[หนังโรงเรื่องที่ 161] Inferno - นรกภูมิรสเจื่อนๆ ; (Ron Howard, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A- (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : 'โรเบิร์ต แลงด้อน' (Tom Hanks) พบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งโดยมีความทรงจำที่เลือนลางและถูกไล่ล่าเอาชีวิตโดยบุคคลปริศนาจนต้องหนีเอาชีวิตรอดไปกับหมอสาว 'เซียนน่า' (Felicity Jones) และท้ายที่สุดต้องเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับการตามล่าหาเชื้อโรคล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีชื่อเรียกว่า 'อินเฟอร์โน' โดยอ้างอิงจากกวีชื่อดังอย่างดันเต้
ถือว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่เราตั้งตารอดูเอามากๆ จากลีลาการกำกับสองภาคที่ผ่านมาของรอน โฮวาร์ด และบทหนังสือที่นอนกินมาชัวร์ๆอยู่แล้วแดน บราวน์แล้ว มันก็สร้างความเชื่อมั่นอย่างนึงให้กับเราว่าหนังมันจะต้องออกมาปังแน่ๆ ... แต่อนิจจา ความเป็นจริงกับความหวังมักจะสวนทางกันเสมอ
แน่นอนว่าจุดขายของหนังมันก็มาอีกหรอบเดิมนั่นแหละ คือแลงด้อนจับพลัดจับผลูมาตามสืบเหล่าร่องรอยของความลับต่างๆจนต้องพัวพันเข้ากับเหตุเสี่ยงตายและจับคู่กับสาวสวย (อีกแล้ว) ซึ่งแหงแซะว่าปริศนาเหล่านี้มันจะต้องพัวพันกับศาสตร์และศิลป์ชื่อดังของโลกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง--ระหว่างสืบสวนพระเอกของเราก็จะโพล่ง 'สาระน่ารู้' ขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเพื่ออัพตัวละครให้ดูฉลาดขึ้น จนสุดท้ายก็สามารถคลี่คลายปริศนาและกู้โลกได้สำเร็จอีกครั้ง...คือเป็นแพทเทิร์นที่เราคุ้นเคยมากๆ นี่ถ้าพระเอกขับแอสตันมาร์ตินอีกหน่อยก็คงจำสับกับเจมส์ บอนด์แล้วล่ะ
แต่พูดถึงแล้วการมีสไตล์ของตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร แต่ปัญหาของหนัง/หนังสือชุดนี้ก็คือการขาดแคลน 'พัฒนาการตัวละคร' อย่างเห็นได้ชัด คือแลงด้อนเมื่อสองภาคที่แล้วเป็นยังไง แลงด้อนในภาคนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม กระทั่งตัวละครที่ปรากฏตัวออกมาเป็นตัวละครใหม่ทั้งหมด ไม่มีอะไรพัฒนาหรือต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์ต่างๆในอดีตเลย ... ด้วยประเด็นนี้ทำให้รสชาดในภาคต่อมามันค่อยๆเจื่อนลง และก็ช่วยไม่ได้หากเราจะเริ่มรู้สึก 'เบื่อหน่าย' กับการที่หนังโฟกัสกับ 'ปริศนา' เพียงอย่างเดียว
หากถามถึงความรู้สึก 'ลุ้น-ตื่นเต้น' จากการตามล่าไขปริศนาของโรเบิร์ต แลงด้อนใน Inferno ก็ต้องบอกว่าฟีลลิ่งนั้น 'ดรอป' ลงไปพอสมควรด้วยเหตุผลที่อธิบายให้เป็นรูปธรรมได้ค่อนข้างยาก อาจเป็นเพราะการวิเคราะห์หรือไขความลับที่ค่อนข้างรวดเร็วเกินไป หรือขาดการขยี้บรรดาข้อความที่ซ่อนอยู่ในงานศิลป์ต่างๆ ที่ไม่มากพอที่จะโน้มน้าว (convince) ให้เรารู้สึกเชื่อถือตามได้ คือมันดูประดักประเดิดไปหมด จากอันนี้ทีไปอันโน้นที สุดท้ายเราเลยไม่อินเท่าที่เราควรจะเป็น
ความกร่อยในความเห็นส่วนตัวอีกอย่างก็คือช่วงต้นของเรื่องที่แลงด้อนต้องเผชิญกับความทรงจำที่บิดเบี้ยว ที่ผสมปนเปกันระหว่างจินตนาการ,ความทรงจำและความเป็นจริง (ซึ่งคงอ้างอิงมาจากต้นฉบับหนังสือแหละ) แค่ผู้เขียนมีความรู้สึกว่ามันถ่ายทอดออกมาไม่น่าสนใจเอาซะเลย แถมออกจะทำให้หนังน่าเบื่อด้วยซ้ำ ไหนจะฉากไล่ล่าที่โผล่มาให้เราแกล้มเป็นช่วงๆก็ไม่ค่อยลุ้นเท่าไหร่อีก...ดูอะไรมันไม่ค่อยลงตัวไปหมด
แต่!! หนังก็สามารถพลิกฟื้นความซบเซากลับมาได้ในช่วงไคลแม็กซ์สุดท้ายของเรื่อง ซึ่งขอบอกว่าเลยเป็นการเร่งเกียร์ที่รุนแรงมากๆให้ตายสิ ฉากการไล่ล่าและแย่งชิงในตอนท้ายนี่คือลุ้นมาก ต่อมตื่นเต้นกลับมาทำงานอีกครั้งจนถึงตอนจบได้อย่างสวยงาม อันนี้ถือว่าต้องยกผลประโยชน์ให้ผกก.ที่ยังไว้ลายปิดเรื่องได้ดีขนาดนี้
แน่นอนว่างานภาพสวยๆเซนส์เท่ๆก็ยังคงเป็นโบนัสที่คาดหวังได้ในหนังชุดนี้อยู่ โดยเฉพาะฉากในเมืองฟรอเลนซ์นี่สวยงามปังมาก ยิ่งเอามาจิ้มกับซาวน์แน่นๆจากฮานส์ ซิมเมอร์แล้วยิ่งเวิร์กเข้าไปใหญ่ แต่น่าเสียดายที่หนังไม่ได้เน้นอวดความงามของบรรดาอาร์ทเวิร์กทั้งหลายเท่าไหร่ แต่ที่มีอยู่ก็หยวนๆได้นะ
โดยภาพรวมแล้วก็คงต้องพูดว่า Inferno นั้นถูกลดเกรดความเนี้ยบของหนังลงไปเยอะ แต่หากใครเป็นคอประวัติศาสตร์/งานศิลปะแล้ว หนังในชุดนี้ก็ยังคงตอบโจทย์ได้อยู่ ยังถือว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่าที่จะเข้าไปรับชมในโรงเช่นกัน .. กลัวใจว่าสัปดาห์หน้าจะโดนสัตว์วิเศษเบียดตกโรงน่ะสิคุณ!
ป.ล.นางเอกของเราที่พูดด้วยสำเนียงอ้อมแอ้มๆ+ตาสีน้ำตาลนี่มันน่ารักน่าชังจริงๆให้ตายสิ
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่
https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า Facebook ครับ ..
[Movie Review] Inferno - นรกภูมิรสเจื่อนๆ by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 161] Inferno - นรกภูมิรสเจื่อนๆ ; (Ron Howard, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A- (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : 'โรเบิร์ต แลงด้อน' (Tom Hanks) พบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งโดยมีความทรงจำที่เลือนลางและถูกไล่ล่าเอาชีวิตโดยบุคคลปริศนาจนต้องหนีเอาชีวิตรอดไปกับหมอสาว 'เซียนน่า' (Felicity Jones) และท้ายที่สุดต้องเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับการตามล่าหาเชื้อโรคล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีชื่อเรียกว่า 'อินเฟอร์โน' โดยอ้างอิงจากกวีชื่อดังอย่างดันเต้
ถือว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่เราตั้งตารอดูเอามากๆ จากลีลาการกำกับสองภาคที่ผ่านมาของรอน โฮวาร์ด และบทหนังสือที่นอนกินมาชัวร์ๆอยู่แล้วแดน บราวน์แล้ว มันก็สร้างความเชื่อมั่นอย่างนึงให้กับเราว่าหนังมันจะต้องออกมาปังแน่ๆ ... แต่อนิจจา ความเป็นจริงกับความหวังมักจะสวนทางกันเสมอ
แน่นอนว่าจุดขายของหนังมันก็มาอีกหรอบเดิมนั่นแหละ คือแลงด้อนจับพลัดจับผลูมาตามสืบเหล่าร่องรอยของความลับต่างๆจนต้องพัวพันเข้ากับเหตุเสี่ยงตายและจับคู่กับสาวสวย (อีกแล้ว) ซึ่งแหงแซะว่าปริศนาเหล่านี้มันจะต้องพัวพันกับศาสตร์และศิลป์ชื่อดังของโลกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง--ระหว่างสืบสวนพระเอกของเราก็จะโพล่ง 'สาระน่ารู้' ขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเพื่ออัพตัวละครให้ดูฉลาดขึ้น จนสุดท้ายก็สามารถคลี่คลายปริศนาและกู้โลกได้สำเร็จอีกครั้ง...คือเป็นแพทเทิร์นที่เราคุ้นเคยมากๆ นี่ถ้าพระเอกขับแอสตันมาร์ตินอีกหน่อยก็คงจำสับกับเจมส์ บอนด์แล้วล่ะ
แต่พูดถึงแล้วการมีสไตล์ของตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร แต่ปัญหาของหนัง/หนังสือชุดนี้ก็คือการขาดแคลน 'พัฒนาการตัวละคร' อย่างเห็นได้ชัด คือแลงด้อนเมื่อสองภาคที่แล้วเป็นยังไง แลงด้อนในภาคนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม กระทั่งตัวละครที่ปรากฏตัวออกมาเป็นตัวละครใหม่ทั้งหมด ไม่มีอะไรพัฒนาหรือต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์ต่างๆในอดีตเลย ... ด้วยประเด็นนี้ทำให้รสชาดในภาคต่อมามันค่อยๆเจื่อนลง และก็ช่วยไม่ได้หากเราจะเริ่มรู้สึก 'เบื่อหน่าย' กับการที่หนังโฟกัสกับ 'ปริศนา' เพียงอย่างเดียว
หากถามถึงความรู้สึก 'ลุ้น-ตื่นเต้น' จากการตามล่าไขปริศนาของโรเบิร์ต แลงด้อนใน Inferno ก็ต้องบอกว่าฟีลลิ่งนั้น 'ดรอป' ลงไปพอสมควรด้วยเหตุผลที่อธิบายให้เป็นรูปธรรมได้ค่อนข้างยาก อาจเป็นเพราะการวิเคราะห์หรือไขความลับที่ค่อนข้างรวดเร็วเกินไป หรือขาดการขยี้บรรดาข้อความที่ซ่อนอยู่ในงานศิลป์ต่างๆ ที่ไม่มากพอที่จะโน้มน้าว (convince) ให้เรารู้สึกเชื่อถือตามได้ คือมันดูประดักประเดิดไปหมด จากอันนี้ทีไปอันโน้นที สุดท้ายเราเลยไม่อินเท่าที่เราควรจะเป็น
ความกร่อยในความเห็นส่วนตัวอีกอย่างก็คือช่วงต้นของเรื่องที่แลงด้อนต้องเผชิญกับความทรงจำที่บิดเบี้ยว ที่ผสมปนเปกันระหว่างจินตนาการ,ความทรงจำและความเป็นจริง (ซึ่งคงอ้างอิงมาจากต้นฉบับหนังสือแหละ) แค่ผู้เขียนมีความรู้สึกว่ามันถ่ายทอดออกมาไม่น่าสนใจเอาซะเลย แถมออกจะทำให้หนังน่าเบื่อด้วยซ้ำ ไหนจะฉากไล่ล่าที่โผล่มาให้เราแกล้มเป็นช่วงๆก็ไม่ค่อยลุ้นเท่าไหร่อีก...ดูอะไรมันไม่ค่อยลงตัวไปหมด
แต่!! หนังก็สามารถพลิกฟื้นความซบเซากลับมาได้ในช่วงไคลแม็กซ์สุดท้ายของเรื่อง ซึ่งขอบอกว่าเลยเป็นการเร่งเกียร์ที่รุนแรงมากๆให้ตายสิ ฉากการไล่ล่าและแย่งชิงในตอนท้ายนี่คือลุ้นมาก ต่อมตื่นเต้นกลับมาทำงานอีกครั้งจนถึงตอนจบได้อย่างสวยงาม อันนี้ถือว่าต้องยกผลประโยชน์ให้ผกก.ที่ยังไว้ลายปิดเรื่องได้ดีขนาดนี้
แน่นอนว่างานภาพสวยๆเซนส์เท่ๆก็ยังคงเป็นโบนัสที่คาดหวังได้ในหนังชุดนี้อยู่ โดยเฉพาะฉากในเมืองฟรอเลนซ์นี่สวยงามปังมาก ยิ่งเอามาจิ้มกับซาวน์แน่นๆจากฮานส์ ซิมเมอร์แล้วยิ่งเวิร์กเข้าไปใหญ่ แต่น่าเสียดายที่หนังไม่ได้เน้นอวดความงามของบรรดาอาร์ทเวิร์กทั้งหลายเท่าไหร่ แต่ที่มีอยู่ก็หยวนๆได้นะ
โดยภาพรวมแล้วก็คงต้องพูดว่า Inferno นั้นถูกลดเกรดความเนี้ยบของหนังลงไปเยอะ แต่หากใครเป็นคอประวัติศาสตร์/งานศิลปะแล้ว หนังในชุดนี้ก็ยังคงตอบโจทย์ได้อยู่ ยังถือว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่าที่จะเข้าไปรับชมในโรงเช่นกัน .. กลัวใจว่าสัปดาห์หน้าจะโดนสัตว์วิเศษเบียดตกโรงน่ะสิคุณ!
ป.ล.นางเอกของเราที่พูดด้วยสำเนียงอ้อมแอ้มๆ+ตาสีน้ำตาลนี่มันน่ารักน่าชังจริงๆให้ตายสิ
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า Facebook ครับ ..