สวัสดีคับวันนี้เราจะมาต่อกันที่เมือง Kumamoto
ความเดิมจากกระทู้ที่แล้ว
วันที่ 1 :
https://ppantip.com/topic/38524169
วันที่ 2 :
https://ppantip.com/topic/38527299
วันที่ 3 :
https://ppantip.com/topic/38529662
วันที่ 4 :
https://ppantip.com/topic/38534288
วันที่ 5 :
https://ppantip.com/topic/38537324
วันนี้เราก้รีบตื่นเช้าเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นจากภูเขา Sakurajima แต่ก้ต้องพบว่าอากาศข้างนอกมีฝนตกปอยๆ
ทาง MeTrip ก้มีไลน์มาบอกว่าให้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่บ่อออนเซ็นแทน แต่เพราะอากาศที่หนาวบวกกับฝนทำให้หมอกลงหนามาก มองไม่เหนอะไรเบย
ละที่มาที่เมืองนี้มีจุดหมายเดียวเลยคือมาดูวิวนี้ !@#$% ละฝนก้เจือกเลือกเวลาตกได้ดีมาก ไม่ตกเลยทั้งทริปแต่มาตกเวลาที่สำคัญที่สุดฟัคคค โคดซวยเลยยย (แวะวัดแวะศาลเจ้าตั้งเยอะไม่ช่วยไรตูเลย
) แช่น้ำจนตัวเปื่อยก้ยังไม่เหนอะไรอยุดีเลยจำใจต้องยอมแพ้ แล้วออกมาหาข้าวเช้ากิน ที่นี่จะมีให้เลือกว่าจะกินอาหารญี่ปุ่นหรืออาหารนานาชาติ เราก้เลือกกินอาหารนานาชาติเพราะกินอาหารญี่ปุ่นมาจนเริ่มเบื่อละ ซึ่งห้องอาหารที่นี่ก้ใหญ่และมีอาหารให้เลือกเยอะมาก
แต่ที่ชอบที่สุดก้คือข้าวต้มปลาที่เค้าบอกเปนอาหารพื้นเมืองของที่นี่ ในรูปนี่คือเค้าให้ตักส่วนผสมเองนะ พอทำเองเลยออกมาดูไม่ค่อยน่ากินเท่าไร 555
หลังจากกินข้าวเช้าเส็ดก้ไปเก็บของเตรียมย้ายที่พักกันอีกรอบ พอเช็คเอ้าท์เส็ดก้ออกมารอรถบัสไปส่งที่สถานี โดยระหว่างรอก้เหนว่าฝนหยุดตกแล้ว เลยทำให้พอจะเหนวิวได้บ้างในที่สุด
ส่วนรูปนี้จะเปนรูปแรงโรมที่เราพักกันเมื่อคืน น่าจะเปนโรงแรมเดียวในเมืองนี้ที่ตั้งอยุบนเขา Shiroyama ใครอยากได้พักโรงแรมวิวดีราคาไม่แพงมากก้แนะนำที่นี่เลย
ผ่านไปสักพักก้มีรถบัสมารับไปส่งที่สถานี แต่เนื่องจากฝนตกทำให้ไม่ได้เดินไปที่จุดชมวิวตอนเช้า เลยมาถึงสถานีเร็วกว่าในแพลน เราจึงไปจองรอบชินคันเซ็นไปเมือง Kumamoto ใหม่ (เกร็ดความรุ: Kagoshima Chuo เปนสถานีชินคันเซ็นที่อยุล่างสุดของญี่ปุ่น) สรุปเดินทางมาถึงเร็วกว่าแพลนครึ่งชั่วโมง
พอมาถึงก้เริ่มจากมองหาล๊อกเกอร์เพื่อเอากระเป๋าไปฝาก เส็ดแล้วก้ไปซื้อ Pass รถรางประจำเมืองกันต่อ ซึ่งก้หาซื้อได้ที่ Tourist Information Center ในสถานีราคาใบละ 500 เยน (สรุปอี Beppu แพงสุดเลยจ้า)
หลังจากได้ Pass มาแล้วก้ไปขึ้นรถรางเพื่อไปกินอาหารเที่ยง แต่ก้ต้องพบว่ามาเร็วไปร้านยังไม่เปิด (ร้านเปิด 11:30) โชคดีที่แถวนั้นเปนโซนถนนคนเดินเลยมีไรให้ทำฆ่าเวลารอร้านเปิด
พอได้เวลาก้เดินไปที่ร้านซึ่งก้เปนร้านแรกเลยมั้งในทริปนี้ที่ไม่ต้องต่อคิว (น้ำตาจะไหล
) พอมานั่งเค้าก้เอาเมนูภาษาอังกิดมาให้
ไหนๆก้ใกล้จะกลับละเลยจัด Kurobuta อีกสักรอบ (ชุดที่ราคา 2500 เยนอะ) ระหว่างนั่งรออาหารมาเสิร์ฟก้เหนว่าร้านนี้ได้ Michelin Guide ด้วยนะ (ท่าจะเด็ดจิง
) และแล้วอาหารก้มาเสิร์ฟ
ตอนแรกเคยคิดว่าแค่เอาหมูไปทอดมันคงรสชาติไม่ต่างกันมาก แต่หมูที่นี่มันคนละเรื่องกะที่บ้านเราเลย เราเคยกิน Kurobuta ที่ Maisen ของไทยก้ไม่ได้รุสึกพิเศษอะไร แต่ที่นี่หมูสันนอกมันมีมันแทรกอยุในเนื้อไม่เหมือนบ้านเราที่มันมากระจุกตรงขอบกินแล้วจุ๋ยซี่มาก
สำหรับวัตถุดิบนี่เรียกได้ว่าคนละชั้น แต่เรื่องการทอดก้ยังไม่รุสึกว่ามันต่างกันเท่าไร อีกจุดที่ต่างจากบ้านเราคือมีให้น้ำจิ้ม Ponzu มาด้วย แต่ลองจิ้มดูแล้วก้สู้น้ำจิ้ม Tonkatsu ไม่ได้ (เสียหมูไป 1 ใน 6 เพื่อลองน้ำจิ้มโคดเส้า
) สรุปโดยรวมก้ถือว่าใช้ได้อร่อยกว่าทุกร้านในไทยที่เคยกินมา ใครผ่านมาก้แวะมาชิมได้นะ แต่มาตอนร้านเปิดก้ดีนะเพราะตอนเรากินเส็ดก้เริ่มมีคนมาต่อคิวแล้ว
เส็ดจากข้าวเที่ยงก้นั่งรถรางไปต่อกันที่สวน Suizenji
พอถึงสถานีเดินต่ออีกนิดหน่อยก้จะถึงสวนเลย โดนสวนแห่งนี้ต้องจ่ายค่าเข้าชมคนละ 400 เยน เมื่อเข้าไปก้จะเหนบ่อขนาดใหญ่กลางสวนก่อนเลย
เดินไปทางซ้ายเล็กน้อยก้จะเจอศาลเจ้า
ภายในศาลเจ้าก้จะมีบ่อน้ำจากภูเขา Aso ที่ว่ากันว่ากินแล้วจะอายุยืน
เราเลยจัดไป 1 กระบวย
เดินต่อไปอีกเล็กน้อยก้จะเจอเนินที่เขาจำลองมาจากภูเขาไฟฟูจิ
ตรงมุมสวนอีกด้านก้มีการเอาหินมาเรียงเปนรูปอะไรสักอย่าง แต่ก้สวยดีๆเลยถ่ายรูปเก็บเปนข้อมูลไว้กะว่าถ้าบ้านมีสวนใหญ่ๆก้อยากจัดเปนประมาณนี้
สุดท้ายก้จะเป็นร้านน้ำชาสไตล์ญี่ปุ่นมี่เราสามารถเข้าไปจิบชาพร้อมกับชมสวนไปด้วยได้ แต่จำได้ว่าราคาค่อนข้างแพงเลยไม่ได้ใช้บริการ
หลังจากเดินในสวนมาประมาณชั่วโมงกว่าๆก้วนกลับมาตรงบริเวณทางเข้าพอดี ใช้เวลาน้อยกว่าในแพลนอยุพอสมควร แต่ก้ไม่มีไรให้ทำละ เลยตัดสินใจที่จะไปต่อกันเลย ซึ่งก้ต้องกลับไปขึ้นรถรางเพื่อที่จะไปยังเป้าหมายหลักของเราในเมืองนี้ซึ่งก้คือปราสาท Kumamoto
โดยหลังจากนั่งรถรางมาถึงสถานีปลายทางแล้วเราก้มาเดินดูกำแพงปราสาทกันก่อน
สำหรับใครที่ยังไม่รุเมือง Kumamoto พึ่งเจอแผ่นดินไหวไปทำให้ปราสาท Kumamoto ได้รับความเสียหายในหลายๆจุด โดยจะเหนได้จากรูปด้านบนที่มีกำแพงถล่มเปนบางจุด (ตอนแรกก้คิดว่ามันก้แทบไม่พังเลยทำไมซ่อมนานจัง แต่แล้วก้ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อเข้าไปเรื่อยๆ
)
เดินตามกำแพงไปเรื่อยๆก้จะเจอเมืองจำลองที่มี Tourist Information Center และพวกร้านขายของที่ระลึก
ถัดจากตรงนี้ก้จะเปนเส้นทางที่ใช้เดินชมรอบๆปราสาท โดยระหว่างเดินก้ได้เหนซากความเสียหายเต็มไปหมด
เนื่องจากไม่สามารถใช้ทางเดินปกติได้ทำให้จุดแรกที่เราไปถึงก่อนก้คือสวน Ninomaru
ภายในสวนก้มีคนมาเล่นกิจกรรมต่างๆมากมายเพราะสวนนี้มันมีพื้นที่โล่งค่อนข้างใหญ่ เสียดายถ่ายมาแต่รูปต้นไม้ใหญ่ๆรูปเดียว
เดินต่ออีกสักระยะก้จะมาถึงศาลเจ้า Kato
ซึ่งจากที่ได้เดินวนรอบปราสาท 1 รอบ ตรงนี้น่าจะเปนจุดที่ถ่ายประสาทได้ชัดที่สุดแล้ว และนี่คือภาพปราสาท Kumamoto ณ ปัจจุบัน
โดยแถวนั้นก้จะมีรูปก่อนที่จะเจอแผ่นดินไหวให้ดูด้วย ก้สามารถเอามาดูเทียบกันได้
จากรูปจะเหนได้ว่าปราสาทตอนนี้เต็มไปด้วยนั่งร้านและอาคารหลังเล็กแทบจะพังทั้งหลังเลยโหดโคด
แต่ที่ตกใจกว่าคือทำไมมันเหลือแต่หลังคาได้อะ
คือปราสาทมันต้องสร้างจากบนลงล่างหรอ
(ใครรุช่วยบอกที
)
เส็ดจากจุดนี้แล้วเราก้เดินกลับไปแถวสถานีที่เรานั่งรถรางมาลงเพื่อไปขึ้นตึก City Hall
ตึกนี้เค้าเปิดให้คนขึ้นไปชมวิวบนชั้น 14 ได้ฟรีๆเลย โดยบนนั้นก้จะเหนวิวบริเวณรอบๆปราสาท Kumamoto ที่เราพึ่งไปเดินวนมาได้ชัดเจนขึ้น
และแล้วก้จบกันไปกับที่เที่ยวสุดท้ายในทริปนี้ (โคดเหนื่อยเลยยย
) แต่เรายังไม่จบกับการช้อปปิ้ง ซึ่งถัดจากปราสาท Kumamoto ไปสถานีนึงนั้น มีถนนที่เปนแหล่งช้อปปิ้งของเมือง Kumamoto อยุ
หลังจากเดินไปประมาณชั่วโมงครึ่งคุณพ่อก้บอกว่ากลับไปช้อปต่อที่ Hakata ดีกว่าเพราะมีไรให้เดินดูเยอะกว่าและจากที่ดูนั่งชินคันเซ็นไปแค่ครึ่งชั่วโมงก้ถึง Hakata ละ เลยตัดสินใจกลับไปเดินเล่นและหาไรกินกันที่ Hakata
ก้เลยเดินมาขึ้นรถรางกลับสถานีเพื่อไปเอากระเป๋าคืนและจองที่นั่งใหม่แต่ปรากฎว่าที่นั่งเต็มต้องไปลุ้นตู้ Non-Reserve เอา
ก้เลยขึ้นไปรอรถที่ชานชลาเร็วหน่อยเพราะกลัวจะไม่มีที่นั่งและรถที่มาก้คนแน่นจิงๆแต่ก้ยังพอหาที่นั่งได้ถึงจะไม่ใช่ที่นั่งที่ติดกันแต่อย่างน้อยก้ยังได้นั่ง
พอกลับมาถึง Hakata ก้เอาของไปเก็บที่โรงแรมเดิมกันก่อนแล้วจึงมาหาไรกินแถวสถานี ด้วยความที่ไม่รุว่าจะกินไรดีก้เลยจัด Ippudo Ramen ไป (ไหนๆก้เปนเมืองต้นกำเนิดจัดซะหน่อย) โดยร้านนี้จะอยุชั้นบนของสถานี JR เลยหาไม่ยากและไม่ต้องรอคิวด้วย (คนที่นี่คงกินจนเบื่อละ) ในร้านจะมีเมนูภาษาอังกิดให้อ่านด้วย
แต่รุสึกเหมือนจะมีเมนูให้เลือกน้อยกว่าที่ไทยเยอะเลยหรืออาจจะมีเยอะแต่แปลมาแค่นี้ 555 แต่ก้เอาเหอะมีแค่ไหนก้สั่ง Akamaru อยุดี
รสชาติไม่ต่างกะที่ไทยมาก แต่ก้ไม่ได้กินที่ไทยนานแล้วเหมือนกัน เอาเปนว่าที่มีอย่างอื่นที่อยากกินก้ไม่ต้องมากินร้านนี้หรอก นี่พอดีเราไม่รุจะกินไรดี
หลังจากกินเส็ดก้แยกทางกับคุณพ่อเพราะมีของที่อยากไปดูไม่เหมือนกัน ทางเราก้เดินขึ้นไปชมสวนที่ชั้นดาดฟ้า
นอกจากสวนแล้วยังสามารถชมวิวเมืองจากตรงนี้ได้ด้วย
อีกทั้งยังมีศาลเจ้าด้วย
ณ จุดนั้นนี่คือบรรยากาศโคดน่ากลัวเพราะมีแค่เราคนเดียว
(หรือตรงนี้เค้าจะไม่ให้เข้าหว่า) มองจากไกลๆเส็ดแล้วจึงรีบเดินกลับลงไปเพราะเริ่มเสียวสันหลัง
กลับลงมาเส็ดก้ไปเดินเล่นที่ Tokyu Hands ต่อจนห้างปิดแล้วจึงเดินทางกลับโรงแรม ซึ่งก้เปนอันเส็ดสิ้นการเดินทางของเราในวันนี้
ต่อกันที่วันสุดท้าย ในเม้นด้านล่าง
[CR] เที่ยวเกาะคิวชูช่วงปีใหม่ 7 วัน 6 คืน พร้อมแพลนโดยละเอียด : วันที่ 6 และ 7
ความเดิมจากกระทู้ที่แล้ว
วันที่ 1 : https://ppantip.com/topic/38524169
วันที่ 2 : https://ppantip.com/topic/38527299
วันที่ 3 : https://ppantip.com/topic/38529662
วันที่ 4 : https://ppantip.com/topic/38534288
วันที่ 5 : https://ppantip.com/topic/38537324
วันนี้เราก้รีบตื่นเช้าเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นจากภูเขา Sakurajima แต่ก้ต้องพบว่าอากาศข้างนอกมีฝนตกปอยๆ ทาง MeTrip ก้มีไลน์มาบอกว่าให้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่บ่อออนเซ็นแทน แต่เพราะอากาศที่หนาวบวกกับฝนทำให้หมอกลงหนามาก มองไม่เหนอะไรเบย ละที่มาที่เมืองนี้มีจุดหมายเดียวเลยคือมาดูวิวนี้ !@#$% ละฝนก้เจือกเลือกเวลาตกได้ดีมาก ไม่ตกเลยทั้งทริปแต่มาตกเวลาที่สำคัญที่สุดฟัคคค โคดซวยเลยยย (แวะวัดแวะศาลเจ้าตั้งเยอะไม่ช่วยไรตูเลย ) แช่น้ำจนตัวเปื่อยก้ยังไม่เหนอะไรอยุดีเลยจำใจต้องยอมแพ้ แล้วออกมาหาข้าวเช้ากิน ที่นี่จะมีให้เลือกว่าจะกินอาหารญี่ปุ่นหรืออาหารนานาชาติ เราก้เลือกกินอาหารนานาชาติเพราะกินอาหารญี่ปุ่นมาจนเริ่มเบื่อละ ซึ่งห้องอาหารที่นี่ก้ใหญ่และมีอาหารให้เลือกเยอะมาก
แต่ที่ชอบที่สุดก้คือข้าวต้มปลาที่เค้าบอกเปนอาหารพื้นเมืองของที่นี่ ในรูปนี่คือเค้าให้ตักส่วนผสมเองนะ พอทำเองเลยออกมาดูไม่ค่อยน่ากินเท่าไร 555
หลังจากกินข้าวเช้าเส็ดก้ไปเก็บของเตรียมย้ายที่พักกันอีกรอบ พอเช็คเอ้าท์เส็ดก้ออกมารอรถบัสไปส่งที่สถานี โดยระหว่างรอก้เหนว่าฝนหยุดตกแล้ว เลยทำให้พอจะเหนวิวได้บ้างในที่สุด
ส่วนรูปนี้จะเปนรูปแรงโรมที่เราพักกันเมื่อคืน น่าจะเปนโรงแรมเดียวในเมืองนี้ที่ตั้งอยุบนเขา Shiroyama ใครอยากได้พักโรงแรมวิวดีราคาไม่แพงมากก้แนะนำที่นี่เลย
ผ่านไปสักพักก้มีรถบัสมารับไปส่งที่สถานี แต่เนื่องจากฝนตกทำให้ไม่ได้เดินไปที่จุดชมวิวตอนเช้า เลยมาถึงสถานีเร็วกว่าในแพลน เราจึงไปจองรอบชินคันเซ็นไปเมือง Kumamoto ใหม่ (เกร็ดความรุ: Kagoshima Chuo เปนสถานีชินคันเซ็นที่อยุล่างสุดของญี่ปุ่น) สรุปเดินทางมาถึงเร็วกว่าแพลนครึ่งชั่วโมง
พอมาถึงก้เริ่มจากมองหาล๊อกเกอร์เพื่อเอากระเป๋าไปฝาก เส็ดแล้วก้ไปซื้อ Pass รถรางประจำเมืองกันต่อ ซึ่งก้หาซื้อได้ที่ Tourist Information Center ในสถานีราคาใบละ 500 เยน (สรุปอี Beppu แพงสุดเลยจ้า)
หลังจากได้ Pass มาแล้วก้ไปขึ้นรถรางเพื่อไปกินอาหารเที่ยง แต่ก้ต้องพบว่ามาเร็วไปร้านยังไม่เปิด (ร้านเปิด 11:30) โชคดีที่แถวนั้นเปนโซนถนนคนเดินเลยมีไรให้ทำฆ่าเวลารอร้านเปิด
พอได้เวลาก้เดินไปที่ร้านซึ่งก้เปนร้านแรกเลยมั้งในทริปนี้ที่ไม่ต้องต่อคิว (น้ำตาจะไหล ) พอมานั่งเค้าก้เอาเมนูภาษาอังกิดมาให้
ไหนๆก้ใกล้จะกลับละเลยจัด Kurobuta อีกสักรอบ (ชุดที่ราคา 2500 เยนอะ) ระหว่างนั่งรออาหารมาเสิร์ฟก้เหนว่าร้านนี้ได้ Michelin Guide ด้วยนะ (ท่าจะเด็ดจิง ) และแล้วอาหารก้มาเสิร์ฟ
ตอนแรกเคยคิดว่าแค่เอาหมูไปทอดมันคงรสชาติไม่ต่างกันมาก แต่หมูที่นี่มันคนละเรื่องกะที่บ้านเราเลย เราเคยกิน Kurobuta ที่ Maisen ของไทยก้ไม่ได้รุสึกพิเศษอะไร แต่ที่นี่หมูสันนอกมันมีมันแทรกอยุในเนื้อไม่เหมือนบ้านเราที่มันมากระจุกตรงขอบกินแล้วจุ๋ยซี่มาก สำหรับวัตถุดิบนี่เรียกได้ว่าคนละชั้น แต่เรื่องการทอดก้ยังไม่รุสึกว่ามันต่างกันเท่าไร อีกจุดที่ต่างจากบ้านเราคือมีให้น้ำจิ้ม Ponzu มาด้วย แต่ลองจิ้มดูแล้วก้สู้น้ำจิ้ม Tonkatsu ไม่ได้ (เสียหมูไป 1 ใน 6 เพื่อลองน้ำจิ้มโคดเส้า ) สรุปโดยรวมก้ถือว่าใช้ได้อร่อยกว่าทุกร้านในไทยที่เคยกินมา ใครผ่านมาก้แวะมาชิมได้นะ แต่มาตอนร้านเปิดก้ดีนะเพราะตอนเรากินเส็ดก้เริ่มมีคนมาต่อคิวแล้ว
เส็ดจากข้าวเที่ยงก้นั่งรถรางไปต่อกันที่สวน Suizenji
พอถึงสถานีเดินต่ออีกนิดหน่อยก้จะถึงสวนเลย โดนสวนแห่งนี้ต้องจ่ายค่าเข้าชมคนละ 400 เยน เมื่อเข้าไปก้จะเหนบ่อขนาดใหญ่กลางสวนก่อนเลย
เดินไปทางซ้ายเล็กน้อยก้จะเจอศาลเจ้า
ภายในศาลเจ้าก้จะมีบ่อน้ำจากภูเขา Aso ที่ว่ากันว่ากินแล้วจะอายุยืน เราเลยจัดไป 1 กระบวย
เดินต่อไปอีกเล็กน้อยก้จะเจอเนินที่เขาจำลองมาจากภูเขาไฟฟูจิ
ตรงมุมสวนอีกด้านก้มีการเอาหินมาเรียงเปนรูปอะไรสักอย่าง แต่ก้สวยดีๆเลยถ่ายรูปเก็บเปนข้อมูลไว้กะว่าถ้าบ้านมีสวนใหญ่ๆก้อยากจัดเปนประมาณนี้
สุดท้ายก้จะเป็นร้านน้ำชาสไตล์ญี่ปุ่นมี่เราสามารถเข้าไปจิบชาพร้อมกับชมสวนไปด้วยได้ แต่จำได้ว่าราคาค่อนข้างแพงเลยไม่ได้ใช้บริการ
หลังจากเดินในสวนมาประมาณชั่วโมงกว่าๆก้วนกลับมาตรงบริเวณทางเข้าพอดี ใช้เวลาน้อยกว่าในแพลนอยุพอสมควร แต่ก้ไม่มีไรให้ทำละ เลยตัดสินใจที่จะไปต่อกันเลย ซึ่งก้ต้องกลับไปขึ้นรถรางเพื่อที่จะไปยังเป้าหมายหลักของเราในเมืองนี้ซึ่งก้คือปราสาท Kumamoto
โดยหลังจากนั่งรถรางมาถึงสถานีปลายทางแล้วเราก้มาเดินดูกำแพงปราสาทกันก่อน
สำหรับใครที่ยังไม่รุเมือง Kumamoto พึ่งเจอแผ่นดินไหวไปทำให้ปราสาท Kumamoto ได้รับความเสียหายในหลายๆจุด โดยจะเหนได้จากรูปด้านบนที่มีกำแพงถล่มเปนบางจุด (ตอนแรกก้คิดว่ามันก้แทบไม่พังเลยทำไมซ่อมนานจัง แต่แล้วก้ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อเข้าไปเรื่อยๆ )
เดินตามกำแพงไปเรื่อยๆก้จะเจอเมืองจำลองที่มี Tourist Information Center และพวกร้านขายของที่ระลึก
ถัดจากตรงนี้ก้จะเปนเส้นทางที่ใช้เดินชมรอบๆปราสาท โดยระหว่างเดินก้ได้เหนซากความเสียหายเต็มไปหมด
เนื่องจากไม่สามารถใช้ทางเดินปกติได้ทำให้จุดแรกที่เราไปถึงก่อนก้คือสวน Ninomaru
ภายในสวนก้มีคนมาเล่นกิจกรรมต่างๆมากมายเพราะสวนนี้มันมีพื้นที่โล่งค่อนข้างใหญ่ เสียดายถ่ายมาแต่รูปต้นไม้ใหญ่ๆรูปเดียว
เดินต่ออีกสักระยะก้จะมาถึงศาลเจ้า Kato
ซึ่งจากที่ได้เดินวนรอบปราสาท 1 รอบ ตรงนี้น่าจะเปนจุดที่ถ่ายประสาทได้ชัดที่สุดแล้ว และนี่คือภาพปราสาท Kumamoto ณ ปัจจุบัน
โดยแถวนั้นก้จะมีรูปก่อนที่จะเจอแผ่นดินไหวให้ดูด้วย ก้สามารถเอามาดูเทียบกันได้
จากรูปจะเหนได้ว่าปราสาทตอนนี้เต็มไปด้วยนั่งร้านและอาคารหลังเล็กแทบจะพังทั้งหลังเลยโหดโคด แต่ที่ตกใจกว่าคือทำไมมันเหลือแต่หลังคาได้อะ คือปราสาทมันต้องสร้างจากบนลงล่างหรอ (ใครรุช่วยบอกที )
เส็ดจากจุดนี้แล้วเราก้เดินกลับไปแถวสถานีที่เรานั่งรถรางมาลงเพื่อไปขึ้นตึก City Hall
ตึกนี้เค้าเปิดให้คนขึ้นไปชมวิวบนชั้น 14 ได้ฟรีๆเลย โดยบนนั้นก้จะเหนวิวบริเวณรอบๆปราสาท Kumamoto ที่เราพึ่งไปเดินวนมาได้ชัดเจนขึ้น
และแล้วก้จบกันไปกับที่เที่ยวสุดท้ายในทริปนี้ (โคดเหนื่อยเลยยย ) แต่เรายังไม่จบกับการช้อปปิ้ง ซึ่งถัดจากปราสาท Kumamoto ไปสถานีนึงนั้น มีถนนที่เปนแหล่งช้อปปิ้งของเมือง Kumamoto อยุ
หลังจากเดินไปประมาณชั่วโมงครึ่งคุณพ่อก้บอกว่ากลับไปช้อปต่อที่ Hakata ดีกว่าเพราะมีไรให้เดินดูเยอะกว่าและจากที่ดูนั่งชินคันเซ็นไปแค่ครึ่งชั่วโมงก้ถึง Hakata ละ เลยตัดสินใจกลับไปเดินเล่นและหาไรกินกันที่ Hakata
ก้เลยเดินมาขึ้นรถรางกลับสถานีเพื่อไปเอากระเป๋าคืนและจองที่นั่งใหม่แต่ปรากฎว่าที่นั่งเต็มต้องไปลุ้นตู้ Non-Reserve เอา ก้เลยขึ้นไปรอรถที่ชานชลาเร็วหน่อยเพราะกลัวจะไม่มีที่นั่งและรถที่มาก้คนแน่นจิงๆแต่ก้ยังพอหาที่นั่งได้ถึงจะไม่ใช่ที่นั่งที่ติดกันแต่อย่างน้อยก้ยังได้นั่ง
พอกลับมาถึง Hakata ก้เอาของไปเก็บที่โรงแรมเดิมกันก่อนแล้วจึงมาหาไรกินแถวสถานี ด้วยความที่ไม่รุว่าจะกินไรดีก้เลยจัด Ippudo Ramen ไป (ไหนๆก้เปนเมืองต้นกำเนิดจัดซะหน่อย) โดยร้านนี้จะอยุชั้นบนของสถานี JR เลยหาไม่ยากและไม่ต้องรอคิวด้วย (คนที่นี่คงกินจนเบื่อละ) ในร้านจะมีเมนูภาษาอังกิดให้อ่านด้วย
แต่รุสึกเหมือนจะมีเมนูให้เลือกน้อยกว่าที่ไทยเยอะเลยหรืออาจจะมีเยอะแต่แปลมาแค่นี้ 555 แต่ก้เอาเหอะมีแค่ไหนก้สั่ง Akamaru อยุดี
รสชาติไม่ต่างกะที่ไทยมาก แต่ก้ไม่ได้กินที่ไทยนานแล้วเหมือนกัน เอาเปนว่าที่มีอย่างอื่นที่อยากกินก้ไม่ต้องมากินร้านนี้หรอก นี่พอดีเราไม่รุจะกินไรดี
หลังจากกินเส็ดก้แยกทางกับคุณพ่อเพราะมีของที่อยากไปดูไม่เหมือนกัน ทางเราก้เดินขึ้นไปชมสวนที่ชั้นดาดฟ้า
นอกจากสวนแล้วยังสามารถชมวิวเมืองจากตรงนี้ได้ด้วย
อีกทั้งยังมีศาลเจ้าด้วย
ณ จุดนั้นนี่คือบรรยากาศโคดน่ากลัวเพราะมีแค่เราคนเดียว (หรือตรงนี้เค้าจะไม่ให้เข้าหว่า) มองจากไกลๆเส็ดแล้วจึงรีบเดินกลับลงไปเพราะเริ่มเสียวสันหลัง
กลับลงมาเส็ดก้ไปเดินเล่นที่ Tokyu Hands ต่อจนห้างปิดแล้วจึงเดินทางกลับโรงแรม ซึ่งก้เปนอันเส็ดสิ้นการเดินทางของเราในวันนี้
ต่อกันที่วันสุดท้าย ในเม้นด้านล่าง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้