เท้าความก่อนว่า ก่อนที่เมย์จะเข้าสู่วงการนี้ เมย์เริ่มทำงานตั้งแต่อายุประมาณ 19 ปี เนื่องจากว่าต้องส่งตัวเองเรียนช่วงมหาวิทยาลัย จึงต้องหางานทำ ซึ่งก็ได้โอกาสลองทำงานหลายอย่าง
ด้วยเหมือนเป็นจุดที่เรากำลังมองหางานที่เหมาะกับตัวเอง ก็จะมีทั้งพนักงานร้านไอศครีมที่เจ๊งไปแล้วที่เซ็นทรัลลาดพร้าว พนักงานเดินตั๋วที่เมเจอร์รัชโยธิน พนักงานคีย์ข้อมูลที่ nursery ซ.เสือใหญ่ และก็พนักงานทำความสะอาด+ดูแลร้านอินเตอร์เน็ตที่ ซ.เสือใหญ่ ทั้งหมดนี้ในเวลาประมาณ 1 ปีค่ะ ซึ่งเมย์จะขอไม่พูดตรงส่วนนี้มาก เพราะเดี๋ยวจะยาว อยากจะเน้นเรื่องที่เมย์เข้าวงการงานอีเว้นท์ซะมากกว่า
เมย์เป็นคนที่ไม่เก่งเรื่องการเขียน เพียงแต่ต้องการอยากแชร์ประสบการณ์ ยังไงก็คิดซะว่าอ่านหนุกๆละกันเนอะ ^^
—
มาเริ่มกันเลย ย้อนกลับไปประมาณ 8 ปีก่อน ช่วงปี 54’ ...
สมัยนั้นเมย์ไม่รู้จักเลยว่า ‘พริตตี้’ คืออะไร
แต่มักจะเห็น banner โฆษณาตามเว็บต่างๆบ่อยๆว่า ‘นวดโดยพริตตี้’ พอคลิกเข้าไปดูมันก็จะมีแต่งานอย่างว่า ก็เลยเข้าใจว่าพริตตี้คือไซด์ไลน์
และร้านอินเตอร์เน็ตที่เมย์ทำงาน มักจะมีพี่พริตตี้สองคนชอบมาเล่นเกมส์ audition บ่อยๆ สวยมาก มาทีไรลูกค้าแทบทั้งร้านต้องหันไปมอง จำไม่ได้ว่าใครบอกเมย์แต่เค้าบอกว่าสองคนนี้ไม่ใช่พริตตี้พรีเซนท์สินค้า แต่เป็นพริตตี้ผับทำงานที่สิงคโปร์ พอเมย์ได้ยินแบบนั้นก็เลยงงๆ อะไรสินค้า อะไรผับ เราเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ? ก็เลยไปหาข้อมูลในเน็ตเพิ่มเติม สรุปว่าเราเข้าใจผิดมาตลอดเลย พริตตี้จริงๆคือเค้าต้องนำเสนอสินค้า หรือทำงานตามงานอีเว้นท์ ไม่ใช่งานอโคจรอย่างที่เราเข้าใจ
พอรู้อย่างนั้นแล้วเมย์ก็ตาลุกวาวทันที เพราะจะได้แต่งตัวสวยๆ จะได้ใช้ทักษะภาษาที่รำ่เรียนมา ที่สำคัญคือเงินดี และปากกัดตีนถีบอย่างเราจะไม่สนได้ไงล่ะจริงมั้ย
—
ก็เลยเริ่มหาข้อมูล จนไปเจอเว็บๆนึงที่มักจะมีการประกาศงานหาพริตตี้เอ็มซีบ่อยๆ โดยเราต้องส่งโปรไฟล์ผ่านอีเมล์หรือบีบี แต่สมัยนั้นเมยไม่มีปัญญาซื้อบีบี เพราะฉะนั้นก็มีอยู่ทางเดียวคือส่งอีเมล์ แต่ปัญหาก็คือเค้าให้ระบุประสบการณ์และส่งภาพงานที่เราเคยทำไปด้วย ซึ่งเมย์ไม่มีเลยยยยย ทำไงล่ะ ? ก็เลยเอาเงินที่เราพอจะมี ไปถ่ายภาพที่สตูดิโอเล็กๆ เสื้อผ้าสวยๆก็ไม่มี แต่งหน้าก็ไม่เป็น แต่ใจมันไปแล้วอ่ะ เพราะฉะนั้นมีอะไรก็แต่งๆไปก่อน ไม่ได้เก็บรูปไว้ แต่จำได้ว่าเป็นชุดเอี๊ยมกระโปรงน่ารักๆ ประสบการณ์ก็ไม่มี รูปก็กะโหลกกะลา คาดหวังแค่ว่าความสามารถทางด้านภาษาของเราคงจะพอช่วยได้ ก็ส่งไปและผ่านเฉย! แต่ในที่นี้หมายถึงผ่านเข้าไปแคสนะคะ ยังไม่ได้งาน ;D
พอไปแคสงานแรก เป็นการเปิดโลกทัศน์มาก มีแต่คนสวยๆ แต่งตัวเซ็กซี่ๆ เราเหมือนเด็กน้อยหลงทาง รูปที่ส่งไปใส่ชุดไหน มาแคสก็ใส่ชุดนั้นเลย ก็ทั้งตู้เสื้อผ้าที่พอจะดูดีก็มีมันอยู่ชุดเดียวอ่ะให้ทำไง TT
พอไปถึงเค้าก็ให้เขียนรายละเอียดใส่กระดาษเหมือนสมัครงานทั่วไป และเรียกไปยืนเรียงให้แนะนำตัว ประมาณนี้ วินาทีที่เดินเข้าไปถึงหน้างานรู้เลยว่ายังไงก็ไม่ได้งาน แต่เราก็ต้องเริ่มจากจุดใดจุดนึงถูกมั้ย ยังไม่มีประสบการณ์ ก็ต้องสร้างก่อน ต้องขยันไปแคสงานบ่อยๆ และภาวนาให้มีซักงานที่จะให้โอกาสเรา
การเป็น Pretty ไม่ใช่สิ่งที่เมย์ชอบเลย ทนทำไปเพราะเงินล้วนๆ ที่ไม่ชอบเพราะงานส่วนใหญ่ที่ได้รับมักจะบังคับให้เราใส่ชุดโชว์เรือนร่าง ไม่ชอบสายตาดูถูกที่เรามักได้รับเวลาทำงาน บวกกับเมย์ยืนนานๆบนส้นสูงไม่ไหว และที่สำคัญเรารู้ตัวว่าเราไม่สวยระดับพริตตี้ มันไม่มีความมั่นใจเอาซะเลย
แต่สำหรับใครที่อาจจะมีอคติกับอาชีพนี้ อยากจะให้ลองเปิดใจและมองอีกมุม เพราะอาชีพนี้เค้าไม่สามารถตัดสินใจเองได้ว่าต้องแต่งตัวแบบไหน แล้วแต่ลูกค้าจริงๆค่ะ และที่สำคัญคือต้องยืนยิ้มตลอดเวลา มันเมื่อยทั้งหน้าเมื่อยทั้งเท้าและลามไปถึงจิตใจ เพราะบ่อยครั้งก็มักจะเจอลูกค้าที่ทำให้เค้าไม่รู้สึกภูมิใจในหน้าที่การงานด้านนี้ซักเท่าไหร่ การให้เกียรติกันเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงมีนะคะ
สมัยเป็นพริตตี้
—
จำไม่ได้แล้วว่างานแรกคืองานอะไรกันแน่ แต่ที่จำได้แม่นคือช่วงนั้นรับหลายงานมาก เพราะเรายังไม่มีคอนเนคชั่น จะให้รองานพริตตี้อย่างเดียวก็คงอดตายพอดี เพราะฉะนั้นมีอะไรเข้ามาเราก็รับไว้ก่อน ทั้ง Staff, Supervisor, Mascot (ส่วนตัวเมย์ชอบงานนี้มาก เมื่อก่อนทำให้ slim up center บ่อยๆ แต่งเป็นลูกหมีแพนด้า ^^), Pretty และก็มาเป็น Dancer
นอกเหนือจากการเป็น Mascot แล้ว ... Dancer เป็นอีกงานที่เมย์ชอบมาก ... เมย์ได้ค้นพบว่าตัวเองชอบเต้นก็ตั้งแต่เพลง Tell me ของ Wonder Girls ดังสมัยเมย์อยู่ ม.5-6 ... พอมาเข้าวงการนี้ เมย์ก็เลยอยากลองทำงานด้านนี้ดูบ้าง ทำเพราะความชอบล้วนๆ แต่ไม่ได้เก่งอะไรเลย แค่พอเต้นได้ ทำไปได้ซักพักก็หยุด เพราะเพื่อนในทีมส่วนใหญ่ก็รับงานพริตตี้เอ็มซี ไม่ได้รับงานเต้นเป็นหลัก จึงไม่ค่อยจริงจังกันมากนัก และจึงได้ล้มเลิกไปในที่สุด
สมัยเป็นแดนเซอร์
—
ปี 54’ เป็นปีของการเรียนรู้ เป็นปีของการกระ
กระสนมากกว่าทุกๆปีในช่วงนั้น เป็นปีของการค้นหาว่างานไหนที่เราชอบและเหมาะกับเรา ปีนั้นเมย์ก็ลองทำหลายอย่างมากอย่างที่ได้กล่าวมา ซึ่งเมย์ก็ได้ค้นพบว่าเมย์ชอบเต้นมากที่สุด แต่จะทำยังไงล่ะเพราะเหมือนมาทางนี้แล้วจะไม่รุ่ง ก็เลยมองหาทางอื่นเสริม ซึ่งอย่างนึงที่เมย์ยังไม่เคยลองและตอนนั้นไม่เคยคิดจะลองเลยก็คือการเป็น MC เพราะเมย์เป็นคนเงียบ พูดไม่เก่ง แถมขี้อาย แต่ด้วยเม็ดเงินที่ MC ได้รับนั้นมันเยอะกว่าทุกอย่างที่เมย์เคยทำมา เพราะฉะนั้นก็ต้องบอกเลยว่าที่มาถึงทุกวันนี้ได้เพราะความลำบากและเงินเป็นจุดนำล้วนๆค่ะ ;D
เมย์เริ่มทำงาน MC ตั้งแต่ปี 55’ และก็ทำมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน แต่ปีแรกๆที่ทำก็ทำงานอื่นควบคู่กันไปด้วย ยังไม่ได้ทิ้งงาน Pretty และ Dancer ซะทีเดียว แต่มารับงาน MC พิธีกรแบบจริงจังก็น่าจะตั้งแต่ปี 57’ เพราะเราเริ่มมีคอนเนคชั่น งานเริ่มเข้ามามากขึ้น รายได้มีความเสถียรมากขึ้น จึงได้ตัดสินใจรับงานพิธีกรอย่างเป็นทางการตั้งแต่นั้นมา
สมัยเป็นเอ็มซีแรกๆ
—
ก่อนที่จะเล่าเพิ่มเกี่ยวกับประสบการณ์ในการเป็น MC พิธีกร หลายๆคนที่อาจจะไม่ได้อยู่ในวงการนี้อาจจะงงๆว่าตกลงสองคำนี้มันต่างกันยังไง เมย์ขออนุญาตอธิบายโดยคร่าวดังนี้นะคะ
- MC ย่อมาจาก Master of Ceremony แปลว่า นายพิธี หรือก็คือพิธีกรนั่นเอง
- แต่บางครั้ง MC สำหรับประเทศตะวันตก มันสามารถแปลว่า Rapper ได้ด้วยนะ
- ต่างชาติจึงนิยมเขียนอาชีพพิธีกรว่า Emcee มากกว่า เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
แต่! ในประเทศไทย คนในวงการเค้าแยกระหว่าง MC กับ พิธีกร ถึงแม้ในภาษาอังกฤษมันจะแปลว่าพิธีกรก็ตาม แต่สำหรับบ้านเรา
- MC/เอ็มซี คือคนโฟนขายหรือนำเสนอสินค้า
- พิธีกร โฟนเหมือนกัน แต่อยู่บนเวที
ซึ่งวิธีการพูดก็จะแตกต่างกัน
- อย่าง MC สำเนียงการพูดก็จะออกแนวเน้นนำเสนอสินค้าที่เรามักจะได้ยินกันบ่อยๆตามห้าง
- พิธีกร สำเนียงการพูดจะเน้นพูดช้ากว่า ไม่ค่อยใช้วลีแบบเอ็มซี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่สไตล์ของแต่ละคน
โฟน = ประชาสัมพันธ์ / พูดออกไมค์
ประมาณนี้นะคะ ถ้าอธิบายไม่เข้าใจอย่างไรต้องขออภัยด้วยค่ะ
—
อ่ะมาต่อกันเลยละกัน ^^
MC งานแรกของเมย์เป็นงานสองภาษา คือโฟนเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ สำหรับแบรนด์ชุดชั้นในสุภาพสตรีชั้นนำแบรนด์นึงที่ไม่ใช่แบรนด์ไทย ที่ฝั่งโตคิวห้าง MBK จำได้แม่นเลย เพราะเฟวมากกกก ;D
หน้าที่ของเมย์คือต้องแนะนำชุดชั้นในแต่ละรุ่น รวมไปถึงแจ้งโปรโมชั่นให้ลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ทราบ ประเด็นคือไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้เลยโดยตรง แถมต้องแปลกลับไปกลับมาเป็นสองภาษา ข้อมูลของแต่ละรุ่นก็เยอะมาก และ! ไม่มีสคริปท์ค่ะคุณ!!! จดและจำเอาเองล้วนๆ ก็จะออกแนวงงๆว่าเอ๊ะ!รุ่นนี้อะไรนะ? อ๋อ โอเค ก็จะสตั๊นไปสี่ห้าวิเพื่อนึกข้อมูล และมักจะพูดวกไปวนมาเพราะหาทางลงไม่เจอ 555555555! ผลสรุปคือวันนั้นไม่ได้ค่าตัวค่ะ ซึ่งเราก็โอเค เพราะเรารู้ดีว่าเราพลาด แต่พี่ที่ให้งานเราก็น่ารักนะ ยังใจดีให้ค่ารถเรากลับบ้าน ขอบคุณมากๆค่ะ พี่คือคนแรกที่ให้โอกาสเมย์ในการทำงานด้านนี้ ไม่มีพี่วันนั้น ไม่มีเมย์ในวันนี้แน่นอน
แรกๆก็รับเฉพาะงานเล็กๆ ส่วนใหญ่ก็งานนำเสนอสินค้า งานขายสินค้านี่แหละ บางงานเมย์ไปเป็นพริตตี้ แต่พอพี่เอ็มซีเค้าพักเราก็ขอโฟนให้ฟรี เป็นการฝึกไปในตัว คือพอโดนด่างานแรก ความกล้าในการจับไมค์มันก็มาจากไหนไม่รู้ ;D แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะคนเราจะฉลาดได้ก็ต้องโง่มาก่อน จะมีประสบการณ์ได้ก็ต้องไขว่คว้าหาโอกาส
ทำไปได้ซักพัก เมย์ก็ค้นพบว่าตัวเองไม่ถนัดงานฮาร์ดเซลเอาซะเลย ไม่ถนัดทำยอดขาย ไม่ถนัดพูดเร็ว คือเสียงและความเร็วในการพูดสู้บูธข้างๆไม่ได้เลย ;D พี่ทีมงานหลายๆที่ก็มักจะบอกกับเราว่าน้ำเสียงแบบนี้น่าจะลองไปทำงานพิธีกร และด้วยช่วงนั้นเราก็พอมีประสบการณ์ ความมั่นใจมันก็เพิ่มขึ้น จึงลองรับงานพิธีกรตามงานอีเว้นท์ งานพิธีกรที่เป็นงานทางการและกึ่งทางการดูบ้าง ซึ่งพอได้ลองแล้วเมย์ชอบมาก คือไม่คิดมาก่อนว่างานพิธีกรจะเป็นงานที่เหมาะกับตัวเอง เพราะอย่างที่บอกว่าแต่เดิมเมย์เป็นคนขี้อาย แต่เวลาทำงานเมย์มีความมั่นใจขึ้นมาทันที ต้องขอบคุณความลำบากที่ทำให้เมย์มาถึงจุดนี้ บางทีอะไรที่เราไม่เคยลองหรือไม่เคยคิดจะลอง มันก็อาจจะทำให้เราได้ค้นพบอีกด้านนึงของตัวเองที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมี ^^
สำหรับใครที่อยากลองเข้ามาทำงานในวงการนี้ หรือเพิ่งเริ่มทำ ขอให้ใจเย็นๆ ทุกๆอย่างต้องใช้เวลา และด้วยความที่คู่แข่งเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา เราจะต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เมย์ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ และคำแนะนำของใครก็ไม่ดีเท่ากับเราประสบเอง เพราะคนเรามีวิธีการแก้ปัญหาและเผชิญหน้าที่แตกต่างกันออกไป แต่อย่างนึงที่เมย์อยากจะแนะนำเป็นพิเศษก็คือ ก่อนไปถึงหน้างาน ให้ทานข้าวให้เรียบร้อย ให้พกน้ำเปล่า ปากกา/highlighter และเพลทสคริปท์ไปเองเสมอๆ เพราะเราไม่รู้เลยว่าหน้างานเค้าจะมีอะไรให้เราทานมั้ย หรือเค้าจะยุ่งกันขนาดไหน แต่ที่แน่ๆเราควรจัดการตัวเองให้เรียบร้อยโดยที่ไม่ต้องหวังพึ่งใครหน้างาน เป็นจุดเล็กๆที่จะทำให้เราสามารถทำงานได้ราบรื่นขึ้นและดูมืออาชีพขึ้นด้วยค่ะ
วิวัฒนาการพิธีกรในแต่ละปี
—
ปัจจุบันเมย์ยังคงเป็นฟรีแลนซ์ ที่ทำงานพิธีกรสองภาษาแบบฟูลล์ไทม์ และก็กำลังเรียนภาษาฝรั่งเศสเพิ่ม เพื่อคาดหวังว่าจะสามารถเพิ่มทักษะของตัวเองและนำไปใช้ในหน้าที่การงานได้ไม่มากก็น้อยในอนาคต หวังว่าโพสนี้คงไม่น่าเบื่อจนเกินไป ขอบคุณทุกๆคนที่ให้เกียรติเข้ามาอ่านนะคะ ขอให้ปีหมูปีนี้เป็นปีที่ดีของทุกๆคนค่ะ ^^
ปัจจุบัน
ติดตามผลงานเมย์ได้ตามช่องทางดังต่อไปนี้ค่ะ
Facebook Page : www.facebook.com/emceemaychadanis
Youtube : www.youtube.com/c/chadaniskhamnuan
จาก |พริตตี้| สู่อาชีพ |พิธีกรมืออาชีพ|
ด้วยเหมือนเป็นจุดที่เรากำลังมองหางานที่เหมาะกับตัวเอง ก็จะมีทั้งพนักงานร้านไอศครีมที่เจ๊งไปแล้วที่เซ็นทรัลลาดพร้าว พนักงานเดินตั๋วที่เมเจอร์รัชโยธิน พนักงานคีย์ข้อมูลที่ nursery ซ.เสือใหญ่ และก็พนักงานทำความสะอาด+ดูแลร้านอินเตอร์เน็ตที่ ซ.เสือใหญ่ ทั้งหมดนี้ในเวลาประมาณ 1 ปีค่ะ ซึ่งเมย์จะขอไม่พูดตรงส่วนนี้มาก เพราะเดี๋ยวจะยาว อยากจะเน้นเรื่องที่เมย์เข้าวงการงานอีเว้นท์ซะมากกว่า
เมย์เป็นคนที่ไม่เก่งเรื่องการเขียน เพียงแต่ต้องการอยากแชร์ประสบการณ์ ยังไงก็คิดซะว่าอ่านหนุกๆละกันเนอะ ^^
—
มาเริ่มกันเลย ย้อนกลับไปประมาณ 8 ปีก่อน ช่วงปี 54’ ...
สมัยนั้นเมย์ไม่รู้จักเลยว่า ‘พริตตี้’ คืออะไร
แต่มักจะเห็น banner โฆษณาตามเว็บต่างๆบ่อยๆว่า ‘นวดโดยพริตตี้’ พอคลิกเข้าไปดูมันก็จะมีแต่งานอย่างว่า ก็เลยเข้าใจว่าพริตตี้คือไซด์ไลน์
และร้านอินเตอร์เน็ตที่เมย์ทำงาน มักจะมีพี่พริตตี้สองคนชอบมาเล่นเกมส์ audition บ่อยๆ สวยมาก มาทีไรลูกค้าแทบทั้งร้านต้องหันไปมอง จำไม่ได้ว่าใครบอกเมย์แต่เค้าบอกว่าสองคนนี้ไม่ใช่พริตตี้พรีเซนท์สินค้า แต่เป็นพริตตี้ผับทำงานที่สิงคโปร์ พอเมย์ได้ยินแบบนั้นก็เลยงงๆ อะไรสินค้า อะไรผับ เราเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ? ก็เลยไปหาข้อมูลในเน็ตเพิ่มเติม สรุปว่าเราเข้าใจผิดมาตลอดเลย พริตตี้จริงๆคือเค้าต้องนำเสนอสินค้า หรือทำงานตามงานอีเว้นท์ ไม่ใช่งานอโคจรอย่างที่เราเข้าใจ
พอรู้อย่างนั้นแล้วเมย์ก็ตาลุกวาวทันที เพราะจะได้แต่งตัวสวยๆ จะได้ใช้ทักษะภาษาที่รำ่เรียนมา ที่สำคัญคือเงินดี และปากกัดตีนถีบอย่างเราจะไม่สนได้ไงล่ะจริงมั้ย
—
ก็เลยเริ่มหาข้อมูล จนไปเจอเว็บๆนึงที่มักจะมีการประกาศงานหาพริตตี้เอ็มซีบ่อยๆ โดยเราต้องส่งโปรไฟล์ผ่านอีเมล์หรือบีบี แต่สมัยนั้นเมยไม่มีปัญญาซื้อบีบี เพราะฉะนั้นก็มีอยู่ทางเดียวคือส่งอีเมล์ แต่ปัญหาก็คือเค้าให้ระบุประสบการณ์และส่งภาพงานที่เราเคยทำไปด้วย ซึ่งเมย์ไม่มีเลยยยยย ทำไงล่ะ ? ก็เลยเอาเงินที่เราพอจะมี ไปถ่ายภาพที่สตูดิโอเล็กๆ เสื้อผ้าสวยๆก็ไม่มี แต่งหน้าก็ไม่เป็น แต่ใจมันไปแล้วอ่ะ เพราะฉะนั้นมีอะไรก็แต่งๆไปก่อน ไม่ได้เก็บรูปไว้ แต่จำได้ว่าเป็นชุดเอี๊ยมกระโปรงน่ารักๆ ประสบการณ์ก็ไม่มี รูปก็กะโหลกกะลา คาดหวังแค่ว่าความสามารถทางด้านภาษาของเราคงจะพอช่วยได้ ก็ส่งไปและผ่านเฉย! แต่ในที่นี้หมายถึงผ่านเข้าไปแคสนะคะ ยังไม่ได้งาน ;D
พอไปแคสงานแรก เป็นการเปิดโลกทัศน์มาก มีแต่คนสวยๆ แต่งตัวเซ็กซี่ๆ เราเหมือนเด็กน้อยหลงทาง รูปที่ส่งไปใส่ชุดไหน มาแคสก็ใส่ชุดนั้นเลย ก็ทั้งตู้เสื้อผ้าที่พอจะดูดีก็มีมันอยู่ชุดเดียวอ่ะให้ทำไง TT
พอไปถึงเค้าก็ให้เขียนรายละเอียดใส่กระดาษเหมือนสมัครงานทั่วไป และเรียกไปยืนเรียงให้แนะนำตัว ประมาณนี้ วินาทีที่เดินเข้าไปถึงหน้างานรู้เลยว่ายังไงก็ไม่ได้งาน แต่เราก็ต้องเริ่มจากจุดใดจุดนึงถูกมั้ย ยังไม่มีประสบการณ์ ก็ต้องสร้างก่อน ต้องขยันไปแคสงานบ่อยๆ และภาวนาให้มีซักงานที่จะให้โอกาสเรา
การเป็น Pretty ไม่ใช่สิ่งที่เมย์ชอบเลย ทนทำไปเพราะเงินล้วนๆ ที่ไม่ชอบเพราะงานส่วนใหญ่ที่ได้รับมักจะบังคับให้เราใส่ชุดโชว์เรือนร่าง ไม่ชอบสายตาดูถูกที่เรามักได้รับเวลาทำงาน บวกกับเมย์ยืนนานๆบนส้นสูงไม่ไหว และที่สำคัญเรารู้ตัวว่าเราไม่สวยระดับพริตตี้ มันไม่มีความมั่นใจเอาซะเลย
แต่สำหรับใครที่อาจจะมีอคติกับอาชีพนี้ อยากจะให้ลองเปิดใจและมองอีกมุม เพราะอาชีพนี้เค้าไม่สามารถตัดสินใจเองได้ว่าต้องแต่งตัวแบบไหน แล้วแต่ลูกค้าจริงๆค่ะ และที่สำคัญคือต้องยืนยิ้มตลอดเวลา มันเมื่อยทั้งหน้าเมื่อยทั้งเท้าและลามไปถึงจิตใจ เพราะบ่อยครั้งก็มักจะเจอลูกค้าที่ทำให้เค้าไม่รู้สึกภูมิใจในหน้าที่การงานด้านนี้ซักเท่าไหร่ การให้เกียรติกันเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงมีนะคะ
สมัยเป็นพริตตี้
—
จำไม่ได้แล้วว่างานแรกคืองานอะไรกันแน่ แต่ที่จำได้แม่นคือช่วงนั้นรับหลายงานมาก เพราะเรายังไม่มีคอนเนคชั่น จะให้รองานพริตตี้อย่างเดียวก็คงอดตายพอดี เพราะฉะนั้นมีอะไรเข้ามาเราก็รับไว้ก่อน ทั้ง Staff, Supervisor, Mascot (ส่วนตัวเมย์ชอบงานนี้มาก เมื่อก่อนทำให้ slim up center บ่อยๆ แต่งเป็นลูกหมีแพนด้า ^^), Pretty และก็มาเป็น Dancer
นอกเหนือจากการเป็น Mascot แล้ว ... Dancer เป็นอีกงานที่เมย์ชอบมาก ... เมย์ได้ค้นพบว่าตัวเองชอบเต้นก็ตั้งแต่เพลง Tell me ของ Wonder Girls ดังสมัยเมย์อยู่ ม.5-6 ... พอมาเข้าวงการนี้ เมย์ก็เลยอยากลองทำงานด้านนี้ดูบ้าง ทำเพราะความชอบล้วนๆ แต่ไม่ได้เก่งอะไรเลย แค่พอเต้นได้ ทำไปได้ซักพักก็หยุด เพราะเพื่อนในทีมส่วนใหญ่ก็รับงานพริตตี้เอ็มซี ไม่ได้รับงานเต้นเป็นหลัก จึงไม่ค่อยจริงจังกันมากนัก และจึงได้ล้มเลิกไปในที่สุด
สมัยเป็นแดนเซอร์
—
ปี 54’ เป็นปีของการเรียนรู้ เป็นปีของการกระกระสนมากกว่าทุกๆปีในช่วงนั้น เป็นปีของการค้นหาว่างานไหนที่เราชอบและเหมาะกับเรา ปีนั้นเมย์ก็ลองทำหลายอย่างมากอย่างที่ได้กล่าวมา ซึ่งเมย์ก็ได้ค้นพบว่าเมย์ชอบเต้นมากที่สุด แต่จะทำยังไงล่ะเพราะเหมือนมาทางนี้แล้วจะไม่รุ่ง ก็เลยมองหาทางอื่นเสริม ซึ่งอย่างนึงที่เมย์ยังไม่เคยลองและตอนนั้นไม่เคยคิดจะลองเลยก็คือการเป็น MC เพราะเมย์เป็นคนเงียบ พูดไม่เก่ง แถมขี้อาย แต่ด้วยเม็ดเงินที่ MC ได้รับนั้นมันเยอะกว่าทุกอย่างที่เมย์เคยทำมา เพราะฉะนั้นก็ต้องบอกเลยว่าที่มาถึงทุกวันนี้ได้เพราะความลำบากและเงินเป็นจุดนำล้วนๆค่ะ ;D
เมย์เริ่มทำงาน MC ตั้งแต่ปี 55’ และก็ทำมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน แต่ปีแรกๆที่ทำก็ทำงานอื่นควบคู่กันไปด้วย ยังไม่ได้ทิ้งงาน Pretty และ Dancer ซะทีเดียว แต่มารับงาน MC พิธีกรแบบจริงจังก็น่าจะตั้งแต่ปี 57’ เพราะเราเริ่มมีคอนเนคชั่น งานเริ่มเข้ามามากขึ้น รายได้มีความเสถียรมากขึ้น จึงได้ตัดสินใจรับงานพิธีกรอย่างเป็นทางการตั้งแต่นั้นมา
สมัยเป็นเอ็มซีแรกๆ
—
ก่อนที่จะเล่าเพิ่มเกี่ยวกับประสบการณ์ในการเป็น MC พิธีกร หลายๆคนที่อาจจะไม่ได้อยู่ในวงการนี้อาจจะงงๆว่าตกลงสองคำนี้มันต่างกันยังไง เมย์ขออนุญาตอธิบายโดยคร่าวดังนี้นะคะ
- MC ย่อมาจาก Master of Ceremony แปลว่า นายพิธี หรือก็คือพิธีกรนั่นเอง
- แต่บางครั้ง MC สำหรับประเทศตะวันตก มันสามารถแปลว่า Rapper ได้ด้วยนะ
- ต่างชาติจึงนิยมเขียนอาชีพพิธีกรว่า Emcee มากกว่า เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
แต่! ในประเทศไทย คนในวงการเค้าแยกระหว่าง MC กับ พิธีกร ถึงแม้ในภาษาอังกฤษมันจะแปลว่าพิธีกรก็ตาม แต่สำหรับบ้านเรา
- MC/เอ็มซี คือคนโฟนขายหรือนำเสนอสินค้า
- พิธีกร โฟนเหมือนกัน แต่อยู่บนเวที
ซึ่งวิธีการพูดก็จะแตกต่างกัน
- อย่าง MC สำเนียงการพูดก็จะออกแนวเน้นนำเสนอสินค้าที่เรามักจะได้ยินกันบ่อยๆตามห้าง
- พิธีกร สำเนียงการพูดจะเน้นพูดช้ากว่า ไม่ค่อยใช้วลีแบบเอ็มซี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่สไตล์ของแต่ละคน
โฟน = ประชาสัมพันธ์ / พูดออกไมค์
ประมาณนี้นะคะ ถ้าอธิบายไม่เข้าใจอย่างไรต้องขออภัยด้วยค่ะ
—
อ่ะมาต่อกันเลยละกัน ^^
MC งานแรกของเมย์เป็นงานสองภาษา คือโฟนเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ สำหรับแบรนด์ชุดชั้นในสุภาพสตรีชั้นนำแบรนด์นึงที่ไม่ใช่แบรนด์ไทย ที่ฝั่งโตคิวห้าง MBK จำได้แม่นเลย เพราะเฟวมากกกก ;D
หน้าที่ของเมย์คือต้องแนะนำชุดชั้นในแต่ละรุ่น รวมไปถึงแจ้งโปรโมชั่นให้ลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ทราบ ประเด็นคือไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้เลยโดยตรง แถมต้องแปลกลับไปกลับมาเป็นสองภาษา ข้อมูลของแต่ละรุ่นก็เยอะมาก และ! ไม่มีสคริปท์ค่ะคุณ!!! จดและจำเอาเองล้วนๆ ก็จะออกแนวงงๆว่าเอ๊ะ!รุ่นนี้อะไรนะ? อ๋อ โอเค ก็จะสตั๊นไปสี่ห้าวิเพื่อนึกข้อมูล และมักจะพูดวกไปวนมาเพราะหาทางลงไม่เจอ 555555555! ผลสรุปคือวันนั้นไม่ได้ค่าตัวค่ะ ซึ่งเราก็โอเค เพราะเรารู้ดีว่าเราพลาด แต่พี่ที่ให้งานเราก็น่ารักนะ ยังใจดีให้ค่ารถเรากลับบ้าน ขอบคุณมากๆค่ะ พี่คือคนแรกที่ให้โอกาสเมย์ในการทำงานด้านนี้ ไม่มีพี่วันนั้น ไม่มีเมย์ในวันนี้แน่นอน
แรกๆก็รับเฉพาะงานเล็กๆ ส่วนใหญ่ก็งานนำเสนอสินค้า งานขายสินค้านี่แหละ บางงานเมย์ไปเป็นพริตตี้ แต่พอพี่เอ็มซีเค้าพักเราก็ขอโฟนให้ฟรี เป็นการฝึกไปในตัว คือพอโดนด่างานแรก ความกล้าในการจับไมค์มันก็มาจากไหนไม่รู้ ;D แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะคนเราจะฉลาดได้ก็ต้องโง่มาก่อน จะมีประสบการณ์ได้ก็ต้องไขว่คว้าหาโอกาส
ทำไปได้ซักพัก เมย์ก็ค้นพบว่าตัวเองไม่ถนัดงานฮาร์ดเซลเอาซะเลย ไม่ถนัดทำยอดขาย ไม่ถนัดพูดเร็ว คือเสียงและความเร็วในการพูดสู้บูธข้างๆไม่ได้เลย ;D พี่ทีมงานหลายๆที่ก็มักจะบอกกับเราว่าน้ำเสียงแบบนี้น่าจะลองไปทำงานพิธีกร และด้วยช่วงนั้นเราก็พอมีประสบการณ์ ความมั่นใจมันก็เพิ่มขึ้น จึงลองรับงานพิธีกรตามงานอีเว้นท์ งานพิธีกรที่เป็นงานทางการและกึ่งทางการดูบ้าง ซึ่งพอได้ลองแล้วเมย์ชอบมาก คือไม่คิดมาก่อนว่างานพิธีกรจะเป็นงานที่เหมาะกับตัวเอง เพราะอย่างที่บอกว่าแต่เดิมเมย์เป็นคนขี้อาย แต่เวลาทำงานเมย์มีความมั่นใจขึ้นมาทันที ต้องขอบคุณความลำบากที่ทำให้เมย์มาถึงจุดนี้ บางทีอะไรที่เราไม่เคยลองหรือไม่เคยคิดจะลอง มันก็อาจจะทำให้เราได้ค้นพบอีกด้านนึงของตัวเองที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมี ^^
สำหรับใครที่อยากลองเข้ามาทำงานในวงการนี้ หรือเพิ่งเริ่มทำ ขอให้ใจเย็นๆ ทุกๆอย่างต้องใช้เวลา และด้วยความที่คู่แข่งเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา เราจะต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เมย์ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ และคำแนะนำของใครก็ไม่ดีเท่ากับเราประสบเอง เพราะคนเรามีวิธีการแก้ปัญหาและเผชิญหน้าที่แตกต่างกันออกไป แต่อย่างนึงที่เมย์อยากจะแนะนำเป็นพิเศษก็คือ ก่อนไปถึงหน้างาน ให้ทานข้าวให้เรียบร้อย ให้พกน้ำเปล่า ปากกา/highlighter และเพลทสคริปท์ไปเองเสมอๆ เพราะเราไม่รู้เลยว่าหน้างานเค้าจะมีอะไรให้เราทานมั้ย หรือเค้าจะยุ่งกันขนาดไหน แต่ที่แน่ๆเราควรจัดการตัวเองให้เรียบร้อยโดยที่ไม่ต้องหวังพึ่งใครหน้างาน เป็นจุดเล็กๆที่จะทำให้เราสามารถทำงานได้ราบรื่นขึ้นและดูมืออาชีพขึ้นด้วยค่ะ
วิวัฒนาการพิธีกรในแต่ละปี
—
ปัจจุบันเมย์ยังคงเป็นฟรีแลนซ์ ที่ทำงานพิธีกรสองภาษาแบบฟูลล์ไทม์ และก็กำลังเรียนภาษาฝรั่งเศสเพิ่ม เพื่อคาดหวังว่าจะสามารถเพิ่มทักษะของตัวเองและนำไปใช้ในหน้าที่การงานได้ไม่มากก็น้อยในอนาคต หวังว่าโพสนี้คงไม่น่าเบื่อจนเกินไป ขอบคุณทุกๆคนที่ให้เกียรติเข้ามาอ่านนะคะ ขอให้ปีหมูปีนี้เป็นปีที่ดีของทุกๆคนค่ะ ^^
ปัจจุบัน
ติดตามผลงานเมย์ได้ตามช่องทางดังต่อไปนี้ค่ะ
Facebook Page : www.facebook.com/emceemaychadanis
Youtube : www.youtube.com/c/chadaniskhamnuan