[หนังโรงเรื่องที่ 254] Escape Room - ความล้าสมัยในปี 2019
คะแนนความชอบ : B (จากสเกล D-A)
(Adam Robitel, 2019)
by ตั๋วหนังมันแพง
เรื่องย่อ: คนหกคนที่มาจากต่างอาชีพ ต่างฐานะ ต้องมารวมตัวกันเพื่อเล่นเกม "แก้ปริศนาห้องปิดตาย" เพื่อหวังชิงเงินรางวัลก้อนโต แต่กลายเป็นว่าเกมนี้คือแผนลวงฆ่า ทุกคนต้องเสี่ยงชีวิตจริง ต้องดิ้นรนแก้ไขปริศนาให้ได้ก่อนเวลาจะหมด โดยมีความตายคือเดิมพัน
.
👍 จุดที่ชอบ 👍
1.ประเด็นแรกที่ทำให้หนังน่าสนใจก็คือ "ยุคนี้มันหาดูยาก" คือนับตั้งแต่ยุคทองราวๆ Cube (1997) จนไปถึงหนัง Saw (2004) ที่ทำหลายต่อหลายภาคแล้ว หนังประเภทหนีออกจากสถานการณ์คับขันให้ทันเวลาก็ขาดช่วงไปเลย ซึ่งเอาจริงๆ มันเป็นหนังแนวที่ผมชอบนะ มันมีเสน่ห์ของความระทึกปนลึกลับที่ชวนให้ค้นหา และมันเป็นสมรภูมิไอเดียของผู้สร้างดีๆ นี่เอง
2.การออกแบบฉากและพัซเซิลในหนังทำออกมาค่อนข้างดี ดูแล้วรู้เลยว่าเป็นโปรดักชั่นที่มีทุนก้อนใหญ่ระดับหนึ่งเลย ดังนั้นเรื่องรายละเอียดยิบย่อยเนี่ยถือว่าหนังสอบผ่าน ถือว่ามีส่วนช่วยในการบิ้วด์คนดูก็แล้วกัน
👎 จุดที่ไม่ชอบ 👎
1.ปัญหาแรกที่สังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วก็คือ "ตัวละครไม่มีเสน่ห์" คือมันอยู่ในจุดที่ไม่ว่าใครจะตาย ใครจะเสียสละชีวิตเพื่อเพื่อนๆ เราก็ไม่แคร์เลยแม้แต่น้อย มันไม่ได้ immersive พอให้เราอินได้ ซึ่งอันนี้ไม่แน่ใจว่าเกิดจากทีมนักแสดงหรือพล็อตกันแน่ แต่เอาชีวิตรอดที่คนดูไม่เอาใจช่วยตัวเอกก็คงจะเวิร์กยากนะ
2.พล็อตกับวิธีเล่าเรื่องมีความ retro จนน่าตลก คือมันไม่ได้ย้อนยุคในแง่ดีแต่กลายเป็น "ล้าสมัย" จนน่าหงุดหงิด คือการเล่าเรื่องสไตล์นี้ถ้ามันอยู่ในยุคมิลเลนเนียมมันก็คงดูว้าวอยู่หรอก เสียของกับวัตถุดิบเกรด Full HD ของปี 2019 น่าดูเชียว
3.การเฉลยปมของแต่ละตัวละครให้ความรู้สึก "จูงมือคนดู" มากไป เหมือนกลัวคนดูจะไม่เก็ต หนังก็เลยโพล่งเล่ามันทุกอย่างให้เราฟังเลย เรียกได้ว่าเป็นการตบหน้าฉาดใหญ่ใส่ทฤษฎี "Show, Don't tell" เลยทีเดียว
4.หนังเอาตัวรอดจากห้องปิดตายสุดโหดแต่ฉายในเรตติ้ง PG-13 คืออะไร?
💡 จิปาถะ 💡
1.ปริศนาในเรื่องมีทั้งที่เวิร์กและไม่เวิร์กปนๆ กันไป ผมเลยจะไม่ฟันธงว่ามันดีหรือแย่ แต่ผมชอบ "ห้องกลับหัว" เป็นพิเศษ มันดูเนี้ยบไม่ฝืนดี
2.ถ้านางเอกไม่ไหวก็ไม่ควรเอามาแบกหนังทั้งเรื่องนะ
#ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 254] Escape Room - ความล้าสมัยในปี 2019 by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B (จากสเกล D-A)
(Adam Robitel, 2019)
by ตั๋วหนังมันแพง
เรื่องย่อ: คนหกคนที่มาจากต่างอาชีพ ต่างฐานะ ต้องมารวมตัวกันเพื่อเล่นเกม "แก้ปริศนาห้องปิดตาย" เพื่อหวังชิงเงินรางวัลก้อนโต แต่กลายเป็นว่าเกมนี้คือแผนลวงฆ่า ทุกคนต้องเสี่ยงชีวิตจริง ต้องดิ้นรนแก้ไขปริศนาให้ได้ก่อนเวลาจะหมด โดยมีความตายคือเดิมพัน
.
1.ประเด็นแรกที่ทำให้หนังน่าสนใจก็คือ "ยุคนี้มันหาดูยาก" คือนับตั้งแต่ยุคทองราวๆ Cube (1997) จนไปถึงหนัง Saw (2004) ที่ทำหลายต่อหลายภาคแล้ว หนังประเภทหนีออกจากสถานการณ์คับขันให้ทันเวลาก็ขาดช่วงไปเลย ซึ่งเอาจริงๆ มันเป็นหนังแนวที่ผมชอบนะ มันมีเสน่ห์ของความระทึกปนลึกลับที่ชวนให้ค้นหา และมันเป็นสมรภูมิไอเดียของผู้สร้างดีๆ นี่เอง
2.การออกแบบฉากและพัซเซิลในหนังทำออกมาค่อนข้างดี ดูแล้วรู้เลยว่าเป็นโปรดักชั่นที่มีทุนก้อนใหญ่ระดับหนึ่งเลย ดังนั้นเรื่องรายละเอียดยิบย่อยเนี่ยถือว่าหนังสอบผ่าน ถือว่ามีส่วนช่วยในการบิ้วด์คนดูก็แล้วกัน
1.ปัญหาแรกที่สังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วก็คือ "ตัวละครไม่มีเสน่ห์" คือมันอยู่ในจุดที่ไม่ว่าใครจะตาย ใครจะเสียสละชีวิตเพื่อเพื่อนๆ เราก็ไม่แคร์เลยแม้แต่น้อย มันไม่ได้ immersive พอให้เราอินได้ ซึ่งอันนี้ไม่แน่ใจว่าเกิดจากทีมนักแสดงหรือพล็อตกันแน่ แต่เอาชีวิตรอดที่คนดูไม่เอาใจช่วยตัวเอกก็คงจะเวิร์กยากนะ
2.พล็อตกับวิธีเล่าเรื่องมีความ retro จนน่าตลก คือมันไม่ได้ย้อนยุคในแง่ดีแต่กลายเป็น "ล้าสมัย" จนน่าหงุดหงิด คือการเล่าเรื่องสไตล์นี้ถ้ามันอยู่ในยุคมิลเลนเนียมมันก็คงดูว้าวอยู่หรอก เสียของกับวัตถุดิบเกรด Full HD ของปี 2019 น่าดูเชียว
3.การเฉลยปมของแต่ละตัวละครให้ความรู้สึก "จูงมือคนดู" มากไป เหมือนกลัวคนดูจะไม่เก็ต หนังก็เลยโพล่งเล่ามันทุกอย่างให้เราฟังเลย เรียกได้ว่าเป็นการตบหน้าฉาดใหญ่ใส่ทฤษฎี "Show, Don't tell" เลยทีเดียว
4.หนังเอาตัวรอดจากห้องปิดตายสุดโหดแต่ฉายในเรตติ้ง PG-13 คืออะไร?
1.ปริศนาในเรื่องมีทั้งที่เวิร์กและไม่เวิร์กปนๆ กันไป ผมเลยจะไม่ฟันธงว่ามันดีหรือแย่ แต่ผมชอบ "ห้องกลับหัว" เป็นพิเศษ มันดูเนี้ยบไม่ฝืนดี
2.ถ้านางเอกไม่ไหวก็ไม่ควรเอามาแบกหนังทั้งเรื่องนะ
#ตั๋วหนังมันแพง