สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
รับรู้และเข้าใจโลก เข้าใจเหตุและผลที่เป็นไป คุณจะได้ไม่ทุกข์นะคะ
พ่อคุณป่วย มันไม่ใช่ความผิดใครค่ะ
อย่าโทษตัวเอง อย่าโทษใครเลย เลิกเศร้าได้แล้วนะคะ
ถ้าพ่อคุณสามารถเห็นคุณและแม่คุณในตอนนี้ได้
พ่อคุณคงเสียใจมาก ที่การจากไปของเขาทำให้พวกคุณต้องเป็นแบบนี้
ทำชีวิตให้ดี เพื่อตัวเองและเพื่อให้เกียรติแก่คนที่จากไปค่ะ
พ่อคุณไม่ได้เลี้ยงดูฟูมฟักคุณจนเติบใหญ่เพื่อให้คุณมาจมกับความทุกข์แบบนี้
สิ่งที่พวกคุณกำลังเป็นอยู่ พ่อคุณไม่ได้ต้องการ ไม่ว่าจะการเสียใจ ร้องไห้ฟูมฟายจนแทบสิ้นสติ
จนทำให้สุขภาพจิตและสุขภาพกายทรุดโทรมลงขนาดนี้
อยากให้คุณเปลี่ยนความคิดนะคะ
รักพ่อ ต้องทำชีวิตคุณให้มีความสุขค่ะ
ให้พ่อภูมิใจว่าลูกสาวเติบโตมาและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
เข้มแข็งและดูแลแม่ได้
ส่วนสามีคุณนั้น
ให้มองเขาอย่างเข้าใจถึงที่มาที่ไป
เขาก็คนธรรมดา มีชีวิตคู่ก็คงอยากมีความสุข เดินไปข้างหน้า
แต่กลายเป็นว่า เขาแต่งกับคุณ คุณจมอยู่แต่กับความทุกข์ เอาแต่ซึมเศร้า ร้องไห้ แม่คุณก็ยิ่งอาการแย่กว่าคุณอีก
มันเป็นการเริ่มต้นชีวิตคู่ที่หดหู่ และเหมือนจะหดหู่ไปเรื่อยๆ เพราะคุณไม่ได้เปลี่ยนวิธีคิดเลย
เรื่องอะไรที่มันผ่านไปแล้วให้มันผ่านไปนะคะ ปล่อยมันไป
เริ่มใหม่ อยู่อย่างมีความสุข
นึกถึงพ่อเข้าไว้ เรื่องดีๆที่พ่อทำให้ เก็บไว้เป็นความทรงจำ ให้ยิ้มได้เมื่อนึกถึง
ก้าวเดินต่อไป อย่างมีความสุข ช่วยเยียวยาแม่
ว่างๆก็ไปหากิจกรรมทำกันนะคะ สองคนแม่ลูกก็ได้ อย่าจมอยู่กับความเศร้าต่อไปอีกเลย
แม่เราก็เสียเพราะมะเร็งค่ะ
แม่เราเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว และเราไม่มีญาติสนิทที่ไหนอีกเลย
เราก็เจอเหตุการณ์แบบคุณนี่แหละ
ดูแลตั้งแต่แม่เริ่มป่วย พาไปตรวจ พาไปรักษา ไปสถาบันมะเร็ง ทำคีโม ฯลฯ
แม่ก็มีแต่อาการทรุดลงๆ จนมีแผลเหวอะที่หน้าอก (ตั้งแต่ตัดชื้นเนื้อไปตรวจ แผลบริเวณนั้นของแม่ไม่เคยหาย มีแต่จะลาม)
แม่ที่เป็นทุกอย่างของเรา เป็นที่พึ่งเดียวของเรา ไม่มีแม่เราก็ไม่มีใครแล้ว
ตอนแม่เสีย เราก็จัดระบบความคิดแบบที่บอกคุณนี่แหละ
แม่เราไม่ได้อยากให้เรามานั่งร้องไห้ฟูมฟายหรอก ไม่ได้อยากเห็นเราอ่อนแอจนไม่เป็นอันทำอะไร
แม่เราอยากให้เราเดินหน้าต่อ มีชีวิตที่ดีและมีความสุข
ในตอนนั้นเราเรียนอยู่ ทุกคนคิดว่าเราคงดรอปเรียนแน่นอน เพราะไม่มีใครส่งเรียนแล้ว
แต่เราไม่ได้ดรอปนะคะ ก็ทำงานหาเงินเรียน หาลู่ทางวิธีที่เราจะมีเงินพอให้เรียนจนจบให้ได้
ก็อย่างที่บอกว่าชิวิตต้องเดินต่อ
และต้องเดินต่ออย่างดี ไม่ให้คนที่จากไปเป็นห่วงเรา
เราไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายเพื่อแสดงความรักต่อแม่
เราใช้ความเข้มแข็งและอดทนเพื่อแสดงความรักต่อแม่เรา
เรารักแม่เรา เกินกว่าจะทำชีวิตเราเองให้ซึมเศร้าตกต่ำ
ชีวิตที่แม่ให้เรามา ฟูมฟักอบรมมาอย่างดี เราไม่มีสิทธิ์ไปทำให้แย่ลง
แม่เราไม่มีสมบัติหรือมรดกอะไรทิ้งไว้ให้ สิ่งที่แม่ทิ้งไว้ให้คือตัวเรานี่แหละ
ร่างกายของเรา ความเป็นเรา เราจะรักษาและดูแลมันอย่างดีที่สุด
เราไม่ใช่คนพิเศษ เราเป็นคนแสนจะธรรมดาบนโลกใบนี้
เราทำได้ คุณก็ทำได้นะคะ คุณแค่เปลี่ยนมุมมอง ปรับวิธีคิดใหม่นะ
คุณยังมีคนที่เป็นท้องฟ้าของคุณอยู่อีกคน คือแม่ของคุณ
ชีวิตมันไม่ได้โศกเศร้าขนาดนั้น อย่าซ้ำเติมตัวเองอีกเลย
ขอให้คุณและแม่คุณดีขึ้นในเร็ววันนะคะ
พ่อคุณป่วย มันไม่ใช่ความผิดใครค่ะ
อย่าโทษตัวเอง อย่าโทษใครเลย เลิกเศร้าได้แล้วนะคะ
ถ้าพ่อคุณสามารถเห็นคุณและแม่คุณในตอนนี้ได้
พ่อคุณคงเสียใจมาก ที่การจากไปของเขาทำให้พวกคุณต้องเป็นแบบนี้
ทำชีวิตให้ดี เพื่อตัวเองและเพื่อให้เกียรติแก่คนที่จากไปค่ะ
พ่อคุณไม่ได้เลี้ยงดูฟูมฟักคุณจนเติบใหญ่เพื่อให้คุณมาจมกับความทุกข์แบบนี้
สิ่งที่พวกคุณกำลังเป็นอยู่ พ่อคุณไม่ได้ต้องการ ไม่ว่าจะการเสียใจ ร้องไห้ฟูมฟายจนแทบสิ้นสติ
จนทำให้สุขภาพจิตและสุขภาพกายทรุดโทรมลงขนาดนี้
อยากให้คุณเปลี่ยนความคิดนะคะ
รักพ่อ ต้องทำชีวิตคุณให้มีความสุขค่ะ
ให้พ่อภูมิใจว่าลูกสาวเติบโตมาและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
เข้มแข็งและดูแลแม่ได้
ส่วนสามีคุณนั้น
ให้มองเขาอย่างเข้าใจถึงที่มาที่ไป
เขาก็คนธรรมดา มีชีวิตคู่ก็คงอยากมีความสุข เดินไปข้างหน้า
แต่กลายเป็นว่า เขาแต่งกับคุณ คุณจมอยู่แต่กับความทุกข์ เอาแต่ซึมเศร้า ร้องไห้ แม่คุณก็ยิ่งอาการแย่กว่าคุณอีก
มันเป็นการเริ่มต้นชีวิตคู่ที่หดหู่ และเหมือนจะหดหู่ไปเรื่อยๆ เพราะคุณไม่ได้เปลี่ยนวิธีคิดเลย
เรื่องอะไรที่มันผ่านไปแล้วให้มันผ่านไปนะคะ ปล่อยมันไป
เริ่มใหม่ อยู่อย่างมีความสุข
นึกถึงพ่อเข้าไว้ เรื่องดีๆที่พ่อทำให้ เก็บไว้เป็นความทรงจำ ให้ยิ้มได้เมื่อนึกถึง
ก้าวเดินต่อไป อย่างมีความสุข ช่วยเยียวยาแม่
ว่างๆก็ไปหากิจกรรมทำกันนะคะ สองคนแม่ลูกก็ได้ อย่าจมอยู่กับความเศร้าต่อไปอีกเลย
แม่เราก็เสียเพราะมะเร็งค่ะ
แม่เราเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว และเราไม่มีญาติสนิทที่ไหนอีกเลย
เราก็เจอเหตุการณ์แบบคุณนี่แหละ
ดูแลตั้งแต่แม่เริ่มป่วย พาไปตรวจ พาไปรักษา ไปสถาบันมะเร็ง ทำคีโม ฯลฯ
แม่ก็มีแต่อาการทรุดลงๆ จนมีแผลเหวอะที่หน้าอก (ตั้งแต่ตัดชื้นเนื้อไปตรวจ แผลบริเวณนั้นของแม่ไม่เคยหาย มีแต่จะลาม)
แม่ที่เป็นทุกอย่างของเรา เป็นที่พึ่งเดียวของเรา ไม่มีแม่เราก็ไม่มีใครแล้ว
ตอนแม่เสีย เราก็จัดระบบความคิดแบบที่บอกคุณนี่แหละ
แม่เราไม่ได้อยากให้เรามานั่งร้องไห้ฟูมฟายหรอก ไม่ได้อยากเห็นเราอ่อนแอจนไม่เป็นอันทำอะไร
แม่เราอยากให้เราเดินหน้าต่อ มีชีวิตที่ดีและมีความสุข
ในตอนนั้นเราเรียนอยู่ ทุกคนคิดว่าเราคงดรอปเรียนแน่นอน เพราะไม่มีใครส่งเรียนแล้ว
แต่เราไม่ได้ดรอปนะคะ ก็ทำงานหาเงินเรียน หาลู่ทางวิธีที่เราจะมีเงินพอให้เรียนจนจบให้ได้
ก็อย่างที่บอกว่าชิวิตต้องเดินต่อ
และต้องเดินต่ออย่างดี ไม่ให้คนที่จากไปเป็นห่วงเรา
เราไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายเพื่อแสดงความรักต่อแม่
เราใช้ความเข้มแข็งและอดทนเพื่อแสดงความรักต่อแม่เรา
เรารักแม่เรา เกินกว่าจะทำชีวิตเราเองให้ซึมเศร้าตกต่ำ
ชีวิตที่แม่ให้เรามา ฟูมฟักอบรมมาอย่างดี เราไม่มีสิทธิ์ไปทำให้แย่ลง
แม่เราไม่มีสมบัติหรือมรดกอะไรทิ้งไว้ให้ สิ่งที่แม่ทิ้งไว้ให้คือตัวเรานี่แหละ
ร่างกายของเรา ความเป็นเรา เราจะรักษาและดูแลมันอย่างดีที่สุด
เราไม่ใช่คนพิเศษ เราเป็นคนแสนจะธรรมดาบนโลกใบนี้
เราทำได้ คุณก็ทำได้นะคะ คุณแค่เปลี่ยนมุมมอง ปรับวิธีคิดใหม่นะ
คุณยังมีคนที่เป็นท้องฟ้าของคุณอยู่อีกคน คือแม่ของคุณ
ชีวิตมันไม่ได้โศกเศร้าขนาดนั้น อย่าซ้ำเติมตัวเองอีกเลย
ขอให้คุณและแม่คุณดีขึ้นในเร็ววันนะคะ
ความคิดเห็นที่ 11
เราไม่ได้เป็นสมาชิกพันทิพ แต่พอเราอ่านกระทู้ของคุณ ทำให้เราต้องสมัครสมาชิกเพื่อมาตอบกระทู้ของคุณโดยเฉพาะ
ปกติเราเป็นคนชอบอ่านพันทิพแต่ไม่เคยตอบใครเลยได้แต่อ่านผ่านแล้วก้ปิดไป
เราก็เพิ่งสูญเสียคุณพ่อไปเมื่อวันที่ 7พย 61 ที่ผ่านมา พ่อเราเป็นคนแข็งแรงมาก เป็นนักกีฬา ออกกำลังกายทุกวัน
ปกติของครอบครัวเรา พอเลิกงานก็จะกลับบ้าน มากินข้าวด้วยกัน พูดคุยเจอหน้ากันตลอดทุกวัน จนเมื่อวันที่ 6พ.ย 61 ในขณะที่เราเลิกงาน
แต่วันนั้น เรานัดทานข้าวกับเพื่อนเก่าที่ไม่เจอกันนาน เลยไม่ได้กลับไปกินข้าวเย็นที่บ้าน
จนทุ่มกว่าแม่โทรมาหาเราบอกว่าพ่อเรารถชน เราตกใจ แต่ก็พยายามตั้งสติ รีบไป โรงพยาบาลพ่ออยู่ในห้องฉุกเฉิน ภาพแรกที่เราเห็น
คือพ่อนอนบนเตียงคนป่วย แผลถลอกเต็มตัว แต่มีสติรู้เรื่องดีทุกอย่าง มีพยาบาลกำลังเย็บแผลที่ศีรษะ แต่เราเห็นพ่อไม่ได้สลบ อาการเหมือนคนรถล้มแล้วมีแผลถลอกธรรมดา เราเบาใจมาก แบบเดี๋ยวก็หายพรุ่งนี้กลับบ้านได้ เราไม่ได้เดินเข้าไปที่ข้างเตียง
ยืนอยู่ปลายเตียงห่างออกมาประมาน เมตรสองเมตร แต่ก้ตะโกนเรียก พ่อ ออกมาคำนึง ไม่รู้ว่าได้ยินไหม ที่เราไม่เดินเข้าไปเพราะเราไม่อยาก
ไปเกะกะ การปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ โรงพยาบาล
จนมีหมอเดินมาถาม เราเป็นอะไรกับคนไข้ เราบอกเราเป็นลูก เขาก็อธิบายอาการของพ่อเราให้ฟัง
บอก นอกจากแผลถลอกที่เห็น ก้มีกระดูกแขนซ้ายหัก มีแผลที่หัว เพราะตอนชนหัวกระแทก เลือดออกมาก ต้องดูอาการใกล้ชิด
ถ้า 1-2 ชั่วโมง ผู้ป่วยมีอาการซึมลง มีโอกาสที่หัวใจหยุดเต้น อาจจะต้องปั้มหัวใจ หมอบอกแบบนั้น แต่ในใจเราก็คิดว่าไม่มีทางที่พ่อจะเป็นขนาดนั้นหรอก พ่อแข็งแรง ขนาดนอนบนเตียงยังคุยกะหมอรู้เรื่อง ขยับแขนขาได้ ไม่ได้เป็นหนักอะไรหนิ
จนผ่านไปประมาณชั่งโมง หมอพยาบาลก็มาตรวจอาการพ่อ กดตรงนู้นตรงนี้ ถามว่าตรงนี้เจ็บไหมๆ พ่อเราก้ตอบได้ว่า เจ็บไม่เจ็บ ให้ยกขายกแขน พ่อเราทำได้หมด แต่ขากับแขนซ้าย เริ่มยกเองไม่ได้
จนหมอ พยาบาล เดินมาบอกเราว่า พ่อต้องผ่าตัดสมองเพื่อระบายเลือดด่วน ตอนนั้นสองทุ่มกว่า กำหนดเวลาผ่าตัดคือสี่ทุ่ม เราเริ่มใจไม่ดี แต่ในใจก็คิดว่า ผ่าตัดระบาเลือดแล้ว ออกมาพักฟื้นก็ปลอดภัยแล้ว เรารู้สึกว่าเวลารอผ่าตัดมันช่างยาวนาน เราร้อนใจเดินไปถามหมอว่าทำไมต้องรอนานขนาดนั้น หมอก้บอกไม่สามารถผ่าได้เลยทันทีเพราะต้องเตรียมผลเลือดนู่นนี่ เราก็วางใจ โอเค รอ
จนถึงเวลาพ่อผ่าตัด ก่อนพ่อเข้าห้องผ่าตัด เราเดินไปข้างเตียงบอกพ่อสู้ๆนะอย่าดื้อกับหมอ พ่อยังมองหน้าเรา แล้วเขาก็เข็ญเตียงพ่อเราเข้าห้องผ่าตัดไป ตอนแรกเราคิดว่านาน เรารออยู่หน้าห้องผ่าตัด ประมาณชั่งโมงกว่าสองชั่วโมง พ่อก็ออกมาแล้วเขาเข็ยเตียงพ่อไปอยู่ห้องผู้ป่วยวิกฤตเพื่อดูอาการใกล้ชิด ตอนนั้นมีแต่แม่ ที่เข้าไปคุยกับพ่อ แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรมาก เพราะเขาใส่เครื่องช่วยหายใจ เป็นแม่เราที่พูดกับพ่อซะมากกว่า เราโล่งใจมาก ที่ออกมาจากห้องผ่าตัดแล้ว เดี๋ยวก้ดีขึ้นแล้ว เราเลยเดินไปคุยกับพยาบาลเขาก็อธิบายว่าพรุ่งนี้ต้องเตรียมอะไรมาบ้าง เวลาเยี่ยม สามารถเข้าได้ตอนกี่โมงถึงกี่โมง พยาบาลเขาไม่ให้เราอยู่เฝ้าให้กลับบ้าน ก่อนกลับ พ่อเราเริ่ม ฟื้นจากฤทธิ์ ยา แล้ว เริ่มยกแขนขาปัดป่ายไปมา เรายิ่งโล่งใจใหญ่ว่า ผ่าตัดก็แล้ว ฟื้นก็แล้ว หายดีแน่ แต่แม่เราใจไม่ดีเลย สีหน้ากังวลมาก เราบอกแม่กลับบ้านไปเตรียมหาซื้อของตามที่พยาบาลบอกพรุ่งนี้มาแต่เช้า ไม่เป็นไรแล้วแหละ เที่ยงคืนกว่าแล้ว
เรากลับบ้านอาบน้ำและนอน หลับไปได้ไม่นาน.. ตีสอง มีโทรศัพเข้า พยาบาลโทรมาบอกพ่อเราความดันต่ำถ้าหัวใจหยุดเต้นจะให้ปั้มหัวใจไหม เราช็อคมาก เรียกว่าทำอะไรไม่ถูกเลย แต่ก็พยายามตั้งสติ ที่แย่กว่าเราคือแม่เรา เรียกว่าสติแทบหลุดไปเลย เราไม่เข้าใจมาก ทำไมมันถึงมาเป็นเหตุการณ์แบบนี้ได้ เราไม่ได้คิดหรือเตรียมใจมาก่อน เราถามพยาบาลว่า เราไปได้ไหม ตอนนี้ พยาบาลบอกได้ เรารีบคว้ากุญแจรถ ออกไปเลย เรารู้สึกว่ารถช้ามาก ใจอยากวาปไปอยู่ที่โรงพยาบาลเลย พอไปถึงเห็นเขากำลังปั้มหัวใจพ่อ แม่ยิ่งร้องหนัก ดีที่ปั๊มหัวใจรอบแรกหัวใจพ่อกลับมาเต้น แต่ก้อยู่ได้ไม่นานประมาณ สิบห้านาที ยี่สิบนาทีได้ มันก้ค่อยๆแผ่วและช้าลงๆ เรามองเครื่องวัดอัตราการเต้นหัวใจ เป็นครั้งแรกที่เรา พูดว่าอย่า อย่า อย่า ในใจ เป็นร้อยๆครั้ง เลขบนหน้าจอที่ค่อยๆลดลง มันบีบหัวใจเรามากๆ จนตั้งมีการปั้มรอบสอง คราวนี้พยาบาลให้เราออกมารอนอกห้อง ยาวนานมาก เวลาที่เรารอยาวนานมาก จนพยาบาลออกมาบอก ว่าพ่อไม่ไหวแล้ว เราอึ้งมากเลย แทบใจสลายเลย แต่เราไม่ได้ร้อง เรียกว่าช็อค ทำอะไรไม่ถูก เรา เราไม่เคยเห็นแม่อ่อนแอเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ทั้งร้องไห้ทั้งจะเป็นลมเหมือนคนจะขาดใจ เราได้แต่ยืนประคองแม่และมองดูพ่อ ที่หลับตาอยู่และไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว เราได้แต่พูดในใจว่า ไม่ต้องห่วงอะไรแล้วนะ
จนถึงทุกวันนี้ ก้ยังรู้สึกว่าทำใจไม่ได้ และน้ำตามันจะไหลตลอดเวลา บางทีก็เหมือนจะปกติแต่บางทีมันก็รู้สึกว่าแย่มาก แต่ทุกครั้งที่แย่มากๆ เราจะคิดว่า ในโลกนี้ไม่ใช่มีแค่เราคนเดียวที่ต้องเจอกับเหตุการณ์สูญเสีย เสียใจ ยากเกินจะรับไหว เหมือนโลกทั้งใบสลาย หลายๆคนเขาก็เจอแล้วเขาก็ผ่านมาได้ เราก็เป็นคนนึงที่ต้องผ่านไปให้ได้เช่นกัน
เราเล่ามายาวมาก แต่เราแค่อยากเข้ามากอด เป็นกำลังใจ คุณไม่ใช่คนเดียวในโลก ที่ต้องเผชิญเรื่องร้ายๆ ที่ทำให้รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบสลายไปแล้ว เราจะผ่านมันไปด้วยกัน พ่อเราพูดเสมอว่า การตายมันก้แค่การก้าวผ่านไปอีกขั้นนึง เขาไม่ได้หายไปไหน เขายังอยู่ในใจเราเสมอ
สู้ๆนะคะ
ปกติเราเป็นคนชอบอ่านพันทิพแต่ไม่เคยตอบใครเลยได้แต่อ่านผ่านแล้วก้ปิดไป
เราก็เพิ่งสูญเสียคุณพ่อไปเมื่อวันที่ 7พย 61 ที่ผ่านมา พ่อเราเป็นคนแข็งแรงมาก เป็นนักกีฬา ออกกำลังกายทุกวัน
ปกติของครอบครัวเรา พอเลิกงานก็จะกลับบ้าน มากินข้าวด้วยกัน พูดคุยเจอหน้ากันตลอดทุกวัน จนเมื่อวันที่ 6พ.ย 61 ในขณะที่เราเลิกงาน
แต่วันนั้น เรานัดทานข้าวกับเพื่อนเก่าที่ไม่เจอกันนาน เลยไม่ได้กลับไปกินข้าวเย็นที่บ้าน
จนทุ่มกว่าแม่โทรมาหาเราบอกว่าพ่อเรารถชน เราตกใจ แต่ก็พยายามตั้งสติ รีบไป โรงพยาบาลพ่ออยู่ในห้องฉุกเฉิน ภาพแรกที่เราเห็น
คือพ่อนอนบนเตียงคนป่วย แผลถลอกเต็มตัว แต่มีสติรู้เรื่องดีทุกอย่าง มีพยาบาลกำลังเย็บแผลที่ศีรษะ แต่เราเห็นพ่อไม่ได้สลบ อาการเหมือนคนรถล้มแล้วมีแผลถลอกธรรมดา เราเบาใจมาก แบบเดี๋ยวก็หายพรุ่งนี้กลับบ้านได้ เราไม่ได้เดินเข้าไปที่ข้างเตียง
ยืนอยู่ปลายเตียงห่างออกมาประมาน เมตรสองเมตร แต่ก้ตะโกนเรียก พ่อ ออกมาคำนึง ไม่รู้ว่าได้ยินไหม ที่เราไม่เดินเข้าไปเพราะเราไม่อยาก
ไปเกะกะ การปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ โรงพยาบาล
จนมีหมอเดินมาถาม เราเป็นอะไรกับคนไข้ เราบอกเราเป็นลูก เขาก็อธิบายอาการของพ่อเราให้ฟัง
บอก นอกจากแผลถลอกที่เห็น ก้มีกระดูกแขนซ้ายหัก มีแผลที่หัว เพราะตอนชนหัวกระแทก เลือดออกมาก ต้องดูอาการใกล้ชิด
ถ้า 1-2 ชั่วโมง ผู้ป่วยมีอาการซึมลง มีโอกาสที่หัวใจหยุดเต้น อาจจะต้องปั้มหัวใจ หมอบอกแบบนั้น แต่ในใจเราก็คิดว่าไม่มีทางที่พ่อจะเป็นขนาดนั้นหรอก พ่อแข็งแรง ขนาดนอนบนเตียงยังคุยกะหมอรู้เรื่อง ขยับแขนขาได้ ไม่ได้เป็นหนักอะไรหนิ
จนผ่านไปประมาณชั่งโมง หมอพยาบาลก็มาตรวจอาการพ่อ กดตรงนู้นตรงนี้ ถามว่าตรงนี้เจ็บไหมๆ พ่อเราก้ตอบได้ว่า เจ็บไม่เจ็บ ให้ยกขายกแขน พ่อเราทำได้หมด แต่ขากับแขนซ้าย เริ่มยกเองไม่ได้
จนหมอ พยาบาล เดินมาบอกเราว่า พ่อต้องผ่าตัดสมองเพื่อระบายเลือดด่วน ตอนนั้นสองทุ่มกว่า กำหนดเวลาผ่าตัดคือสี่ทุ่ม เราเริ่มใจไม่ดี แต่ในใจก็คิดว่า ผ่าตัดระบาเลือดแล้ว ออกมาพักฟื้นก็ปลอดภัยแล้ว เรารู้สึกว่าเวลารอผ่าตัดมันช่างยาวนาน เราร้อนใจเดินไปถามหมอว่าทำไมต้องรอนานขนาดนั้น หมอก้บอกไม่สามารถผ่าได้เลยทันทีเพราะต้องเตรียมผลเลือดนู่นนี่ เราก็วางใจ โอเค รอ
จนถึงเวลาพ่อผ่าตัด ก่อนพ่อเข้าห้องผ่าตัด เราเดินไปข้างเตียงบอกพ่อสู้ๆนะอย่าดื้อกับหมอ พ่อยังมองหน้าเรา แล้วเขาก็เข็ญเตียงพ่อเราเข้าห้องผ่าตัดไป ตอนแรกเราคิดว่านาน เรารออยู่หน้าห้องผ่าตัด ประมาณชั่งโมงกว่าสองชั่วโมง พ่อก็ออกมาแล้วเขาเข็ยเตียงพ่อไปอยู่ห้องผู้ป่วยวิกฤตเพื่อดูอาการใกล้ชิด ตอนนั้นมีแต่แม่ ที่เข้าไปคุยกับพ่อ แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรมาก เพราะเขาใส่เครื่องช่วยหายใจ เป็นแม่เราที่พูดกับพ่อซะมากกว่า เราโล่งใจมาก ที่ออกมาจากห้องผ่าตัดแล้ว เดี๋ยวก้ดีขึ้นแล้ว เราเลยเดินไปคุยกับพยาบาลเขาก็อธิบายว่าพรุ่งนี้ต้องเตรียมอะไรมาบ้าง เวลาเยี่ยม สามารถเข้าได้ตอนกี่โมงถึงกี่โมง พยาบาลเขาไม่ให้เราอยู่เฝ้าให้กลับบ้าน ก่อนกลับ พ่อเราเริ่ม ฟื้นจากฤทธิ์ ยา แล้ว เริ่มยกแขนขาปัดป่ายไปมา เรายิ่งโล่งใจใหญ่ว่า ผ่าตัดก็แล้ว ฟื้นก็แล้ว หายดีแน่ แต่แม่เราใจไม่ดีเลย สีหน้ากังวลมาก เราบอกแม่กลับบ้านไปเตรียมหาซื้อของตามที่พยาบาลบอกพรุ่งนี้มาแต่เช้า ไม่เป็นไรแล้วแหละ เที่ยงคืนกว่าแล้ว
เรากลับบ้านอาบน้ำและนอน หลับไปได้ไม่นาน.. ตีสอง มีโทรศัพเข้า พยาบาลโทรมาบอกพ่อเราความดันต่ำถ้าหัวใจหยุดเต้นจะให้ปั้มหัวใจไหม เราช็อคมาก เรียกว่าทำอะไรไม่ถูกเลย แต่ก็พยายามตั้งสติ ที่แย่กว่าเราคือแม่เรา เรียกว่าสติแทบหลุดไปเลย เราไม่เข้าใจมาก ทำไมมันถึงมาเป็นเหตุการณ์แบบนี้ได้ เราไม่ได้คิดหรือเตรียมใจมาก่อน เราถามพยาบาลว่า เราไปได้ไหม ตอนนี้ พยาบาลบอกได้ เรารีบคว้ากุญแจรถ ออกไปเลย เรารู้สึกว่ารถช้ามาก ใจอยากวาปไปอยู่ที่โรงพยาบาลเลย พอไปถึงเห็นเขากำลังปั้มหัวใจพ่อ แม่ยิ่งร้องหนัก ดีที่ปั๊มหัวใจรอบแรกหัวใจพ่อกลับมาเต้น แต่ก้อยู่ได้ไม่นานประมาณ สิบห้านาที ยี่สิบนาทีได้ มันก้ค่อยๆแผ่วและช้าลงๆ เรามองเครื่องวัดอัตราการเต้นหัวใจ เป็นครั้งแรกที่เรา พูดว่าอย่า อย่า อย่า ในใจ เป็นร้อยๆครั้ง เลขบนหน้าจอที่ค่อยๆลดลง มันบีบหัวใจเรามากๆ จนตั้งมีการปั้มรอบสอง คราวนี้พยาบาลให้เราออกมารอนอกห้อง ยาวนานมาก เวลาที่เรารอยาวนานมาก จนพยาบาลออกมาบอก ว่าพ่อไม่ไหวแล้ว เราอึ้งมากเลย แทบใจสลายเลย แต่เราไม่ได้ร้อง เรียกว่าช็อค ทำอะไรไม่ถูก เรา เราไม่เคยเห็นแม่อ่อนแอเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ทั้งร้องไห้ทั้งจะเป็นลมเหมือนคนจะขาดใจ เราได้แต่ยืนประคองแม่และมองดูพ่อ ที่หลับตาอยู่และไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว เราได้แต่พูดในใจว่า ไม่ต้องห่วงอะไรแล้วนะ
จนถึงทุกวันนี้ ก้ยังรู้สึกว่าทำใจไม่ได้ และน้ำตามันจะไหลตลอดเวลา บางทีก็เหมือนจะปกติแต่บางทีมันก็รู้สึกว่าแย่มาก แต่ทุกครั้งที่แย่มากๆ เราจะคิดว่า ในโลกนี้ไม่ใช่มีแค่เราคนเดียวที่ต้องเจอกับเหตุการณ์สูญเสีย เสียใจ ยากเกินจะรับไหว เหมือนโลกทั้งใบสลาย หลายๆคนเขาก็เจอแล้วเขาก็ผ่านมาได้ เราก็เป็นคนนึงที่ต้องผ่านไปให้ได้เช่นกัน
เราเล่ามายาวมาก แต่เราแค่อยากเข้ามากอด เป็นกำลังใจ คุณไม่ใช่คนเดียวในโลก ที่ต้องเผชิญเรื่องร้ายๆ ที่ทำให้รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบสลายไปแล้ว เราจะผ่านมันไปด้วยกัน พ่อเราพูดเสมอว่า การตายมันก้แค่การก้าวผ่านไปอีกขั้นนึง เขาไม่ได้หายไปไหน เขายังอยู่ในใจเราเสมอ
สู้ๆนะคะ
แสดงความคิดเห็น
เพื่อนๆที่เคยสูญเสียคนที่รัก คุณผ่านมันมาได้อย่างไรคะ?
นี่เป็นกระทู้แรกของเรา
แท็กห้องผิดขอภัยนะคะ
เริ่มจากเรากับแฟนคบหาดูใจกันมากว่า 10 ปี
แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันค่ะ
อยู่คนละจังหวัด แต่แฟนก้อจะไปๆมาๆตลอด
ด้วยความที่คบกันมานาน มีทะเลาะกันบ้าง
เคยเลิกกันไปครั้งนึง แต่สุดท้าย ก็กลับมาคบกัน...จนตัดสินใจแต่งงาน...เราได้ฤกษ์งาน ช่วงเดือน พ.ย.59 ค่ะ ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นดี....จนกระทั่ง วันที่ 16 ก.ย.59 ได้รับข่าวร้ายจากที่บ้านว่าพ่อป่วย....เจอก้อนที่ตับขนาด 4 cm....
หมอบอกว่าพ่อเป็นมะเร็งตับระยะ 4 ให้ทุกคนทำใจ ใจสลายค่ะ ร้องไห้ พูดไรไม่ออก อยู่ต่อหน้าพ่อต้องทำเข้มแข็งร้องไม่ได้ เครียด หมอโกหก เป็นไปไม่ได้ พ่อยังแข็งแรงดีอยู่เลย ไม่ยอมรับความจริง ต้องมีอะไรผิดพลาด!!! นาทีนั้น เหมือนโลกทั้งใบแตกสลายเลยค่ะ โลกไม่สดใสอีกต่อไป
เรามีพี่สาวสองคน เราเป็นลูกคนเล็ก ตอนนั้น เราสามคนพี่น้องพยายามหาหนทางรักษาพ่อ พ่อต้องเข้ารับการผ่าตัดถึง 3 ครั้ง....แต่นั่นไม่ได้ทำให้อาการของพ่อดีขึ้นเลย พ่อเจ็บ...ต้องพึ่งยามอร์ฟีนทุกๆ 4 ชั่วโมง แต่ยาก็ไม่บรรเทาความเจ็บของพ่อได้เลย....หัวอกลูกคนนี้ แตกออกเป็นเสี่ยงๆแล้วตอนนั้น ทำได้แค่สวดมนต์ภาวนา อยู่ข้างเตียงพ่อทั้งคืนก็มี ชีวิตนี้ไม่เคยทรมานใจขนาดนี้เลย....โทษตัวเอง ที่รักษาพ่อไม่ได้ ฯลฯ น้ำหนักลด เครียด มาทำงานก้อแอบไปร้องไห้ ไม่อยากพูดคุยกับใคร....
แต่เราไม่ได้บอกเพื่อนที่ทำงานนะว่าพ่อป่วยเป็นมะเร็ง ตอนนั้นรับไม่ได้จริงๆ เราไม่พูดถึงคำว่ามะเร็งเลย พ่อต้องไม่เป็น พ่อต้องหาย....
กลับมาเรื่องงานแต่ง...เรากับแฟน ตัดสินใจเลื่อนงานแต่งออกไปเพราะช่วงนั้นพ่อต้องเข้ารับการผ่าตัด จาก พ.ย.59 เลื่อนเป็นแต่ง ม.ค.60
แต่ช่วงหลังๆมานี้ เราก็รู้สึก ว่า ว่าที่สามีของเราเปลี่ยนไปมาก เหมือนเขาไม่ค่อยรักเราแหละ
เอาไงล่ะทีนี้ ไปต่อ หรือหยุด...ตอนนั้นสับสนและตีกับตัวเองมาก สุดท้ายเราตัดสินใจ....เดินต่อ
เพราะคิดว่าเขารักเรา
แต่เหนือเหตุผลทั้งหมดคือ...พ่อ เราไม่อยากให้พ่อต้องเป็นห่วงอะไรในตัวลูกสาวคนนี้อีกแล้ว ....
ไม่รู้ว่าการตัดสินใจในวันนั้นถูกหรือผิด
จนวันแต่งงานมาถึง...2× มกราคม 2560
วันนั้นพ่อเจ็บหนักนั่งแทบไม่ไหว แต่พ่อบอกเราว่าวันนี้ไม่เจ็บเลย....ช่วงเวลาทำพิธี ...แอบเห็นน้ำตาพ่อ...เราร้องไห้อีกกลางงาน กลั่นไม่ไหว...ใครจะรู้ ในใจเราบอบช้ำแค่ไหน......
อีกสามเดือนต่อมา 2× เมษายน 2560 พ่อก็จากเราไป....ตลอดกาล จากโลกที่เป็นสีเทาๆ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว ชีวิตสิ้นหวัง....ทุกอย่างพังทลาย
เราป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ร้องไห้ทุกวัน อยากตายทุกวัน แม่ก็ป่วยจากโรคประจำตัวหนักขึ้นแถมด้วยโรคซึมเศร้า แม่ร้องไห้สะสมนานจนวุ้นตาเสื่อม สิงหาคม 2560 แม่เกือบมองไม่เห็นหมอต้องให้ผ่าตัดด่วน รักษาอยู่เป็นเดือนๆ
ส่วนสามี นอกจากไม่ได้มาดูแลเรากะแม่แล้ว ยังทำตัวเหินห่าง เปลี่ยนรหัสมือถือ เฟซ ไลน์ อีเมลล์ ทำตัวอึดอัดเวลาอยู่ด้วยกัน ที่หนักกว่านั้นคือ....เขาบอกกับเราว่า ไม่อยากมีลูก ไม่ต้องมีนะ!!! และในวันหนึ่ง เขาก็จากไป โดยไม่บอกลาสักคำ .... ทิ้งไว้แต่คำถามที่ไม่มีคำตอบกับคนรอบตัวของเรา....ว่าเขาหายไปไหน? เจ็บปวด ทรมาน รับไม่ได้...ความรู้สึกมากมายก่ายกอง...ที่มันอยู่ในใจเรา จนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้......เหมือนกำลังจมดิ่งสุดก้นเหววว...ร้องไห้ทุกวัน คิดถึงพ่อ เจ็บปวดจากการถูกทิ้ง..โดดเดี่ยว เหงา อยากตาย รับไม่ได้กับทุกสิ่งที่ถาโถมเข้ามา...เป็นห่วงแม่.....สิ่งที่เราทำได้ในช่วงสองปีที่ผ่านมาคือ จันทร์-ศุกร์ ทำงานที่ต่างจังหวัด ศุกร์เย็น ขับรถข้ามเขา 3.5 ชม. กลับไปหาแม่ เช้าวันจันทร์ ตี5 ขับรถมาทำงาน ต่างจังหวัดเหมือนเดิม ปิดตัวเอง จมอยู่กับความทุกข์ จมอยู่กับกองน้ำตา ไม่ดูแลตัวเอง.....จนสภาพตัวเองแย่สุดๆ
#ตอนนี้เราพยายามเอาตัวเองกลับมา พยายามทำตัวเองให้ดีขึ้น เริ่มออกกำลังกาย พบปะผู้คน หาเวลาไปเที่ยว ทำในสิ่งที่ตัวเองมีความสุข และทำสิ่งดีๆเพื่อคนอื่นค่ะ มันยากจริงๆกว่าจะก้าวผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาได้ ตอนพิมพ์เล่า เรา ยังร้องไห้อยู่เลย
**แต่สัญญา ว่าเราจะผ่านมันไปให้ได้**
ปล.เรามีเพื่อนรักสองคนที่คอยให้กำลังใจและเป็นที่ปรึกษาอยู่ตลอด…ช่วยได้เยอะเลยค่ะ
#ขอโทษน๊าา พิมพ์ไปอ่านยากหน่อย เราพึ่งลงเป็นกระทู้แรก พิมพ์ในมือถือด้วย
#ขอบคุณที่อยู่อ่านจนจบนะคะ
*No matter what happens,life must go on.*