แน่นอนว่า เกราะกันธรรมชาติจากชั้นบรรยากาศนั้นก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น เรื่องนี้เราเรียนกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว และนั่นก็หมายความว่า รังสีต่างๆที่มาจากแสงอาทิตย์ก็จะโดนกรองออกไปน้อยลงตามความสูงของชั้นอากาศ เพราะเราเข้าใกล้ชั้นโอโซนมากขึ้นเรื่อยๆ (โอโซนอยู่ที่ชั้นอากาศสูงจากพื้นดินประมาณ 10 กม ขึ้นไป) ให้เห็นภาพชัดๆ ก็ว่ากันได้คร่าวๆว่า ในวันที่ฟ้าใส พระอาทิตย์อยู่กลางๆ ในความสูง 10 กม จากพื้นดิน อัตรารังสี UV นั้นสูงกว่าที่พื้นดินประมาณ 2 เท่า
คราวนี้มาตอบคำถาม จขกท เกี่ยวกับกระจกเครื่องบินกันครับ กระจกของเครื่องบินนั้นส่วนใหญ่ทำมาจาก PC - Polycarbonat ซึ่งวัตถุนี้จริงๆแล้วใช้อยู่ในอุตสาหกรรมต่างๆอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะในรถยนต์หรือเครื่องบิน และ PC นี้ก็มีคุณสมบัติในการดูดซึม UV นะครับ และดูดซึมได้สูงถึงประมาณ 99% ทีเดียว แต่ดูดซึมแค่ UVB เป็นหลักครับ ในส่วนของ UVA นั้น แม้ PC จะดูดซึมส่วนนี้ไปบ้าง แต่ก็ปล่อยให้ผ่านเข้ามาถึงประมาณ 54% ทีเดียว และอย่าลืมว่า UVA จริงๆแล้วเข้าถึงผิวหนังคนเราได้ลึกกว่า UVB อีกนะครับ นอกจากนี้ยังมี factor เรื่องหิมะบนเขาต่างๆและเมฆเข้ามาด้วย เพราะทั้งสองสิ่งที่ว่ามานั้นก็สะท้อน UV ได้ถึงประมาณ 85%
อย่างไรก็แล้วแต่เพื่อความแน่ชัด ก็ควรจะต้องรองานวิจัยอื่นๆมาสนับสนุนด้วยนะครับ ไม่ต้องตกใจกันจนเกินไป เหมือนกับ % คนที่เป็นมะเร็งผิวหนังไม่เท่ากันทั้งๆที่ได้รับ UV เท่ากันนั่นแหละครับ มันก็คือโอกาสเสี่ยงที่แต่ละคนมีไม่เท่ากัน แต่จะให้ดีเวลาบินก็ควรจะทาครีมกันแดดทาไว้จริง อันนี้ไม่เสียหายแน่นอน เพราะเรื่อง UV ที่ผ่านกระจกแบบที่ผมอธิบายไปด้านบนนั้น เป็นเรื่องจริง อันนี้ไม่มีข้อสงสัยแน่นอน บังเอิญบริษัทผมใช้ PC ในการผลิตชิ้นส่วนด้วย เลยได้มีโอกาสวัด Transmission และ Absorption ของ PC เพื่อใช้ในงาน ผลก็ออกมาประมาณกราฟด้านบนจริงๆ หวังว่า จขกท จะได้คำตอบที่ถามนะครับ
*แก้ไข้คำผิด & ย่อรูป & ซ่อน Source ใน Spoil
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คราวนี้เรามาอธิบายเรื่องนี้ในด้านวิทยาศาสตร์กันครับว่า ทำไมผลถึงออกมาเป็นแบบนี้ ส่วนเกี่ยวกับ UV นี้ผมก๊อปมาพร้อมภาพจากเวป http://www.talkatalka.com ให้ก่อนนะครับ เพราะอธิบายไว้ง่ายดี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ส่วนแรกก็คือ เรื่องรังสี UV และ UV ตัวไหนที่ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง
เราต้องแยกกันก่อนนะครับว่าในแสงอาทิตย์ ประกอบด้วย รังสี ultraviolet 3ชนิด คือ
1.ultraviolet A เรียกสั้นๆว่า UVA เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่น 320 to 400 nm ในแสงแดดจะมี UVA มากถึง 95%
2. ultraviolet B เรียกสั้นๆว่า UVB เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่น 290 to 320 nm มีประมาณ 5%
3. ultraviolet C เรียกสั้นๆว่า UVC เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่น 100 to 290 nm รังสีชนิดนี้ ไม่ลงมายังผิวโลก
เพราะฉะนั้นปกติแล้วแสงแดดที่เราเจอบนพื้นโลกจะมีแค่ UVA และ UVB
อันตรายที่เกิดจาก รังสี UVA และ UVB
รังสี UVA เข้าสู่ผิวหนังชั้นลึกของเรา สามารถไปกดภูมิต้านทานของผิวหนัง อันส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถปกป้องผิวจากการเกิดและแพร่กระจายของมะเร็งผิวหนังได้ นอกจากนี้ UVA ยังส่งผลร้ายต่อผิว ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย เหี่ยวย่น เกิดจุดด่างดำ
รังสี UVB แม้จะไม่สามารถทะลุสู่ชั้นผิวหนังที่ลึกได้เท่ากับรังสี UVA แต่ก็มีผลทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น เกิดอาการแสบร้อน แดง และไหม้เกรียม (ภายใน 24 ชั่วโมงที่โดนแสงแดดจัดนานๆ) อย่างไรก็ตาม ทั้งรังสี UVA และรังสี UVB ก็ทำให้ผิวหนัง เหี่ยวย่นและก่อโรคมะเร็งผิวหนังได้พอกันทั้ง 2 ชนิด
คราวนี้มาอธิบายกันสั้นๆถึงเรื่องชั้นบรรยากาศเสียหน่อย ยิ่งสูงจากพื้นดินเท่าไหร่ ก็แน่นอนว่า เกราะกันธรรมชาติจากชั้นบรรยากาศนั้นก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น เรื่องนี้เราเรียนกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว และนั่นก็หมายความว่า รังสีต่างๆที่มาจากแสงอาทิตย์ก็จะโดนกรองออกไปน้อยลงตามความสูงของชั้นอากาศ เพราะเราเข้าใกล้ชั้นโอโซนมากขึ้นเรื่อยๆ (โอโซนอยู่ที่ชั้นอากาศสูงจากพื้นดินประมาณ 10 กม ขึ้นไป) ให้เห็นภาพชัดๆ ก็ว่ากันได้คร่าวๆว่า ในวันที่ฟ้าใส พระอาทิตย์อยู่กลางๆ ในความสูง 10 กม จากพื้นดิน อัตรารังสี UV นั้นสูงกว่าที่พื้นดินประมาณ 2 เท่า
คราวนี้มาตอบคำถาม จขกท เกี่ยวกับกระจกเครื่องบินกันครับ กระจกของเครื่องบินนั้นส่วนใหญ่ทำมาจาก PC - Polycarbonat ซึ่งวัตถุนี้จริงๆแล้วใช้อยู่ในอุตสาหกรรมต่างๆอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะในรถยนต์หรือเครื่องบิน และ PC นี้ก็มีคุณสมบัติในการดูดซึม UV นะครับ และดูดซึมได้สูงถึงประมาณ 99% ทีเดียว แต่ดูดซึมแค่ UVB เป็นหลักครับ ในส่วนของ UVA นั้น แม้ PC จะดูดซึมส่วนนี้ไปบ้าง แต่ก็ปล่อยให้ผ่านเข้ามาถึงประมาณ 54% ทีเดียว และอย่าลืมว่า UVA จริงๆแล้วเข้าถึงผิวหนังคนเราได้ลึกกว่า UVB อีกนะครับ นอกจากนี้ยังมี factor เรื่องหิมะบนเขาต่างๆและเมฆเข้ามาด้วย เพราะทั้งสองสิ่งที่ว่ามานั้นก็สะท้อน UV ได้ถึงประมาณ 85%
อย่างไรก็แล้วแต่เพื่อความแน่ชัด ก็ควรจะต้องรองานวิจัยอื่นๆมาสนับสนุนด้วยนะครับ ไม่ต้องตกใจกันจนเกินไป เหมือนกับ % คนที่เป็นมะเร็งผิวหนังไม่เท่ากันทั้งๆที่ได้รับ UV เท่ากันนั่นแหละครับ มันก็คือโอกาสเสี่ยงที่แต่ละคนมีไม่เท่ากัน แต่จะให้ดีเวลาบินก็ควรจะทาครีมกันแดดทาไว้จริง อันนี้ไม่เสียหายแน่นอน เพราะเรื่อง UV ที่ผ่านกระจกแบบที่ผมอธิบายไปด้านบนนั้น เป็นเรื่องจริง อันนี้ไม่มีข้อสงสัยแน่นอน บังเอิญบริษัทผมใช้ PC ในการผลิตชิ้นส่วนด้วย เลยได้มีโอกาสวัด Transmission และ Absorption ของ PC เพื่อใช้ในงาน ผลก็ออกมาประมาณกราฟด้านบนจริงๆ หวังว่า จขกท จะได้คำตอบที่ถามนะครับ
*แก้ไข้คำผิด & ย่อรูป & ซ่อน Source ใน Spoil
แสดงความคิดเห็น
หน้าต่างผู้โดยสารของเครื่องบินนี่กัน UV มั้ยคะ