[CR] เที่ยวเกาะคิวชูช่วงปีใหม่ 7 วัน 6 คืน พร้อมแพลนโดยละเอียด : วันที่ 3

สวัสดีคับวันนี้เราจะมาต่อกันที่เมือง Nagasaki
ความเดิมจากกระทู้ที่แล้ว
วันที่ 1 : https://ppantip.com/topic/38524169
วันที่ 2 : https://ppantip.com/topic/38527299
กระทู้ถัดไป
วันที่ 4 : https://ppantip.com/topic/38534288
วันที่ 5 : https://ppantip.com/topic/38537324
วันที่ 6+7 : https://ppantip.com/topic/38539710

วันนี้ก้ต้องตื่นเช้าอีกเช่นเคยเพื่อไปเที่ยวเมือง Nagasaki ยังดีหน่อยที่วันนี้เรานั่งรถไฟดีๆไป (มีที่นั่งระบุและมีโต๊ะพับได้) ทำให้สะดวกต่อการซื้อข้าวกล่องไปกินบนรถไฟ โดยหลังจากที่กินๆนอนๆมาประมาณ 2 ชั่วโมง ก้มาถึงเมือง Nagasaki โดยสิ่งแรกที่ทำเมื่อมาถึงเมืองก้คือไปซื้อตั๋วรถรางสำหรับ 1 วัน ราคา 500 เยน ที่ Tourist Information Center
หลังจากได้ตั๋วเราก้ขึ้นรถรางแถวสถานีเพื่อไปที่เที่ยวแห่งแรกของวันนี้ซึ่งก้คือสวนสันติภาพ
พอมาถึงสถานีเป้าหมายก้โชว์ตั๋วให้คนขับดูก่อนลง แล้วก้เดินข้ามถนน 1 เส้นก้จะถึงสวนสันติภาพเลย (ตรงทางขึ้นมีบันไดเลื่อนด้วย
กู๊ดจ๊อบบบอมยิ้ม02) เมื่อขึ้นมาด้านบนก้จะเหนรูปปั้นที่เปนสัญลักษณ์ของสวนแห่งนี้อยุไกลๆ
สำหรับใครที่อยากได้รูปที่ชัดกว่านี้ก้แนะนำให้ไปถ่ายใกล้นะคับ 555 (บอกทำไมเนี่ย)
ด้านข้างของรูปปั้นก้จะมีอธิบายถึงที่มาของท่าทางรูปปั้นนี้อยุ ซึ่งเท่าที่จำได้คือนิ้วชี้ขึ้นฟ้าสื่อถึงระเบิดปรมาณู หน้าสื่อถึงความสงบ ส่วนมืออีกข้างกะขาอีก 2 ข้างนั้นจิงๆก้จำได้แหละแต่ใครอยากรู้ก้ต้องไปกันเองนะ อมยิ้ม16

หลังจากชมสวนจนพอใจก้ไปต่อกันที่พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณู ซึ่งในแพลนบอกอยุในสวนแต่จิงๆมันอยุนอกสวน (หรือจิงๆตรงนั้นมันก้
นับเปนสวนหว่า?) เอาเปนว่าต้องเดินกลับลงบันไดเลื่อนไปเพื่อไปยังพิพิธภัณฑ์ โดยระหว่างทางไปก้จะผ่านเสาดำๆอันนึงตั้งเด้นเปนสง่าอยุกลางที่โล่งก้เลยเข้าไปอ่านป้ายซะหน่อยว่ามันคืออะไร
สรุปเหนือจุดที่ปักเสานี้ขึ้นไปประมาณ 500 เมตรคือจุดที่ระเบิดปรมาณูระเบิดถล่มเมือง Nagasaki นั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นแม่อุ้มเด็กที่มีเวลาตอนเกิดระเบิดแปะอยุด้วย แต่ตัวนี้ไม่มีป้ายอธิบายเลยไม่รุว่าสื่อไร (ใครรุก้หลังไมค์มาทีอมยิ้ม17)
เดินต่ออีกนิดหน่อยก้จะเหนเนินที่เปนที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์
ก่อนเข้าเราจะต้องซื้อตั๋วคนละ 200 เยน (ถูกจัง) โดยพอเราเข้ามาก้จะมีทางเดินวนลงไปด้านล่างที่จะมีปีกำกับอยุที่ตรงกำแพง ให้ความรุสึกเหมือนย้อนเวลากลับไปปี 1945 (ปีที่โดนระเบิด)
ตรงทางเข้าห้องแรกก้จะมีโชว์นาฬิกาที่หยุดเดินตอน 11:02 (เวลาที่โดนระเบิด) ซึ่งเรารุสึกเปนการกระตุ้นอารมณ์ร่วมที่ดีมากๆเลย
ห้องแรกที่เข้ามาถึงจะเปนซากสิ่งปลูกสร้างจากลูกหลงระเบิดปรมาณู เช่น เสาไฟที่โดนความร้อนจนโค้งงอ กำแพงอิฐดำๆ และก้ของที่ดูดำๆงอๆอีกมากมาย ดูแล้วก้เริ่มรุสึกหดหู่นิดๆ
ห้องต่อไปจะเปนข้อมูลเกี่ยวกับระเบิดปรมาณู เช่น ที่มาที่ไป ขั้นตอนการทำ หน้าตาเปนยังไง แต่ที่เจ๋งคือมีโมเดลจำลองเมือง Nagasaki แล้วก้มีฉายไฟลงมาเปนตอนโดนระเบิดว่าตรงนี้เปนจุดระเบิดนะ ไฟลามไปถึงตรงนี้นะ ก้ดูละเหนภาพดี
นอกจากนี้ก้มีพวกซากของใช้ที่โดนลูกหลงมากมาย (มีให้ลองจับด้วย แต่เราไม่กล้ากลัวกมันตภาพรังศีติดมือ 555) อยุห้องนี้นานๆละรุสึกเกลียดประเทศนึงอย่างบอกไม่ถูกถือว่าทำดี (รึเปล่านะ?)
ถัดไปก้จะเปนห้องที่เก็บพวกข้อมูลหลังจากโดนระเบิดไปแล้ว เช่น การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ แต่ที่ชอบที่สุดคือพวกบทสัมภาษณ์ผู้คนที่โดนผลกระทบจากระเบิดปรมาณูแบบแต่ละคนโคดน่าสงสารอะ ณ จุดๆนั้นนี่คืออินจัดเกือบจะร้องไห้ออกมาเลยโคดหดหู่อะ อมยิ้ม08 ใครมีเวลาเหลือก้แนะนำให้หยุดอ่านกันนะ
ส่วนห้องสุดท้ายเค้าก้จะมีบอกสถานการณ์ของระเบิดปรมณู ณ ปัจจุบันว่าแต่ละประเทศเค้ามีระเบิดกันคนละกี่ลูกและระเบิดตอนนี้มันแรงกว่าเดิมแค่ไหน ใครอยากรุก้ไปดูกันได้นะ

หลังจากหดหู่กับระเบิดปรมาณูมาจนเกินพอแล้ว ก้กลับมานั่งรถรางไปกินข้าวเที่ยงกันที่ China Townตอนมาถึงที่ร้านมีคนรอคิวอยุเปนจำนวนมาก พนักงานเค้าบอกต้องรอประมาณ 1 ชั่วโมง
ซึ่งถ้าเปนร้านทั่วไปก้คงไม่รอ แต่พอดีร้านนี้พี่เราเคยมากินละบอกว่าอร่อยก้เลยเดินเล่นใน China Town รอคิว แต่ China Town ที่นี่ก้เล็กซะเหลือเกินทำให้เดินไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก้หมดละ เลยมานั่งรอที่ร้าน สรุปรอไปเกือบชัวโมงครึ่งจ้า (แพลนที่วางไว้เละเทะไปหมดละจ้า อมยิ้ม08) พอได้โต๊ะก้สั่งเมนูแนะนำมาซึ่งก้คือ Raman style Nagasaki ราคา 1500 เยน
ให้เครื่องเยอะดี แต่รสชาติก้เหมือนราดหน้าบ้านเราเลย และก้ไม่ได้อร่อยถึงขนาดต้องมารอเปนชั่วโมงอะ เอาเปนว่าอย่างน้อยก้ได้ลองของแปลก (ราดหน้าญี่ปุ่น)

พอเติมพลังกับอาหารเที่ยวเส็ดก้ไปเที่ยวที่ต่อไปคือเกาะ Dejima
ตอนแรกใช้ลิ้ง Google map ที่อยุในไฟล์แพลน มันก้พาเราไปโผล่ที่ไหนก้ไม่รุ อมยิ้ม20 เอาวะจากชื่อน่าจะเปนเกาะไม่น่าจะหายาก เลยพยายามเดินวนๆอยุแถวนั้นสักพักเพราะคิดว่าอาจจะปักหมุดเหลื่อมเล็กน้อยแต่ก้หาไม่เจอ อมยิ้ม08 สุดท้ายเปลี่ยนไปใช้ Apple map (โชคดีนะเนี่ยใช้ iPhone 555) สรุปต้องเดินไปอีกเกือบครึ่งกิโลจ้า
หลังจากหลงทางอยุซักพักก้มาถึงเกาะ Dejima (ที่ไม่รุว่ามันเรียกว่าเกาะได้ไง) โดยที่นี่จะต้องจ่ายค่าเข้า 510 เยน เข้ามาสักพักก้จะมีเกาะ? Dejima จำลองที่มีคลองเล็กๆล้อมรอบ
ก้เลยสันนิษฐานว่าคงอารมณ์เดียวกะเกาะ?กรุงเทพฯแหละมั้งที่มีครองเล็กๆล้อมรอบเลยเรียกว่าเกาะ?
เดินต่ออีกหน่อยก้จะเข้าสู่ตัวเมืองที่ภายนอกหน้าตาเหมือนบ้านญี่ปุ่นทั่วไป
แต่ถ้าเปนบ้านญี่ปุ่นทั่วไปคนต่างชาติคงอยุไม่สะดวกใช่มั้ยละ ภายในเลยมีการตกแต่งแบบยุโรปจ๋าเลยจ้า

ภายในก้มีรูปเกาะ?นี้ในสมัยก่อนให้ดูทำให้รู้ว่าแต่ก่อนเกาะนี้มันเปนเกาะจิงๆเว้ย คือญี่ปุ่นเค้าถมทะเลสร้างเกาะนี้ให้พวกฝรั่งอยุ แบบนั่งเรือมาถึงได้เลยเพราะอยุติดทะเล แต่ปัจจุบันนี่แบบเค้าถมทะเลไปไกลกว่าเดิมเยอะมากๆๆจนดูไม่เปนเกาะละ อมยิ้ม20

หลังจากที่เราเข้าใจแล้วว่ามันเปนเกาะได้ยังไง เราก้กลับไปขึ้นรถรางไปยังที่ต่อไป โดยเราจะข้าม Dutch Slope ไปนะ เนื่องจากเลทมากแล้วจ้า อมยิ้ม08 โดยที่ต่อไปที่จะไปก้คือสวน Glover
พอลงจากรถรางก้ให้เดินตามป้ายบอกทางไปเรื่อยๆก้จะมาถึงสวน Glover ที่ต้องจ่ายค่าเข้าชม 610 เยน ภายในก้จะมีบ้านทรงฝรั่งและสวนดอกไม้ให้ดูมากมาย แต่ด้วยความที่มัวแต่ไปรออาหารเที่ยงซะนานทำให้ตอนที่มาถึงพระอาทิตย์ก้ใกล้จะตกแล้ว อมยิ้ม24 ที่นี่เราก้เลยเน้นถ่ายรูปเปนหลักไม่ค่อยได้แวะอ่านประวัติมากนัก สำหรับที่นี่ก้เน้นรูปละกันเนอะ 555 (จิงๆคือเริ่มขี้เกียจพิม หลอกๆ)
ภาพด้านบนถ่ายจากบนระเบียงบ้านในรูปด้านล่าง
บ้านนี้ตั้งอยุสูงสุดของสวนนี้น่าจะเปนไฮไลท์ของที่นี่มั้ง?
บ้านนี้เปนบ้านที่เราว่าภายนอกดูดีที่สุด แต่เสียดายหามุมถ่ายดีๆไม่ได้เพราะข้างหลังเปนรั้ว ถอยมากกว่านี้อาจตายได้ อมยิ้ม08
อันนี้เปนสวนข้างๆบ้านด้านบน
บ้านนี้ตั้งอยุตรงแถวๆทางออก จัดดอกไม้กลมๆสวยดีเลยถ่ายรูปมาฝากซะหน่อย
จากจำนวนรูปก้จะเหนได้ว่าสวนที่นี่ใหญ่มากและมีวิวเมืองที่สวยมากเลย (เปนที่ที่พ่อเราชอบที่สุดในทริปนี้) ใครมาที่เมืองนี้ก้เปนอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดเลย

เส็ดจากสวน Glover ก้แวะถ่ายรูปโบสถ์คาทอลิก Oura
เนื่องจากเวลาเหลือน้อยเลยถ่ายแค่ที่ตีนบันไดพอ (ถัดจากจุดที่ถ่ายต้องจ่ายตังค่าเข้า)

ถ่ายเส็ดก้ได้เวลาไปต่อกันที่ที่สุดท้ายของวันนี้ ซึ่งก้คือการขึ้นกระเช้าไปชมวิวเมือง Nagasaki บนภูเขา Inasa
ซึ่งก้ต้องเดินทางไปไกลพอสมควรโดยเราจะเริ่มจากเดินไปขึ้นรถรางที่เดิมไปลงสถานีแถว China Town เพื่อไปเปลี่ยนขบวน แล้วจึงนั่งต่อไปลงสถานีที่ใกล้สถานีกระเช้าที่สุด โดย ณ จุดนั้นพระอาทิตย์ก้ลาเราไปเรียบร้อยแล้ว อมยิ้ม08 (ไปดูวิวเมืองก้ยังดีวะ) ระหว่างเดินไปเราก้มองไปทางภูเขาเรื่อยๆเพื่อมองหากระเช้า ทำไมมันไม่มีแบบแสงไฟเลื่อนขึ้นไปเลยหว่า เอาแล้วปิดป่าวเนี่ย พึ่งผ่านปีใหม่มาด้วยยังปิดอยุปะเนี่ยยย อมยิ้ม20 แต่ก้เหนมีคนที่แต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยวเดินไปทางเดียวกันก้เลยลองตามๆเค้าไปดู สรุปแล้วก้ยังเปิดนะ (รอดตัวไป) ก่อนขึ้นก้ต้องไปต่อคิวซื้อตั๋วนั่งไปกลับคนละ 1230 เยน (ถ้าไม่มีผู้ใหญ่มาด้วยกะจะวิ่งลงละ 555) พอขึ้นไปบนกระเช้าเค้าก้จะมีอธิบายเกี่ยวกับจุดชมวิวที่เราจะไปกัน เหนบอกว่าเคยติดอันดับจุดชมวิวเมืองของไรสักอย่างจำไม่ได้ละ โดยตอนกระเช้าเคลื่อนที่ขึ้นเขาเค้าก้จะปิดไฟด้วย (จะประหยัดไฟไปไหนเกือบเดินกลับแล้วเนี่ย อมยิ้ม09) พอไปถึงสถานีบนเขาแล้วเดินต่ออีกสักพักก้จะถึงจุดชมวิว
ถ่ายกลางคืนได้แค่นี้แหละขออภัยด้วยเน่อออ แต่ถ้าให้เทียบที่นี่กะที่ Hakodate เราชอบที่ Hakodate มากกว่า (ไม่ต้องถามถึงที่อื่นนะเคยไปแค่นี้ 555)

พอถ่ายรูปจนมือชาแล้วก้มาขึ้นกระเช้ากลับไปด้านล่าง แล้วก้เดินไปนั่งรถรางกลับสถานี
ถ้าตามแผนคือจะไปนั่งกินร้านอาหารข้างในสถานี แต่ตอนนั้นคือเลทมากแล้วและรถไฟก้จะมาแล้ว เลยไปซื้อข้าวกล่องลดราคาของ Saboten ราคาประมาณ 800 เยน โดยตอนแรกก้พยายามจะบอกให้เค้าอุ่นให้หน่อย แต่เค้าไม่เข้าใจ เลยได้แต่เดินจากมาพร้อมข้าวหมูทอดเย็นๆ อมยิ้ม08 (คิดดูขนาดเปนเมืองแรกในญี่ปุ่นที่ชาวฝรั่งมาติดต่อด้วย ผิดหวังอะ)

สรุปเราก้จบวันที่ 3 ด้วยการนั่งรถไฟ กินข้าวหมูทอดเย็นๆ และกลับไปนอนที่โรงแรมเดิม
ต่อกันที่วันที่ 4 : https://ppantip.com/topic/38534288
ชื่อสินค้า:   MeTrip
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่