ก่อนอื่นขอยกพระสูตรขึ้นมากล่าวก่อน
“[๖๙๖] ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณในขณะแห่งโลกุตรมรรค
อย่างไร ฯ
ในขณะโลกุตรมรรค จิตเป็นใหญ่ในการให้เกิดขึ้น และเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งญาณ จิตอันสัมปยุตด้วยญาณนั้น มีนิโรธเป็นโคจร ญาณเป็นใหญ่ในการเห็น และเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งจิต ญาณอันสัมปยุตด้วยจิตนั้น มีนิโรธเป็นโคจร ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและด้วยญาณ ในขณะแห่งโลกุตรมรรคอย่างนี้ ฯ”
จะเห็นได้ว่า มีตัวกระทำอยู่สองอัน คือ จิต กับ ญาณ
ตัวจิต มีหน้าที่ ในการบังคับให้เกิดญาณ
และตัวจิต ยังมีหน้าที่ เป็นตัวป้อนข้อมูลให้กับญาณ
ตัวญาณ มีหน้าที่เห็นอะไร ก็เห็นสิ่งที่จิตป้อนให้ เช่น การเจริญอันตาสัญญา จิตก็จะป้อนให้ตัวญาณเห็นว่า ตัวจิต ตัวขันธ์ห้า นั้นมิใช่ มิใช่ตน ไม่มีตนในขันธ์ห้า ไม่มีขันธ์ห้าในตน เมื่อเห็นดังนั้น ตนก็ตรัสรู้ ละสักกายทิฐิได้
ตัวจิตขณะที่ สามารถเกิด การตรัสรู้ จิตต้องเป็นจิตที่มีสมาธิ
จิตที่เป็นสมาธิ มาจากไหน ในการทำอานาปานสติ เมื่อ จิตมีสติ อยู่กับลมหายใจกระทบเข้าออกอย่างต่อเนื่อง สติที่ต่อเนื่องก็เรียกว่าเป็นสมาธิ ถ้าทำได้ถึงระดับฌาน ก็ยิ่งดี จิตมีสมาธิมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีพลัง
ส่วน ตัวญาณ คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่าง ไร ในการทำอานาปานสติ เมื่อจิตมีสติ ทุกครั้ง ก็ตามด้วย การสร้างสัมปชัญญะ อันนี้ต้องฝึก เอาตามพระสูตรเลยยิ่งดี มีสติรู้ลมกระทบ ตามด้วยสัมปชัญญะก็คือรู้ชัด ว่าสั้น ยาว
สัมปชัญญะแปลว่า รู้สึกตัว เมื่อสัมปชัญญะมีอย่างต่อเนื่องก็จะกลายไปเป็นญาณ
ผมเคยกล่าวเรื่องนามธรรมที่ชื่อ นิพพานธาตุ ว่า นามธรรมอันนี้ก็คือ ตัวรับรู้ แล้วแต่สภาวะได
สัมปชัญญะ ญาณ ก็คือการรับรู้ของ นามธาตุนี้แหละ
จิตก็คือจิต ญาณก็คือญาณ มิใช่สิ่งเดียวกัน แต่ผูกติดกันด้วย กิเลสสังโยชน์ เมื่อตรัสรู้ครั้งแรก ก็ละสักกายทิฐิได้ ละว่า จิตมิใช่ตน นั้นแหละ
แล้วตนคืออะไร นิพพานธาตุนั้นไง มีคนบอกว่า ถ้าว่าอย่างนั้น นิพพานธาตุ ก็เป็นอัตตา ก็เป็นอนัตตานั้นแหละ แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังมีนามธาตุนี้อยู่ มิได้ว่าถ้าเป็นอนัตตาแล้วจะไม่มี อย่า งง กับคำบัญญัตินะครับ
ปัญหา การได้มาซึ่งบรรลุธรรมนั้น สิ่งที่ยากที่สุด ก็คือการทำจิตให้มีสมาธิ พร้อมกับให้เกิดสัมปชัญญะอย่างต่อเนื่องนั้นแหละ มีวิธีที่ทำให้จิตเป็นสมาธิที่ง่ายที่สุดก็คือการเพ่งกสิณ เช่นการเพ่งกสิณสีเมื่อทำเป็นแล้ว ก็ต้องทำควบคู่กับอานาปานสติ เพราะถ้าทำแต่กสิณก็จะไม่ได้สัมปชัญญะ
มี่อีกอย่างหนึ่ง ถ้ามีสิ่งแปลกปลอมก็ให้ปัดทิ้ง เพราะวิปัสสนูปกิเลส เป็นเพียงจิตสังขารไม่ใช่ของจริง การภาวนา เรามิได้ภาวนา เอาจิต ภาวนาให้จิตดีมีสมาธิพร้อมรับใช้ตน จิตมิใช่ตน ตนมิใช่จิต
ขณะตรัสรู้ธรรม พระสูตรกล่าวว่า มีขบวนการไดเกิดขึ้น
“[๖๙๖] ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณในขณะแห่งโลกุตรมรรค
อย่างไร ฯ
ในขณะโลกุตรมรรค จิตเป็นใหญ่ในการให้เกิดขึ้น และเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งญาณ จิตอันสัมปยุตด้วยญาณนั้น มีนิโรธเป็นโคจร ญาณเป็นใหญ่ในการเห็น และเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งจิต ญาณอันสัมปยุตด้วยจิตนั้น มีนิโรธเป็นโคจร ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและด้วยญาณ ในขณะแห่งโลกุตรมรรคอย่างนี้ ฯ”
จะเห็นได้ว่า มีตัวกระทำอยู่สองอัน คือ จิต กับ ญาณ
ตัวจิต มีหน้าที่ ในการบังคับให้เกิดญาณ
และตัวจิต ยังมีหน้าที่ เป็นตัวป้อนข้อมูลให้กับญาณ
ตัวญาณ มีหน้าที่เห็นอะไร ก็เห็นสิ่งที่จิตป้อนให้ เช่น การเจริญอันตาสัญญา จิตก็จะป้อนให้ตัวญาณเห็นว่า ตัวจิต ตัวขันธ์ห้า นั้นมิใช่ มิใช่ตน ไม่มีตนในขันธ์ห้า ไม่มีขันธ์ห้าในตน เมื่อเห็นดังนั้น ตนก็ตรัสรู้ ละสักกายทิฐิได้
ตัวจิตขณะที่ สามารถเกิด การตรัสรู้ จิตต้องเป็นจิตที่มีสมาธิ
จิตที่เป็นสมาธิ มาจากไหน ในการทำอานาปานสติ เมื่อ จิตมีสติ อยู่กับลมหายใจกระทบเข้าออกอย่างต่อเนื่อง สติที่ต่อเนื่องก็เรียกว่าเป็นสมาธิ ถ้าทำได้ถึงระดับฌาน ก็ยิ่งดี จิตมีสมาธิมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีพลัง
ส่วน ตัวญาณ คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่าง ไร ในการทำอานาปานสติ เมื่อจิตมีสติ ทุกครั้ง ก็ตามด้วย การสร้างสัมปชัญญะ อันนี้ต้องฝึก เอาตามพระสูตรเลยยิ่งดี มีสติรู้ลมกระทบ ตามด้วยสัมปชัญญะก็คือรู้ชัด ว่าสั้น ยาว
สัมปชัญญะแปลว่า รู้สึกตัว เมื่อสัมปชัญญะมีอย่างต่อเนื่องก็จะกลายไปเป็นญาณ
ผมเคยกล่าวเรื่องนามธรรมที่ชื่อ นิพพานธาตุ ว่า นามธรรมอันนี้ก็คือ ตัวรับรู้ แล้วแต่สภาวะได
สัมปชัญญะ ญาณ ก็คือการรับรู้ของ นามธาตุนี้แหละ
จิตก็คือจิต ญาณก็คือญาณ มิใช่สิ่งเดียวกัน แต่ผูกติดกันด้วย กิเลสสังโยชน์ เมื่อตรัสรู้ครั้งแรก ก็ละสักกายทิฐิได้ ละว่า จิตมิใช่ตน นั้นแหละ
แล้วตนคืออะไร นิพพานธาตุนั้นไง มีคนบอกว่า ถ้าว่าอย่างนั้น นิพพานธาตุ ก็เป็นอัตตา ก็เป็นอนัตตานั้นแหละ แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังมีนามธาตุนี้อยู่ มิได้ว่าถ้าเป็นอนัตตาแล้วจะไม่มี อย่า งง กับคำบัญญัตินะครับ
ปัญหา การได้มาซึ่งบรรลุธรรมนั้น สิ่งที่ยากที่สุด ก็คือการทำจิตให้มีสมาธิ พร้อมกับให้เกิดสัมปชัญญะอย่างต่อเนื่องนั้นแหละ มีวิธีที่ทำให้จิตเป็นสมาธิที่ง่ายที่สุดก็คือการเพ่งกสิณ เช่นการเพ่งกสิณสีเมื่อทำเป็นแล้ว ก็ต้องทำควบคู่กับอานาปานสติ เพราะถ้าทำแต่กสิณก็จะไม่ได้สัมปชัญญะ
มี่อีกอย่างหนึ่ง ถ้ามีสิ่งแปลกปลอมก็ให้ปัดทิ้ง เพราะวิปัสสนูปกิเลส เป็นเพียงจิตสังขารไม่ใช่ของจริง การภาวนา เรามิได้ภาวนา เอาจิต ภาวนาให้จิตดีมีสมาธิพร้อมรับใช้ตน จิตมิใช่ตน ตนมิใช่จิต