การปลงอสุภะแบบวิปัสสนากรรมฐาน
การปลงอสุภะ เริ่มจากที่ตื้นๆ ไปหาอยาก
ให้พิจารณาภาพสิ่งที่เห็นนี้เป็นคน เป็นคนที่ถูกทำร้าย เป็นคนมีสภาพที่เป็นอยู่อย่างนี้ ซึ่งมีความเป็นไป
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า เป็นวิบากแห่งกรรมของเขา ซึ่งทำให้เป็นไปเช่นนี้
หลายคนเข้าใจผิด ต้องไปพิจารณาสิ่งที่มันเน่า ขึ้นหนอนอะไรต่างๆ
การปลงอสุภะแบบวิปัสสนาก็คือ ภาพที่ปรากฏนี้ สิ่งที่เป็นอยู่นี้ เนื่องมาจากเหตุอะไร? ให้พิจารณาไปเรื่อยๆ จะเข้าไปสู่ความสูงไปเรื่อยๆ
ขั้นแรกนี้ให้ดูสภาพของศพ ว่าเป็นอย่างไร สวยดี กลางๆ หรือไปในทางไม่น่าดู
ขั้นที่ ๒ จะดูวิบากแห่งเหตุ เหตุเช่นใดถึงเป็นเช่นนี้
ขั้นที่ ๓ ทุกอย่างมีวิบากแห่งเหตุ ถ้าไม่มีแห่งเหตุก็ไม่มีเป็นเช่นนี้
ขั้นที่ ๔ ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน ทีแรกสวยงาม มาเจอเหตุแล้วก็กลายเป็นไม่สวย ไม่สวยเจอเหตุต่อไปก็กลายเป็นเน่าเปื่อย ผุพังไปตามวาระแห่งธรรม ของสังสารวัฏ
ขั้นที่ ๕ ทุกอย่างจะยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนไม่ได้
ขั้นที่ ๖ ก็จะขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึง ๑๒ ขั้น
เราก็จะร้องโอ๋!! ว่า ที่เราเรียกร้องว่าสวย ก็สวยเหมือนกันนะ แต่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามวิบากแห่งกรรม
เราก็ต้องพิจารณาตั้งแต่ต้น คือ สวย แล้วก็พิจารณาว่าถูกทำร้าย แล้วก็เป็นข้อๆ ไป จนถึงข้อที่ ๑๒ แล้วเราก็จะร้องโอ๋!! คำเดียว คือ
สวยหน๋อ!!! แต่ไม่หลงใหล ชื่นชมได้แต่ไม่หลงใหล
สวยหน๋อ!!! แต่ยึดมั่นถือมั่นว่าสวยตลอดกาลไม่ได้
นี่แหละ จะเป็นอย่างนี้
บางคนเจอภาพอสุภะปั้บ!! แล้วก็บอกว่าไม่สวยหนอ!!! อย่างนี้ผิด มันแย้งกัน แย้งสิ่งที่ความเป็นจริง ฉะนั้น ต้องรับความเป็นจริง ให้เห็นความเป็นไป นี่เป็นหลักการง่ายๆ คือ เราต้องรับความเป็นจริงก่อน
แต่ที่ผ่านมาสอนว่าไม่ให้เรารับความเป็นจริงอยู่เรื่อย ในเมื่อเรารับความเป็นจริงแล้ว ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น ข้างนอกจริงแค่ไหน จริงกี่เปอร์เซ็นต์ จริงอะไร
แล้วตรงนี้จริงแค่ไหน พอถึงขั้นที่ ๑๒ ก็คือ เราไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นปัจจุบันจะสวยอย่างนั้นตลอดกาลไม่ได้ เพราะเรารู้ว่าสวยเป็นขั้นตอน เสื่อมเป็นขั้นตอน
นี่แหละ เป็นการรู้ที่เป็นมา เป็นอยู่ และที่จะเป็นไป ถึงจะรู้ครบ นี่แหละ วิสุทธิมรรค เป็นทางที่บริสุทธิ์จริงๆ
แต่ที่ทั่วไปมัวแต่ไปพิจารณาอสุภะอยู่ตรงกลาง หัวก็ไม่รู้ กลางก็ไม่รู้ หางก็ไม่รู้ ตีกันเลย ขัดแย้งกันเลย (ทู่ซี้จะมุดรูเข้าไปให้ได้ มันเข้าไปไม่ได้ เพราะไม่ได้ทำให้ตัวเล็กก่อน ปมยังไม่ทันแก้เลย จะร้อยเชือกเข้าไปให้ได้ จะผ่านรูเข็มไปได้ยังไง)
ถ้ารูปภาพเป็นเช่นนี้ เข้าสู่ขั้นที่ ๖ เป็นการแปรเปลี่ยนธาตุ เปลี่ยนขันธ์แล้ว
ทีแรกเป็นขันธ์สาวสวย แล้วกลายมาเป็นขันธ์เป็นศพ แล้วมาเป็นขันธ์แยกธาตุ จริงแค่ไหน แล้วจนถึงขั้นที่ ๑๒ เป็นไปตามกฎแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกอย่างจะยึดมั่นถือมั่นให้เป็นเช่นนี้ตลอดกาลไม่ได้ เพราะเหตุเปลี่ยนแล้ว ผลก็เปลี่ยนไปตาม
คนเอาแต่ท่องวิสุทธิมรรค แต่ไม่รู้วิสุทธิมรรค คืออะไร ดำเนินการยังไงไม่รู้ เขาเรียกว่า "บ่อเต๋า" (无道) รู้แต่ชื่อแต่ไม่มีเส้นทาง ยกตัวอย่างคนนี้ศึกษาเต๋า แต่บ่อเต๋า คนนี้จบแล้ว คนศึกษาเต๋าได้แต่รู้แต่ไปไม่ได้
นี่แหละ เป็นการพิจารณาอสุภะที่ถูกต้องตามธรรม
ถ้าพิจารณาโครงกระดูกก็เหมือนกัน พิจารณาจากขั้นที่ ๑ ไปถึงขั้นที่ ๑๒
คือพิจารณาจากสภาพที่สวย คือพิจารณาก่อนการเป็นศพ คือ เมื่อก่อนนั้นเนื้อหนังมังสาสวย ดีหมด
ข้อที่ ๑. เกิดขึ้น
ข้อที่ ๒. ตั้งอยู่ ชรา
ข้อที่ ๓. ดับไป
ข้อที่ ๔ ๕ ๖ เริ่มตาย
ข้อที่ ๗ ๘ ๙ เริ่มปลงศพแล้ว ศพกลายเป็นธาตุ
ข้อที่ ๑๐ ๑๑ ๑๒ เป็นขั้นอภิธรรมแล้ว ให้เห็นความเป็นอนิจจัง เห็นว่าสวยแต่ก็คงทนไม่ได้ เหตุเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนเป็นศพ เปลี่ยนเป็นธาตุ เขาเรียกว่าเป็นการปลงอนิจจัง
พอถึงข้อที่ ๑๑ โอ้!! ทุกอย่างเป็นอนัตตา เราควบคุมไม่ได้
ข้อที่ ๑๒ ตถตา เป็นเช่นนี้เอง เป็นไปตามธรรมชาติ
เป็นการปลงแบบ ๓ ต่อ ๓ ไปเรื่อยๆ ๓ x ๔ ก็จะเป็น ๑๒ ขั้น
ถ้าปลงอย่างนี้ก็จะชัดเจน
จากสิ่งที่เราเคยยึดมั่นถือมั่นว่าสวยที่สุด
ทำไมล่ะ ก็อีก ๓ ข้อหลังมันไม่ใช่แล้ว ก็จะกลายเป็นลดความยึดมั่นถือมั่นของเราลงแล้ว
พอถึงขั้นปลงที่เป็นธาตุ หรือเป็นศพแล้ว เราก็จะเห็นได้ชัดเจนเลย
เราต้องแก้ไขแล้ว แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนั้นล่ะ ก็เพราะว่ามีข้อที่ ๑๑-๑๒ เป็นระดับขั้นอภิธรรมแล้ว ว่ามันเป็นเช่นนี้โดยปรมัตถ์ โดยธรรม ไม่มีใครจะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีใครจะควบคุมได้ ที่จะให้ยั่งยืนไปตลอดกาลได้ เป็นอุทธาหรณ์ต่างๆ ได้บอกเรา ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ทำไม่ได้
ฉะนั้น จะต้องรับความเป็นจริงแท้แล้ว
ทีแรกข้อที่ ๑ ถึง ๙ นี้เป็นความจริง
ปลงข้อที่ ๑๑ ถึง ๑๒ เป็นความจริงแท้แล้ว แท้โดยธรรมชาติ โดยธรรม
นี่แหละ เป็นการปลงอสุภะให้ถูกต้อง ปลงอย่างเข้าใจ ถ้าไม่เช่นนั้นก็เป็นการปลงแบบอุปโลกน์ ปลงตรงกลาง เล่นประเภทยัดให้เข้าอยู่เรื่อย รูคนละรูก็ยัดให้เข้าอยู่นั่นแหละ ก็จะเดือดร้อน ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้อานิสงส์เท่าที่ควร
ในคัมภีร์ก็จะบอกการพิจารณาซากศพ ๑๐ อย่าง
เราก็จะมาพิจารณาอยู่ใน ๓ ขั้นตอน เป็นการแปรธาตุ
จากที่ ๑ ถึง ๓ เป็นความสวย ทำให้เรายึดมั่นถือมั่น
พอมาถึงขั้น ๔ ถึง ๖ นี่มันไม่ใช่แล้วนี่ มันต้องแปรเปลี่ยน ต้องแก่ ต้องชรา แล้วต้องตาย ตายแล้วต้องเน่าเปื่อย กลายเป็นศพ
มาข้อที่ ๗ ถึง ๙ ก็จะมาแยกธาตุแล้ว ก็มีหนอนกินเอย ธาตุแปรเปลี่ยนเป็นดิน สลายหมด แม้แต่กระดูกก็ยังสลาย
ทั้งหมดนี้เป็นจริง แต่ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ ก็เพราะว่าแท้ แท้ก็คืออยู่ที่ ขั้น ๑๐ ถึง ๑๒ เพราะว่าอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่สามารถจะคงทนอยู่ได้ ด้วยปัจจัยเหตุเปลี่ยนไป ร่างกายก็ต้องเปลี่ยน
พอเป็นข้อที่ ๑๑ ก็เป็นอนัตตา เราไม่สามารถจะควบคุมอัตตาให้อยู่คงที่ได้ตลอด ให้ถาวรโดยตลอด นี่เป็นโดยธรรม เป็นธรรมชาติกฎเกณฑ์ว่าอย่างนั้น
พออนิจจัง บวกทุกขัง บวกอนัตตา ปั้บ ก็จะเข้าสู่ความเป็นสุญญตาแล้ว
สุญญตาก็คือ ทุกอย่างเป็นไปตามเส้นทางแห่งธรรมอันนี้แล้ว
ทำไมถึงเกิดสุญญตาได้ เพราะว่าทุกอย่างเป็นไปตามภาวะแห่งธรรม ตถตาเช่นนั้นเอง
นี่แหละแยกสัดส่วนชัดเจน ทำให้ไม่สับสน
ข้อที่ ๑ ชาตะ คือ เกิดขึ้น และขณะที่สวยงาม
ข้อที่ ๒ ชรา คือ ตั้งอยู่ ก็ต้องมาแก่ ชราภาพ เจ็บป่วย มีสันตติสืบเนื่องต่อกันไป มีการเปลี่ยนแปลงทุกขณะ
ข้อที่ ๓ มรณะ คือ ดับไปก็ต้องมาตาย
ข้อที่ ๔ ตาย คือ ก็ต้องถอดสังขาร เวลาตายแรกๆ ก็ยังน่าดูออก แต่เหตุเปลี่ยนแล้ว ก็เริ่มแล้ว ก็จะต้องเน่า ต้องเหี่ยว
ข้อที่ ๕ เริ่มแปรสภาพ
ข้อที่ ๖ ระหว่างแปรสภาพ
ข้อที่ ๗ หนอนขึ้น
ข้อที่ ๘ เน่าเฟะ
ข้อที่ ๙ กลายเป็นธาตุ ดินคืนสู่ดิน น้ำคืนสู่น้ำ ไฟคืนสู่ไฟ ลมคืนสู่ลม ธาตุทั้ง ๔ คืนสู่ธรรมชาติหมด
ข้อที่ ๑๐ ก็จะเข้าสู่อภิธรรม ก็จะตั้งคำถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งหมดนี้ที่ผ่านมา ข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๙ ก็จะเป็น ๙ ข้อแห่งความจริง เราเห็นจริง ที่แท้ก็จะอยู่ในกฎแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะต้องแปรเปลี่ยนไปตามกฎไตรลักษณ์นี้ พอเปลี่ยนไปตามผลนี้ก็จะเกิดข้อที่ ๑๑ คือ
ข้อที่ ๑๑ เป็นอนัตตา เราไม่สามารถจะควบคุมอัตตาคงที่อยู่ได้ ต้องแปรเปลี่ยนไปตามกฎของธรรมชาติ
ข้อที่ ๑๒ ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๑๑ คือ สุญญตา แปรเปลี่ยนไปตามธรรมชาติ เช่นนี้เอง ตถตา
ถ้าทำได้อย่างนี้ เข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์เลย ขึ้นอยู่กับว่าเราทำแต่ละขั้นไปฝึกฝนปฏิบัติมาได้ขนาดไหน
รูปแบบการปลงอสุภะนี้ เป็นการปลงแบบปัญญา เป็นวิปัสสนากรรมฐาน จึงจะเกิดอานิสงส์จริงๆ ไม่ใช่เกิดอย่างอานิสงส์แบบอุปโลกน์
บางคนก็ปลงอสุภะมาอยู่หลายวัน หลายเดือน หลายปี แต่ก็เสร็จอสุภะ เพราะว่าบางคนก็ปลงอสุภะแต่ก็มีอารมณ์ไปมีเพศสัมพันธ์เหมือนกัน ขัดแย้งกันมาก
เราปลงอสุภะได้ ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่มีเพศสัมพันธ์แล้วเราไม่ติดในเพศสัมพันธ์ ก็คือชื่นชมแต่ไม่หลงใหล
แต่เวลานี้มีเพศสัมพันธ์แล้วมีความสุข แต่พอไม่มีความสุขนิดหน่อยก็โวยวายมากเลย
"ไม่ได้!! ฉันเบื่อแล้ว ฉันต้องเปลี่ยนคู่นอนแล้ว"
ยกตัวอย่าง เรามีเมียคนๆ นี้ แต่เราต้องมีเพศสัมพันธ์กับเขา ไม่นอกใจ กินน้ำพริกถ้วยเก่า เราจะกินน้ำพริกอย่างไรให้มีความสุข ทั้งๆ ก็ถ้วยเก่านี่แหละ เปรียบเสมือนกับเรากินอาหารปลานิล
เรามีปลานิล เรานำปลานิลมาเป็นอาหาร เรากินปลานิลทุกวันเราก็เบื่อได้ แต่เราจะทำยังไงกินปลานิลนี้ไม่เบื่อ ก็คือนำปลานิลมาทำอาหารหลายอย่าง เช่น
ปลานิลนึ่งมะนาว ปลานิลทอดน้ำปลา ปลานิลผัดพริกแกง ปลานิล ๓ รส ต้มยำปลานิล (น้ำใส) ปลานิลทอดสมุนไพร ปลานิลย่างน้ำปลา ยำมะม่วงปลานิลทอดกรอบ ฉู่ฉี่ปลานิล หมกปลานิล ปลานิลผัดเจี๋ยน (ผัดขิง) ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการปรุง ไม่ใช่ไปเที่ยวหาปลาอยู่นั่นแหละ หาปลากี่ตัวก็คือปลานิลอยู่ดี ขึ้นอยู่กับว่าเราจะปรุงแต่งยังไง เพราะว่าเรายังอยู่ภาวะเช่นนี้
แล้วทำไมเราต้องอยู่ในภาวะเช่นนี้ เพราะว่าเรายังอยู่ในภาวะที่ต้องมีการปรุงแต่ง แล้วเราอยู่ในภาวะที่จะต้องปรุงแต่ง แล้วเราเถียงกับความจริงข้อนี้ว่า ไม่เอา เราไม่อยู่ในภาวะที่จะต้องปรุงแต่ง มันได้ที่ไหน อย่างเช่น ยังไม่ทันแต่งก็ล่อตีไข่แดงไปก่อนแล้ว ไม่บาปหรอกแต่ต้องรับผิดชอบต่อ ถ้าไม่รับผิดชอบก็จะต้องบาป ใจเราก็ไม่สบาย เราทำแล้วเราต้องดูแล
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
การปลงอสุภะแบบวิปัสสนากรรมฐาน
การปลงอสุภะ เริ่มจากที่ตื้นๆ ไปหาอยาก
ให้พิจารณาภาพสิ่งที่เห็นนี้เป็นคน เป็นคนที่ถูกทำร้าย เป็นคนมีสภาพที่เป็นอยู่อย่างนี้ ซึ่งมีความเป็นไป
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า เป็นวิบากแห่งกรรมของเขา ซึ่งทำให้เป็นไปเช่นนี้
หลายคนเข้าใจผิด ต้องไปพิจารณาสิ่งที่มันเน่า ขึ้นหนอนอะไรต่างๆ
การปลงอสุภะแบบวิปัสสนาก็คือ ภาพที่ปรากฏนี้ สิ่งที่เป็นอยู่นี้ เนื่องมาจากเหตุอะไร? ให้พิจารณาไปเรื่อยๆ จะเข้าไปสู่ความสูงไปเรื่อยๆ
ขั้นแรกนี้ให้ดูสภาพของศพ ว่าเป็นอย่างไร สวยดี กลางๆ หรือไปในทางไม่น่าดู
ขั้นที่ ๒ จะดูวิบากแห่งเหตุ เหตุเช่นใดถึงเป็นเช่นนี้
ขั้นที่ ๓ ทุกอย่างมีวิบากแห่งเหตุ ถ้าไม่มีแห่งเหตุก็ไม่มีเป็นเช่นนี้
ขั้นที่ ๔ ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน ทีแรกสวยงาม มาเจอเหตุแล้วก็กลายเป็นไม่สวย ไม่สวยเจอเหตุต่อไปก็กลายเป็นเน่าเปื่อย ผุพังไปตามวาระแห่งธรรม ของสังสารวัฏ
ขั้นที่ ๕ ทุกอย่างจะยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนไม่ได้
ขั้นที่ ๖ ก็จะขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึง ๑๒ ขั้น
เราก็จะร้องโอ๋!! ว่า ที่เราเรียกร้องว่าสวย ก็สวยเหมือนกันนะ แต่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามวิบากแห่งกรรม
เราก็ต้องพิจารณาตั้งแต่ต้น คือ สวย แล้วก็พิจารณาว่าถูกทำร้าย แล้วก็เป็นข้อๆ ไป จนถึงข้อที่ ๑๒ แล้วเราก็จะร้องโอ๋!! คำเดียว คือ
สวยหน๋อ!!! แต่ไม่หลงใหล ชื่นชมได้แต่ไม่หลงใหล
สวยหน๋อ!!! แต่ยึดมั่นถือมั่นว่าสวยตลอดกาลไม่ได้
นี่แหละ จะเป็นอย่างนี้
บางคนเจอภาพอสุภะปั้บ!! แล้วก็บอกว่าไม่สวยหนอ!!! อย่างนี้ผิด มันแย้งกัน แย้งสิ่งที่ความเป็นจริง ฉะนั้น ต้องรับความเป็นจริง ให้เห็นความเป็นไป นี่เป็นหลักการง่ายๆ คือ เราต้องรับความเป็นจริงก่อน
แต่ที่ผ่านมาสอนว่าไม่ให้เรารับความเป็นจริงอยู่เรื่อย ในเมื่อเรารับความเป็นจริงแล้ว ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น ข้างนอกจริงแค่ไหน จริงกี่เปอร์เซ็นต์ จริงอะไร
แล้วตรงนี้จริงแค่ไหน พอถึงขั้นที่ ๑๒ ก็คือ เราไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นปัจจุบันจะสวยอย่างนั้นตลอดกาลไม่ได้ เพราะเรารู้ว่าสวยเป็นขั้นตอน เสื่อมเป็นขั้นตอน
นี่แหละ เป็นการรู้ที่เป็นมา เป็นอยู่ และที่จะเป็นไป ถึงจะรู้ครบ นี่แหละ วิสุทธิมรรค เป็นทางที่บริสุทธิ์จริงๆ
แต่ที่ทั่วไปมัวแต่ไปพิจารณาอสุภะอยู่ตรงกลาง หัวก็ไม่รู้ กลางก็ไม่รู้ หางก็ไม่รู้ ตีกันเลย ขัดแย้งกันเลย (ทู่ซี้จะมุดรูเข้าไปให้ได้ มันเข้าไปไม่ได้ เพราะไม่ได้ทำให้ตัวเล็กก่อน ปมยังไม่ทันแก้เลย จะร้อยเชือกเข้าไปให้ได้ จะผ่านรูเข็มไปได้ยังไง)
ถ้ารูปภาพเป็นเช่นนี้ เข้าสู่ขั้นที่ ๖ เป็นการแปรเปลี่ยนธาตุ เปลี่ยนขันธ์แล้ว
ทีแรกเป็นขันธ์สาวสวย แล้วกลายมาเป็นขันธ์เป็นศพ แล้วมาเป็นขันธ์แยกธาตุ จริงแค่ไหน แล้วจนถึงขั้นที่ ๑๒ เป็นไปตามกฎแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกอย่างจะยึดมั่นถือมั่นให้เป็นเช่นนี้ตลอดกาลไม่ได้ เพราะเหตุเปลี่ยนแล้ว ผลก็เปลี่ยนไปตาม
คนเอาแต่ท่องวิสุทธิมรรค แต่ไม่รู้วิสุทธิมรรค คืออะไร ดำเนินการยังไงไม่รู้ เขาเรียกว่า "บ่อเต๋า" (无道) รู้แต่ชื่อแต่ไม่มีเส้นทาง ยกตัวอย่างคนนี้ศึกษาเต๋า แต่บ่อเต๋า คนนี้จบแล้ว คนศึกษาเต๋าได้แต่รู้แต่ไปไม่ได้
นี่แหละ เป็นการพิจารณาอสุภะที่ถูกต้องตามธรรม
ถ้าพิจารณาโครงกระดูกก็เหมือนกัน พิจารณาจากขั้นที่ ๑ ไปถึงขั้นที่ ๑๒
คือพิจารณาจากสภาพที่สวย คือพิจารณาก่อนการเป็นศพ คือ เมื่อก่อนนั้นเนื้อหนังมังสาสวย ดีหมด
ข้อที่ ๑. เกิดขึ้น
ข้อที่ ๒. ตั้งอยู่ ชรา
ข้อที่ ๓. ดับไป
ข้อที่ ๔ ๕ ๖ เริ่มตาย
ข้อที่ ๗ ๘ ๙ เริ่มปลงศพแล้ว ศพกลายเป็นธาตุ
ข้อที่ ๑๐ ๑๑ ๑๒ เป็นขั้นอภิธรรมแล้ว ให้เห็นความเป็นอนิจจัง เห็นว่าสวยแต่ก็คงทนไม่ได้ เหตุเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนเป็นศพ เปลี่ยนเป็นธาตุ เขาเรียกว่าเป็นการปลงอนิจจัง
พอถึงข้อที่ ๑๑ โอ้!! ทุกอย่างเป็นอนัตตา เราควบคุมไม่ได้
ข้อที่ ๑๒ ตถตา เป็นเช่นนี้เอง เป็นไปตามธรรมชาติ
เป็นการปลงแบบ ๓ ต่อ ๓ ไปเรื่อยๆ ๓ x ๔ ก็จะเป็น ๑๒ ขั้น
ถ้าปลงอย่างนี้ก็จะชัดเจน
จากสิ่งที่เราเคยยึดมั่นถือมั่นว่าสวยที่สุด
ทำไมล่ะ ก็อีก ๓ ข้อหลังมันไม่ใช่แล้ว ก็จะกลายเป็นลดความยึดมั่นถือมั่นของเราลงแล้ว
พอถึงขั้นปลงที่เป็นธาตุ หรือเป็นศพแล้ว เราก็จะเห็นได้ชัดเจนเลย
เราต้องแก้ไขแล้ว แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนั้นล่ะ ก็เพราะว่ามีข้อที่ ๑๑-๑๒ เป็นระดับขั้นอภิธรรมแล้ว ว่ามันเป็นเช่นนี้โดยปรมัตถ์ โดยธรรม ไม่มีใครจะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีใครจะควบคุมได้ ที่จะให้ยั่งยืนไปตลอดกาลได้ เป็นอุทธาหรณ์ต่างๆ ได้บอกเรา ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ทำไม่ได้
ฉะนั้น จะต้องรับความเป็นจริงแท้แล้ว
ทีแรกข้อที่ ๑ ถึง ๙ นี้เป็นความจริง
ปลงข้อที่ ๑๑ ถึง ๑๒ เป็นความจริงแท้แล้ว แท้โดยธรรมชาติ โดยธรรม
นี่แหละ เป็นการปลงอสุภะให้ถูกต้อง ปลงอย่างเข้าใจ ถ้าไม่เช่นนั้นก็เป็นการปลงแบบอุปโลกน์ ปลงตรงกลาง เล่นประเภทยัดให้เข้าอยู่เรื่อย รูคนละรูก็ยัดให้เข้าอยู่นั่นแหละ ก็จะเดือดร้อน ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้อานิสงส์เท่าที่ควร
ในคัมภีร์ก็จะบอกการพิจารณาซากศพ ๑๐ อย่าง
เราก็จะมาพิจารณาอยู่ใน ๓ ขั้นตอน เป็นการแปรธาตุ
จากที่ ๑ ถึง ๓ เป็นความสวย ทำให้เรายึดมั่นถือมั่น
พอมาถึงขั้น ๔ ถึง ๖ นี่มันไม่ใช่แล้วนี่ มันต้องแปรเปลี่ยน ต้องแก่ ต้องชรา แล้วต้องตาย ตายแล้วต้องเน่าเปื่อย กลายเป็นศพ
มาข้อที่ ๗ ถึง ๙ ก็จะมาแยกธาตุแล้ว ก็มีหนอนกินเอย ธาตุแปรเปลี่ยนเป็นดิน สลายหมด แม้แต่กระดูกก็ยังสลาย
ทั้งหมดนี้เป็นจริง แต่ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ ก็เพราะว่าแท้ แท้ก็คืออยู่ที่ ขั้น ๑๐ ถึง ๑๒ เพราะว่าอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่สามารถจะคงทนอยู่ได้ ด้วยปัจจัยเหตุเปลี่ยนไป ร่างกายก็ต้องเปลี่ยน
พอเป็นข้อที่ ๑๑ ก็เป็นอนัตตา เราไม่สามารถจะควบคุมอัตตาให้อยู่คงที่ได้ตลอด ให้ถาวรโดยตลอด นี่เป็นโดยธรรม เป็นธรรมชาติกฎเกณฑ์ว่าอย่างนั้น
พออนิจจัง บวกทุกขัง บวกอนัตตา ปั้บ ก็จะเข้าสู่ความเป็นสุญญตาแล้ว
สุญญตาก็คือ ทุกอย่างเป็นไปตามเส้นทางแห่งธรรมอันนี้แล้ว
ทำไมถึงเกิดสุญญตาได้ เพราะว่าทุกอย่างเป็นไปตามภาวะแห่งธรรม ตถตาเช่นนั้นเอง
นี่แหละแยกสัดส่วนชัดเจน ทำให้ไม่สับสน
ข้อที่ ๑ ชาตะ คือ เกิดขึ้น และขณะที่สวยงาม
ข้อที่ ๒ ชรา คือ ตั้งอยู่ ก็ต้องมาแก่ ชราภาพ เจ็บป่วย มีสันตติสืบเนื่องต่อกันไป มีการเปลี่ยนแปลงทุกขณะ
ข้อที่ ๓ มรณะ คือ ดับไปก็ต้องมาตาย
ข้อที่ ๔ ตาย คือ ก็ต้องถอดสังขาร เวลาตายแรกๆ ก็ยังน่าดูออก แต่เหตุเปลี่ยนแล้ว ก็เริ่มแล้ว ก็จะต้องเน่า ต้องเหี่ยว
ข้อที่ ๕ เริ่มแปรสภาพ
ข้อที่ ๖ ระหว่างแปรสภาพ
ข้อที่ ๗ หนอนขึ้น
ข้อที่ ๘ เน่าเฟะ
ข้อที่ ๙ กลายเป็นธาตุ ดินคืนสู่ดิน น้ำคืนสู่น้ำ ไฟคืนสู่ไฟ ลมคืนสู่ลม ธาตุทั้ง ๔ คืนสู่ธรรมชาติหมด
ข้อที่ ๑๐ ก็จะเข้าสู่อภิธรรม ก็จะตั้งคำถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งหมดนี้ที่ผ่านมา ข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๙ ก็จะเป็น ๙ ข้อแห่งความจริง เราเห็นจริง ที่แท้ก็จะอยู่ในกฎแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะต้องแปรเปลี่ยนไปตามกฎไตรลักษณ์นี้ พอเปลี่ยนไปตามผลนี้ก็จะเกิดข้อที่ ๑๑ คือ
ข้อที่ ๑๑ เป็นอนัตตา เราไม่สามารถจะควบคุมอัตตาคงที่อยู่ได้ ต้องแปรเปลี่ยนไปตามกฎของธรรมชาติ
ข้อที่ ๑๒ ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๑๑ คือ สุญญตา แปรเปลี่ยนไปตามธรรมชาติ เช่นนี้เอง ตถตา
ถ้าทำได้อย่างนี้ เข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์เลย ขึ้นอยู่กับว่าเราทำแต่ละขั้นไปฝึกฝนปฏิบัติมาได้ขนาดไหน
รูปแบบการปลงอสุภะนี้ เป็นการปลงแบบปัญญา เป็นวิปัสสนากรรมฐาน จึงจะเกิดอานิสงส์จริงๆ ไม่ใช่เกิดอย่างอานิสงส์แบบอุปโลกน์
บางคนก็ปลงอสุภะมาอยู่หลายวัน หลายเดือน หลายปี แต่ก็เสร็จอสุภะ เพราะว่าบางคนก็ปลงอสุภะแต่ก็มีอารมณ์ไปมีเพศสัมพันธ์เหมือนกัน ขัดแย้งกันมาก
เราปลงอสุภะได้ ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่มีเพศสัมพันธ์แล้วเราไม่ติดในเพศสัมพันธ์ ก็คือชื่นชมแต่ไม่หลงใหล
แต่เวลานี้มีเพศสัมพันธ์แล้วมีความสุข แต่พอไม่มีความสุขนิดหน่อยก็โวยวายมากเลย
"ไม่ได้!! ฉันเบื่อแล้ว ฉันต้องเปลี่ยนคู่นอนแล้ว"
ยกตัวอย่าง เรามีเมียคนๆ นี้ แต่เราต้องมีเพศสัมพันธ์กับเขา ไม่นอกใจ กินน้ำพริกถ้วยเก่า เราจะกินน้ำพริกอย่างไรให้มีความสุข ทั้งๆ ก็ถ้วยเก่านี่แหละ เปรียบเสมือนกับเรากินอาหารปลานิล
เรามีปลานิล เรานำปลานิลมาเป็นอาหาร เรากินปลานิลทุกวันเราก็เบื่อได้ แต่เราจะทำยังไงกินปลานิลนี้ไม่เบื่อ ก็คือนำปลานิลมาทำอาหารหลายอย่าง เช่น
ปลานิลนึ่งมะนาว ปลานิลทอดน้ำปลา ปลานิลผัดพริกแกง ปลานิล ๓ รส ต้มยำปลานิล (น้ำใส) ปลานิลทอดสมุนไพร ปลานิลย่างน้ำปลา ยำมะม่วงปลานิลทอดกรอบ ฉู่ฉี่ปลานิล หมกปลานิล ปลานิลผัดเจี๋ยน (ผัดขิง) ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการปรุง ไม่ใช่ไปเที่ยวหาปลาอยู่นั่นแหละ หาปลากี่ตัวก็คือปลานิลอยู่ดี ขึ้นอยู่กับว่าเราจะปรุงแต่งยังไง เพราะว่าเรายังอยู่ภาวะเช่นนี้
แล้วทำไมเราต้องอยู่ในภาวะเช่นนี้ เพราะว่าเรายังอยู่ในภาวะที่ต้องมีการปรุงแต่ง แล้วเราอยู่ในภาวะที่จะต้องปรุงแต่ง แล้วเราเถียงกับความจริงข้อนี้ว่า ไม่เอา เราไม่อยู่ในภาวะที่จะต้องปรุงแต่ง มันได้ที่ไหน อย่างเช่น ยังไม่ทันแต่งก็ล่อตีไข่แดงไปก่อนแล้ว ไม่บาปหรอกแต่ต้องรับผิดชอบต่อ ถ้าไม่รับผิดชอบก็จะต้องบาป ใจเราก็ไม่สบาย เราทำแล้วเราต้องดูแล
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์