[หนังโรงเรื่องที่ 202] Blade Runner 2049 - La La LobsHer ; (Matthew Vaughn, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เป็นเนื้อเรื่องต่อจากภาคแรก 30 ปี เป็นเรื่องราวของเบลด รันเนอร์ผู้เป็น "มนุษย์เทียม" (replicant) รุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า "เค" (Ryan Gosling) ที่ยังคอยตามล่าเหล่ามนุษย์เทียมรุ่นเก่าๆ ที่ยังหลบซ่อนตัวอยู่ตามสถานที่ต่างๆ และขณะที่เขากำลังสืบเบาะแสคดีหนึ่งอยู่ เขาก็ได้พบตัวชี้นำบางอย่างที่อาจเชื่อมโยงไปถึง "ริค เด็คการ์ด" (Harrison Ford) อดีตเบลด รันเนอร์มือดีผู้มีความพัวพันเชิงลึกกับมนุษย์เทียมเพศหญิงคนหนึ่ง ซึ่งอาจนำไปสู่ปริศนาที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาคาดคิด
.
.
ก่อนอื่นต้องขอซูฮกให้กับหนังภาคต่อเรื่องนี้ ในฐานะที่เป็นหนังน้อยเรื่องที่สร้างภาคสองแล้วจะยังกอดเอกลักษณ์ของตัวเองจากภาคแรกไว้ได้เหนียวแน่นขนาดนี้ ซึ่ง ณ จุดนี้มันก็จะเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียนั่นแหละ รวมไปถึงว่ามันก็อาจจะตอบสนองได้เพียงเฉพาะคนดูเป็นกลุ่มๆ ด้วย และผู้เขียนก็อยากจะออกตัวไว้ก่อนว่าส่วนตัวแล้วก็ไม่ใช่แฟนจากหนังภาคแรกสักเท่าไร คือยังไง๊ ยังไง มันไม่ใช่อาหารจานที่ถูกปากเราจริงๆ นั่นแหละ
.
ความรู้สึกแรกสำหรับหนังภาคนี้ก็คือ "มันเหมาะกับคนที่มีปัญหานอนไม่หลับ" จริงๆ นะ คือด้วยเนื้อหาอันหนักอึ้งก็ว่าย่อยยากแล้ว ยังพ่วงความยาวมาถึง 2 ชั่วโมง 43 นาทีอีก! โอ้แม่เจ้า ใจคอจะแข่งกันทำลายสถิติเดอะลอร์ดออฟเดอะริงกันหรืออย่างไร ... ซึ่งถ้าว่ากันจริงๆ แล้วผู้เขียนก็ไม่มีปัญหาอะไรกับหนังที่มีความยาวนานเกินสองชั่วโมงนะ ตราบใดที่มันยาวด้วย "ความจำเป็น" หรือยาวเพราะต้องการรับใช้ประเด็นบางอย่างซึ่งละเอียดมาก (ยกตัวอย่างหนังที่ยาวแล้วยังสนุกได้เช่น Gone Girl, 2012 กับหนังที่น้ำท่วมทุ่งอย่าง Batman vs Superman เป็นต้น)
ซึ่งความจำเป็นนั้นก็ไม่ปรากฏขึ้นในหนังเรื่องนี้เลย หนังใช้ความยาวอันเกินเหตุได้ไม่คุ้มค่าเอามากๆ มีหลายฉากหลายตอนที่รู้สึกว่ามันควรจะตัดทอนได้มากกว่านี้ มันควรจะกระชับเล่าประเด็นของตัวเองได้มากกว่านี้ ซึ่งด้วยความยาวอันยืดยาดอันนี้เลยทำให้ประเด็นที่หนังขับดันมาตลอดเรื่องมันดูจางไปเลยยากที่จะโฟกัสเป็นเรื่องๆ ได้--และด้วยความที่หนังไม่อ่อนข้อให้คนดูในแง่ความบันเทิงสนุกสนานเลยยิ่งทำให้มันโหดเข้าไปอีก เรียกได้ว่าใช้พลังในการรับชมมากเลยทีเดียว
.
อ่านถึงตรงนี้หลายท่านอาจเริ่มสงสัย บ่นมาสองย่อหน้าแล้วทำไมถึงให้ A ล่ะ?
... คำตอบก็คือผู้เขียน "ซื้อ" โทนเทาหม่นๆ สีซีดๆ และบรรยากาศเหงาๆ ของโลกสตีมพังค์ที่ถ่ายทอดออกมาได้ถีถ้วนและละเอียดมากจนน่าชื่นชมแบบจ่ายหมดกระเป๋าไง!
พาร์ทความสัมพันธ์ของหนุ่มจืดมนุษย์เทียม "เค" กับโฮโลแกรมแฟนสาวอย่าง "จอย" คือส่วนที่ดีที่สุดของหนังจริงๆ มันมีความ "ว้าเหว่" ในชีวิตที่ว่างเปล่าไร้จุดหมายของ "ของปลอม" อย่างทั้งคู่ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้สวยงาม ให้ความรู้สึกเหมือนเราได้ดูหนัง mashed up ของ Her,Lobster พ่วงท้ายมาด้วย La La Land ยังไงยังงั้น (ถึงแม้ว่าในช่วงตอนท้ายหนังจะไม่ได้ตั้งใจจับเอาบรรยากาศที่ปั้นมาทั้งหมดนี้มาใช้ได้อย่างคุ้มค่าก็เถอะ)
และในสาระสำคัญอีกเรื่องในแง่ของ "การอยากมีตัวตน" ของตัวเอกนั้นก็ถือว่ายังออกแบบมาได้น่าสนใจ จากลีลาการเล่าเรื่องของผู้กำกับมือกำลังขึ้นอย่าง Denis Villeneuve และจุดหักมุมที่ถูกใส่ไว้อย่างถูกที่ถูกทาง ก็เป็นเหมือนการตบหน้าฉาดแรงๆ ให้กับแนวคิด "ใครๆ ก็อยากเป็นคนสำคัญ" ที่สอดรับกับโลกของความเป็นจริงได้เป็นอย่างดี ซึ่งความดีความชอบตรงนี้ก็ต้องยกให้หนุ่มจืดแสดงนำอย่างไรอัน กอสลิ่งด้วย ที่ยังคุมโทนชีวิตเหงาๆ แววตาหงอยๆ ได้อย่างหมดจดจนเริ่มสงสัยแล้วว่าหมอนี่จะเล่นหนังแบบอื่นบ้างมั้ย (หัวเราะ) แต่โดยส่วนตัวแล้ว "ซื้อ" กับบทบาทนี้จริงๆ
.
กระนั้น อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าหนังไม่เฟรนด์ลี่กับคนดูเท่าที่ควรเลยในแง่ของความเพลิดเพลิน--ความสนุกสนาน คือมีความรู้สึกว่าหนังมันคุมโทนจนตึงเครียดเกินไป ไม่ออมมือให้กับอารมณ์ขันบ้างเลย ซึ่งแน่นอนว่าด้วยประเด็นนี้เลยทำให้หนังมันสามารถตั้งใจเล่าเรื่องที่ตัวเองอยากเล่าได้ดี (และเชื่อว่าหลายๆ คนก็ชอบหนังเรื่องนี้เพราะจุดนี้นี่แหละ) ... แต่สำหรับผู้เขียนแล้วคงต้องใช้สำนวนฝรั่งที่ว่า "Not my cup of tea" จริงๆ เพราะส่วนตัวก็ยังมีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าหนังที่มีพล็อตที่เข้มข้น ก็ยังสามารถแทรกความบันเทิงมาได้อยู่ดี
.
.
ท้ายที่สุดแล้ว Blade Runner 2049 ก็อาจจะเป็นหนังเฉพาะทางที่อยู่ในหมวดที่ "ถ้าไม่ชอบก็จะเกลียดไปเลย" คือท้ายที่สุดแล้วก็ขึ้นอยู่กับความชอบคนดูว่าจะยินดีกับการรับสารที่หนังต้องการสื่อหรือไม่ มันเป็นการเล่าเรื่องที่สวยงามนะ แต่ไม่ราบรื่น เปรียบเสมือนกาแฟดำที่เข้มจัดเกินไปจนขมคอ--แถมมาในแก้วบิ๊กกัฟอีกต่างหาก ดังนั้นถ้าใครที่อยากเข้าไปสร้างเสียงหัวเราะ หรือดูคิวแอคชั่นมันส์ๆ สนุกๆ ล่ะก็ ขอเหยียบเบรกตัวโก่งไว้ ณ ที่นี้เลยครับ
... แต่ยังไงถ้าว่างๆ ก็ลองไปพิสูจน์กันเองดีกว่านะ แล้วมาลองแสดงความเห็นกัน เพราะไม่แน่รสนิยมผู้เขียนอาจจะไม่ถึงเฉยๆ ก็ได้ครับ (หัวเราะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หากชื่นชอบรีวิวรบกวนช่วยไลค์ช่วยแชร์เพื่อให้กำลังใจหรือติดตามผลงานได้ที่เพจ https://www.facebook.com/expensivemovie/ นะครับ!
[หนังโรงเรื่องที่ 202] Blade Runner 2049 - La La LobsHer by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 202] Blade Runner 2049 - La La LobsHer ; (Matthew Vaughn, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เป็นเนื้อเรื่องต่อจากภาคแรก 30 ปี เป็นเรื่องราวของเบลด รันเนอร์ผู้เป็น "มนุษย์เทียม" (replicant) รุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า "เค" (Ryan Gosling) ที่ยังคอยตามล่าเหล่ามนุษย์เทียมรุ่นเก่าๆ ที่ยังหลบซ่อนตัวอยู่ตามสถานที่ต่างๆ และขณะที่เขากำลังสืบเบาะแสคดีหนึ่งอยู่ เขาก็ได้พบตัวชี้นำบางอย่างที่อาจเชื่อมโยงไปถึง "ริค เด็คการ์ด" (Harrison Ford) อดีตเบลด รันเนอร์มือดีผู้มีความพัวพันเชิงลึกกับมนุษย์เทียมเพศหญิงคนหนึ่ง ซึ่งอาจนำไปสู่ปริศนาที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาคาดคิด
.
ก่อนอื่นต้องขอซูฮกให้กับหนังภาคต่อเรื่องนี้ ในฐานะที่เป็นหนังน้อยเรื่องที่สร้างภาคสองแล้วจะยังกอดเอกลักษณ์ของตัวเองจากภาคแรกไว้ได้เหนียวแน่นขนาดนี้ ซึ่ง ณ จุดนี้มันก็จะเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียนั่นแหละ รวมไปถึงว่ามันก็อาจจะตอบสนองได้เพียงเฉพาะคนดูเป็นกลุ่มๆ ด้วย และผู้เขียนก็อยากจะออกตัวไว้ก่อนว่าส่วนตัวแล้วก็ไม่ใช่แฟนจากหนังภาคแรกสักเท่าไร คือยังไง๊ ยังไง มันไม่ใช่อาหารจานที่ถูกปากเราจริงๆ นั่นแหละ
.
ความรู้สึกแรกสำหรับหนังภาคนี้ก็คือ "มันเหมาะกับคนที่มีปัญหานอนไม่หลับ" จริงๆ นะ คือด้วยเนื้อหาอันหนักอึ้งก็ว่าย่อยยากแล้ว ยังพ่วงความยาวมาถึง 2 ชั่วโมง 43 นาทีอีก! โอ้แม่เจ้า ใจคอจะแข่งกันทำลายสถิติเดอะลอร์ดออฟเดอะริงกันหรืออย่างไร ... ซึ่งถ้าว่ากันจริงๆ แล้วผู้เขียนก็ไม่มีปัญหาอะไรกับหนังที่มีความยาวนานเกินสองชั่วโมงนะ ตราบใดที่มันยาวด้วย "ความจำเป็น" หรือยาวเพราะต้องการรับใช้ประเด็นบางอย่างซึ่งละเอียดมาก (ยกตัวอย่างหนังที่ยาวแล้วยังสนุกได้เช่น Gone Girl, 2012 กับหนังที่น้ำท่วมทุ่งอย่าง Batman vs Superman เป็นต้น)
ซึ่งความจำเป็นนั้นก็ไม่ปรากฏขึ้นในหนังเรื่องนี้เลย หนังใช้ความยาวอันเกินเหตุได้ไม่คุ้มค่าเอามากๆ มีหลายฉากหลายตอนที่รู้สึกว่ามันควรจะตัดทอนได้มากกว่านี้ มันควรจะกระชับเล่าประเด็นของตัวเองได้มากกว่านี้ ซึ่งด้วยความยาวอันยืดยาดอันนี้เลยทำให้ประเด็นที่หนังขับดันมาตลอดเรื่องมันดูจางไปเลยยากที่จะโฟกัสเป็นเรื่องๆ ได้--และด้วยความที่หนังไม่อ่อนข้อให้คนดูในแง่ความบันเทิงสนุกสนานเลยยิ่งทำให้มันโหดเข้าไปอีก เรียกได้ว่าใช้พลังในการรับชมมากเลยทีเดียว
.
อ่านถึงตรงนี้หลายท่านอาจเริ่มสงสัย บ่นมาสองย่อหน้าแล้วทำไมถึงให้ A ล่ะ?
... คำตอบก็คือผู้เขียน "ซื้อ" โทนเทาหม่นๆ สีซีดๆ และบรรยากาศเหงาๆ ของโลกสตีมพังค์ที่ถ่ายทอดออกมาได้ถีถ้วนและละเอียดมากจนน่าชื่นชมแบบจ่ายหมดกระเป๋าไง!
พาร์ทความสัมพันธ์ของหนุ่มจืดมนุษย์เทียม "เค" กับโฮโลแกรมแฟนสาวอย่าง "จอย" คือส่วนที่ดีที่สุดของหนังจริงๆ มันมีความ "ว้าเหว่" ในชีวิตที่ว่างเปล่าไร้จุดหมายของ "ของปลอม" อย่างทั้งคู่ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้สวยงาม ให้ความรู้สึกเหมือนเราได้ดูหนัง mashed up ของ Her,Lobster พ่วงท้ายมาด้วย La La Land ยังไงยังงั้น (ถึงแม้ว่าในช่วงตอนท้ายหนังจะไม่ได้ตั้งใจจับเอาบรรยากาศที่ปั้นมาทั้งหมดนี้มาใช้ได้อย่างคุ้มค่าก็เถอะ)
และในสาระสำคัญอีกเรื่องในแง่ของ "การอยากมีตัวตน" ของตัวเอกนั้นก็ถือว่ายังออกแบบมาได้น่าสนใจ จากลีลาการเล่าเรื่องของผู้กำกับมือกำลังขึ้นอย่าง Denis Villeneuve และจุดหักมุมที่ถูกใส่ไว้อย่างถูกที่ถูกทาง ก็เป็นเหมือนการตบหน้าฉาดแรงๆ ให้กับแนวคิด "ใครๆ ก็อยากเป็นคนสำคัญ" ที่สอดรับกับโลกของความเป็นจริงได้เป็นอย่างดี ซึ่งความดีความชอบตรงนี้ก็ต้องยกให้หนุ่มจืดแสดงนำอย่างไรอัน กอสลิ่งด้วย ที่ยังคุมโทนชีวิตเหงาๆ แววตาหงอยๆ ได้อย่างหมดจดจนเริ่มสงสัยแล้วว่าหมอนี่จะเล่นหนังแบบอื่นบ้างมั้ย (หัวเราะ) แต่โดยส่วนตัวแล้ว "ซื้อ" กับบทบาทนี้จริงๆ
.
กระนั้น อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าหนังไม่เฟรนด์ลี่กับคนดูเท่าที่ควรเลยในแง่ของความเพลิดเพลิน--ความสนุกสนาน คือมีความรู้สึกว่าหนังมันคุมโทนจนตึงเครียดเกินไป ไม่ออมมือให้กับอารมณ์ขันบ้างเลย ซึ่งแน่นอนว่าด้วยประเด็นนี้เลยทำให้หนังมันสามารถตั้งใจเล่าเรื่องที่ตัวเองอยากเล่าได้ดี (และเชื่อว่าหลายๆ คนก็ชอบหนังเรื่องนี้เพราะจุดนี้นี่แหละ) ... แต่สำหรับผู้เขียนแล้วคงต้องใช้สำนวนฝรั่งที่ว่า "Not my cup of tea" จริงๆ เพราะส่วนตัวก็ยังมีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าหนังที่มีพล็อตที่เข้มข้น ก็ยังสามารถแทรกความบันเทิงมาได้อยู่ดี
.
.
ท้ายที่สุดแล้ว Blade Runner 2049 ก็อาจจะเป็นหนังเฉพาะทางที่อยู่ในหมวดที่ "ถ้าไม่ชอบก็จะเกลียดไปเลย" คือท้ายที่สุดแล้วก็ขึ้นอยู่กับความชอบคนดูว่าจะยินดีกับการรับสารที่หนังต้องการสื่อหรือไม่ มันเป็นการเล่าเรื่องที่สวยงามนะ แต่ไม่ราบรื่น เปรียบเสมือนกาแฟดำที่เข้มจัดเกินไปจนขมคอ--แถมมาในแก้วบิ๊กกัฟอีกต่างหาก ดังนั้นถ้าใครที่อยากเข้าไปสร้างเสียงหัวเราะ หรือดูคิวแอคชั่นมันส์ๆ สนุกๆ ล่ะก็ ขอเหยียบเบรกตัวโก่งไว้ ณ ที่นี้เลยครับ
... แต่ยังไงถ้าว่างๆ ก็ลองไปพิสูจน์กันเองดีกว่านะ แล้วมาลองแสดงความเห็นกัน เพราะไม่แน่รสนิยมผู้เขียนอาจจะไม่ถึงเฉยๆ ก็ได้ครับ (หัวเราะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้