"ล้ำ ลึก หลอน ถ้าอยากรู้ก็ดูได้เลย หนังเรื่องนี้เครียด เเต่ดี"
รีวิว Black Mirror: Bandersnatch (ไม่สปอย)
วันที่ฉายครั้งแรก: 28 ธันวาคม 2561
ผู้กำกับ: David Slade
นำเเสดง : วิลล์ พันเตอร์(เมครันเนอร์,เดอะรีเวเนนซ์) , เพียนน์ ไวเฮด(ดันเคิร์ก)
ประพันธ์ดนตรีโดย: ไบรอัน เร์เซลล์
บทภาพยนตร์: ชาร์ลี บรู๊คเกอร์
บริษัทที่ผลิต: เน็ตฟลิกซ์
ขอฝากติดตามช่อง รีวิวหนังทาง youtube
ที่ผมเพิ่งเริ่มทำด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
บทภาพยนต์
บทภาพยนต์มีความซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยดูมาเพราะลักษณะของหนังมีทางเลือกให้คนดูหลายทางที่ต้องเลือกให้ตัวละครได้ทำเมื่อมาเจอกับฉากที่ต้องตัดสินใจ ลักษณะของหนังจะ หม่น หดหดหู่ ตึงเครียด เเละ เป็นจิตวิทยาเชิงซ้อน เเละด้วยการพูดคุยผ่านตัวละครที่เหมือนกับต้องการสื่อสารบอกคนดู ให้ต้องคิดตามเพื่อที่จะต้องเป็นคนเลือกกับฉากต่อไป คือประมาณจะบอกกับคนดูว่าเรานี่เเหละเป็นคนกำหนด โดยรวมเเล้วผมคิดว่าคนที่คิดเรื่องเหล่านี้ก้าวล้ำคนดูไปเยอะเเละถือว่าทำได้ดีมากนะครับ
อารมณ์เหมือนคนดูกำลังเล่นเกมส์เพื่อให้เรามีส่วนร่วมด้วย นับได้ว่า ผู้เขียนบททำการบ้านมาหนักหน่วงเเน่นอน
การเเสดง
นักเเสดงนำทำออกมาได้ดีมากครับอันนี้ต้องชม เพราะขณะที่ผมดูนี่รู้สึกเครียดเเละหม่นไปด้วยเลย คือประมาณว่าถ้าหนังเรื่องนี้มีต่ออีกเนี่ยะ อาจเข้าคั่นใกล้โรคจิตได้เเน่ๆ
องค์ประกอบ , มุมกล้อง
ด้านนี้ผมยกให้ ว่า ดีมาก ถึง โคตรดี เป็นหนังที่คุมโทนได้เเบบดีเลิศ การจัดไฟ รายละเอียดต่างๆผ่านมุมกล้องทำให้หนังออกมาสวยมากๆกับทุกฉากที่ได้เห็น ที่สำคัญหนังเรื่องนี้เป็นหนังย้อนยุคไปในปี 1984 ด้วย เเละทำให้รู้สึกว่านี่เเหละปี 1984 ที่เเท้ทรู เเละมุมนี้เเหละที่ผมกล้าบอกว่าผมดูจนจบเพราะความสวยของภาพในหนังเรื่องนี้เลย
ผู้กำกับ
สำหรับผมเเล้ว ผูกำกับถ่ายทอดงานชิ้นนี้ ออกมาได้อยู่หมัดครับ ทำได้ถึงในทุกด้านจริงๆ
ดนตรีประกอบ
ดีงามพระรามเเปดครับ เเต่ละเสียงที่ใช้ประกอบหล่อหลอมให้หนังเรื่องนี้สะกดคนดูได้ เเละเพลงที่ใช้ในหนังเรื่องนี้นั้น ทำให้หนังเรื่องนี้มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
โดยรวม ผมคิดว่า เป็นหนังที่ทำได้อยู่หมัดเเละดีมากๆเรื่องหนึ่งเลยครับ เเต่ติดตรงที่ว่าหนังเรื่องนี้ค่อนข้างจะซับซ้อน หม่นหมองเเละเครียด ซึ่งผมบอกตามตรงว่าตอนที่ผมดูผมโคตรเครียดเลย เครียดมาก ยิ่งอยากรู้ตอนจบในเเต่ละเเบบก็ต้องอดทนเลือกย้อนดูไปจนครบทุกเเบบ พอมาทบทวน เออ เค้าสำเร็จนะ เค้าพาเราไปเครียดกับเค้าสำเร็จ (มีฉากนึงเเอบจิกกัดเบาๆ ว่าถ้าหนังnetflixเรื่องนี้ทำเพื่อความบันเทิงทำไมหนังเรื่องนี้ไม่ให้ความบันเทิง พอผมได้ยินวลีนี้ในหนัง ผม
บันเทิงตามเลย 555)
สุดท้ายคิดในใจเครียดเเทบตายเเต่ก็ต้องดูให้จบในทุกเเบบ อยู่ดี นี่เราเป็น บัตเตอร์ฟลายเอคเฟคหรือเปล่าหว่าา
เอาเป็นว่า ถ้าไม่อยากเครียดอย่าดูครับ
เเต่ถ้าคนชอบหนังเครียดที่ดิ่งขนาดนี้ก็ดูได้เลยท่านมาถูกทาง หนังเรื่องนี้ทำเอาผม มึนไปหลายชั่วโมง ซึ่งผมถือว่า หนังทำสำเร็จครับ
ขอให้คะเเนน
7.5/10
ถึงเเม้จะทางเลือกเยอะเเต่ก็เหมือนกับเราต้องเลือกในสิ่งที่หนังวางมาให้อยู่ดี อิอิ
[CR] รีวิว Black Mirror: Bandersnatch NETFLIX (ไม่สปอย)
รีวิว Black Mirror: Bandersnatch (ไม่สปอย)
วันที่ฉายครั้งแรก: 28 ธันวาคม 2561
ผู้กำกับ: David Slade
นำเเสดง : วิลล์ พันเตอร์(เมครันเนอร์,เดอะรีเวเนนซ์) , เพียนน์ ไวเฮด(ดันเคิร์ก)
ประพันธ์ดนตรีโดย: ไบรอัน เร์เซลล์
บทภาพยนตร์: ชาร์ลี บรู๊คเกอร์
บริษัทที่ผลิต: เน็ตฟลิกซ์
ขอฝากติดตามช่อง รีวิวหนังทาง youtube
ที่ผมเพิ่งเริ่มทำด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
บทภาพยนต์
บทภาพยนต์มีความซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยดูมาเพราะลักษณะของหนังมีทางเลือกให้คนดูหลายทางที่ต้องเลือกให้ตัวละครได้ทำเมื่อมาเจอกับฉากที่ต้องตัดสินใจ ลักษณะของหนังจะ หม่น หดหดหู่ ตึงเครียด เเละ เป็นจิตวิทยาเชิงซ้อน เเละด้วยการพูดคุยผ่านตัวละครที่เหมือนกับต้องการสื่อสารบอกคนดู ให้ต้องคิดตามเพื่อที่จะต้องเป็นคนเลือกกับฉากต่อไป คือประมาณจะบอกกับคนดูว่าเรานี่เเหละเป็นคนกำหนด โดยรวมเเล้วผมคิดว่าคนที่คิดเรื่องเหล่านี้ก้าวล้ำคนดูไปเยอะเเละถือว่าทำได้ดีมากนะครับ
อารมณ์เหมือนคนดูกำลังเล่นเกมส์เพื่อให้เรามีส่วนร่วมด้วย นับได้ว่า ผู้เขียนบททำการบ้านมาหนักหน่วงเเน่นอน
การเเสดง
นักเเสดงนำทำออกมาได้ดีมากครับอันนี้ต้องชม เพราะขณะที่ผมดูนี่รู้สึกเครียดเเละหม่นไปด้วยเลย คือประมาณว่าถ้าหนังเรื่องนี้มีต่ออีกเนี่ยะ อาจเข้าคั่นใกล้โรคจิตได้เเน่ๆ
องค์ประกอบ , มุมกล้อง
ด้านนี้ผมยกให้ ว่า ดีมาก ถึง โคตรดี เป็นหนังที่คุมโทนได้เเบบดีเลิศ การจัดไฟ รายละเอียดต่างๆผ่านมุมกล้องทำให้หนังออกมาสวยมากๆกับทุกฉากที่ได้เห็น ที่สำคัญหนังเรื่องนี้เป็นหนังย้อนยุคไปในปี 1984 ด้วย เเละทำให้รู้สึกว่านี่เเหละปี 1984 ที่เเท้ทรู เเละมุมนี้เเหละที่ผมกล้าบอกว่าผมดูจนจบเพราะความสวยของภาพในหนังเรื่องนี้เลย
ผู้กำกับ
สำหรับผมเเล้ว ผูกำกับถ่ายทอดงานชิ้นนี้ ออกมาได้อยู่หมัดครับ ทำได้ถึงในทุกด้านจริงๆ
ดนตรีประกอบ
ดีงามพระรามเเปดครับ เเต่ละเสียงที่ใช้ประกอบหล่อหลอมให้หนังเรื่องนี้สะกดคนดูได้ เเละเพลงที่ใช้ในหนังเรื่องนี้นั้น ทำให้หนังเรื่องนี้มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
โดยรวม ผมคิดว่า เป็นหนังที่ทำได้อยู่หมัดเเละดีมากๆเรื่องหนึ่งเลยครับ เเต่ติดตรงที่ว่าหนังเรื่องนี้ค่อนข้างจะซับซ้อน หม่นหมองเเละเครียด ซึ่งผมบอกตามตรงว่าตอนที่ผมดูผมโคตรเครียดเลย เครียดมาก ยิ่งอยากรู้ตอนจบในเเต่ละเเบบก็ต้องอดทนเลือกย้อนดูไปจนครบทุกเเบบ พอมาทบทวน เออ เค้าสำเร็จนะ เค้าพาเราไปเครียดกับเค้าสำเร็จ (มีฉากนึงเเอบจิกกัดเบาๆ ว่าถ้าหนังnetflixเรื่องนี้ทำเพื่อความบันเทิงทำไมหนังเรื่องนี้ไม่ให้ความบันเทิง พอผมได้ยินวลีนี้ในหนัง ผมบันเทิงตามเลย 555)
สุดท้ายคิดในใจเครียดเเทบตายเเต่ก็ต้องดูให้จบในทุกเเบบ อยู่ดี นี่เราเป็น บัตเตอร์ฟลายเอคเฟคหรือเปล่าหว่าา
เอาเป็นว่า ถ้าไม่อยากเครียดอย่าดูครับ
เเต่ถ้าคนชอบหนังเครียดที่ดิ่งขนาดนี้ก็ดูได้เลยท่านมาถูกทาง หนังเรื่องนี้ทำเอาผม มึนไปหลายชั่วโมง ซึ่งผมถือว่า หนังทำสำเร็จครับ
ขอให้คะเเนน
7.5/10
ถึงเเม้จะทางเลือกเยอะเเต่ก็เหมือนกับเราต้องเลือกในสิ่งที่หนังวางมาให้อยู่ดี อิอิ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้