ข้อที่ ๑ ชาตะ คือ เกิดขึ้น และขณะที่สวยงาม สิ่งที่ปรากฏให้เราเห็นหากว่าเป็นผู้หญิงรูปร่างสวยงาม หรือผู้ชายที่รูปร่างหล่อเหลา เราก็ต้องยอมรับความจริงเช่นนี้ว่า ทั้งผู้หญิงสวยงามและผู้ชายหล่อเหลา ไม่ใช่ว่าไปจินตนาการคิดเอาว่า เขาไม่สวยไม่หล่อ ซึ่งทำอย่างนี้ไม่ตรงกับความเป็นจริงแห่งภาวะธรรมนี้
แต่เราคิดอย่างนี้ได้ว่า ความสวยความหล่อเป็นสิ่งไม่ยั่งยืน ต้องมีการแปรเปลี่ยนไป ไม่คงทน ฉะนั้น เราชื่นชมแต่ไม่หลงใหล
ข้อที่ ๒ ชรา คือ ระหว่างตั้งอยู่ย่อมมีการแปรเปลี่ยน จากวัยหนุ่มสาวมาเป็นวัยผู้ใหญ่ และเข้าสู่วัยชรา แก่เฒ่า ไม่มีคงความเป็นหนุ่มสาวตลอดกาล
และจะต้องมีโรคาพยาธิ มีการเจ็บป่วย เป็นโรคนั้นโรคนี้ ป่วยอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นต้น ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงทุกขะ
ข้อที่ ๓ มรณะ คือ ลมหายใจดับไปก็ต้องมาตาย
ข้อที่ ๔ ตายกลายเป็นศพ คือ ก็ต้องถอดสังขาร เวลาตายแรกๆ ก็ยังน่าดูออก แต่เหตุเปลี่ยนแล้ว ก็เริ่มแล้ว ก็จะต้องเน่า ต้องเหี่ยว เมื่อจิตเราถอดออกสังขารร่างกาย เวลาตายใหม่ๆ ก็ยังน่าดู แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป เหตุเปลี่ยน ผลก็ต้องเปลี่ยนก็จะเริ่มเหี่ยว
ข้อที่ ๕ เริ่มขึ้นอืด
ข้อที่ ๖ แปรสภาพ
ข้อที่ ๗ หนอนขึ้น
ข้อที่ ๘ เน่าเฟะ
ข้อที่ ๙ กลายเป็นธาตุ ดินคืนสู่ดิน น้ำคืนสู่น้ำ ไฟคืนสู่ไฟ ลมคืนสู่ลม ธาตุทั้ง ๔ คืนสู่ธรรมชาติหมด
ข้อที่ ๑๐ ก็จะเข้าสู่อภิธรรม ก็จะตั้งคำถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งหมดนี้ที่ผ่านมา ข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๙ ก็จะเป็น ๙ ข้อแห่งความจริง เราเห็นจริง ที่แท้ก็จะอยู่ในกฎแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะต้องแปรเปลี่ยนไปตามกฎไตรลักษณ์นี้ พอเปลี่ยนไปตามผลนี้ก็จะเกิดข้อที่ ๑๑ คือ
ข้อที่ ๑๑ เป็นอนัตตา เราไม่สามารถจะควบคุมอัตตาคงที่อยู่ได้ ต้องแปรเปลี่ยนไปตามกฎของธรรมชาติ
ข้อที่ ๑๒ ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๑๑ คือ สุญญตา แปรเปลี่ยนไปตามธรรมชาติ เช่นนี้เอง ตถตา
ขั้นแรกนี้ให้ดูสภาพ ว่าเป็นอย่างไร สวยดี กลางๆ หรือไปในทางไม่น่าดู
ขั้นที่ ๒ จะดูวิบากแห่งเหตุ เหตุเช่นใดถึงเป็นเช่นนี้
ขั้นที่ ๓ ทุกอย่างมีวิบากแห่งเหตุ ถ้าไม่มีแห่งเหตุก็ไม่มีเป็นเช่นนี้
ขั้นที่ ๔ ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน ทีแรกสวยงาม มาเจอเหตุแล้วก็กลายเป็นไม่สวย ไม่สวยเจอเหตุต่อไปก็กลายเป็นเน่าเปื่อย ผุพังไปตามวาระแห่งธรรม ของสังสารวัฏ
ขั้นที่ ๕ ทุกอย่างจะยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนไม่ได้
ขั้นที่ ๖ ก็จะขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึง ๑๒ ขั้น
ในคัมภีร์ก็จะบอกการพิจารณาซากศพ ๑๐ อย่าง
เราก็จะมาพิจารณาอยู่ใน ๓ ขั้นตอน เป็นการแปรธาตุ
จากที่ ๑ ถึง ๓ เป็นความสวย ทำให้เรายึดมั่นถือมั่น
พอมาถึงขั้น ๔ ถึง ๖ นี่มันไม่ใช่แล้วนี่ มันต้องแปรเปลี่ยน ต้องแก่ ต้องชรา แล้วต้องตาย ตายแล้วต้องเน่าเปื่อย กลายเป็นศพ
มาข้อที่ ๗ ถึง ๙ ก็จะมาแยกธาตุแล้ว ก็มีหนอนกินเอย ธาตุแปรเปลี่ยนเป็นดิน สลายหมด แม้แต่กระดูกก็ยังสลาย
ทั้งหมดนี้เป็นจริง แต่ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ ก็เพราะว่าแท้ แท้ก็คืออยู่ที่ ขั้น ๑๐ ถึง ๑๒ เพราะว่าอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่สามารถจะคงทนอยู่ได้ ด้วยปัจจัยเหตุเปลี่ยนไป ร่างกายก็ต้องเปลี่ยน
พอเป็นข้อที่ ๑๑ ก็เป็นอนัตตา เราไม่สามารถจะควบคุมอัตตาให้อยู่คงที่ได้ตลอด ให้ถาวรโดยตลอด นี่เป็นโดยธรรม เป็นธรรมชาติกฎเกณฑ์ว่าอย่างนั้น
พออนิจจัง บวกทุกขัง บวกอนัตตา ปั้บ ก็จะเข้าสู่ความเป็นสุญญตาแล้ว
สุญญตาก็คือ ทุกอย่างเป็นไปตามเส้นทางแห่งธรรมอันนี้แล้ว
ทำไมถึงเกิดสุญญตาได้ เพราะว่าทุกอย่างเป็นไปตามภาวะแห่งธรรม ตถตาเช่นนั้นเอง
นี่แหละแยกสัดส่วนชัดเจน ทำให้ไม่สับสน
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
วิธีปลง อสุภะ
แต่เราคิดอย่างนี้ได้ว่า ความสวยความหล่อเป็นสิ่งไม่ยั่งยืน ต้องมีการแปรเปลี่ยนไป ไม่คงทน ฉะนั้น เราชื่นชมแต่ไม่หลงใหล
ข้อที่ ๒ ชรา คือ ระหว่างตั้งอยู่ย่อมมีการแปรเปลี่ยน จากวัยหนุ่มสาวมาเป็นวัยผู้ใหญ่ และเข้าสู่วัยชรา แก่เฒ่า ไม่มีคงความเป็นหนุ่มสาวตลอดกาล
และจะต้องมีโรคาพยาธิ มีการเจ็บป่วย เป็นโรคนั้นโรคนี้ ป่วยอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นต้น ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงทุกขะ
ข้อที่ ๓ มรณะ คือ ลมหายใจดับไปก็ต้องมาตาย
ข้อที่ ๔ ตายกลายเป็นศพ คือ ก็ต้องถอดสังขาร เวลาตายแรกๆ ก็ยังน่าดูออก แต่เหตุเปลี่ยนแล้ว ก็เริ่มแล้ว ก็จะต้องเน่า ต้องเหี่ยว เมื่อจิตเราถอดออกสังขารร่างกาย เวลาตายใหม่ๆ ก็ยังน่าดู แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป เหตุเปลี่ยน ผลก็ต้องเปลี่ยนก็จะเริ่มเหี่ยว
ข้อที่ ๕ เริ่มขึ้นอืด
ข้อที่ ๖ แปรสภาพ
ข้อที่ ๗ หนอนขึ้น
ข้อที่ ๘ เน่าเฟะ
ข้อที่ ๙ กลายเป็นธาตุ ดินคืนสู่ดิน น้ำคืนสู่น้ำ ไฟคืนสู่ไฟ ลมคืนสู่ลม ธาตุทั้ง ๔ คืนสู่ธรรมชาติหมด
ข้อที่ ๑๐ ก็จะเข้าสู่อภิธรรม ก็จะตั้งคำถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งหมดนี้ที่ผ่านมา ข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๙ ก็จะเป็น ๙ ข้อแห่งความจริง เราเห็นจริง ที่แท้ก็จะอยู่ในกฎแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะต้องแปรเปลี่ยนไปตามกฎไตรลักษณ์นี้ พอเปลี่ยนไปตามผลนี้ก็จะเกิดข้อที่ ๑๑ คือ
ข้อที่ ๑๑ เป็นอนัตตา เราไม่สามารถจะควบคุมอัตตาคงที่อยู่ได้ ต้องแปรเปลี่ยนไปตามกฎของธรรมชาติ
ข้อที่ ๑๒ ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๑๑ คือ สุญญตา แปรเปลี่ยนไปตามธรรมชาติ เช่นนี้เอง ตถตา
ขั้นแรกนี้ให้ดูสภาพ ว่าเป็นอย่างไร สวยดี กลางๆ หรือไปในทางไม่น่าดู
ขั้นที่ ๒ จะดูวิบากแห่งเหตุ เหตุเช่นใดถึงเป็นเช่นนี้
ขั้นที่ ๓ ทุกอย่างมีวิบากแห่งเหตุ ถ้าไม่มีแห่งเหตุก็ไม่มีเป็นเช่นนี้
ขั้นที่ ๔ ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน ทีแรกสวยงาม มาเจอเหตุแล้วก็กลายเป็นไม่สวย ไม่สวยเจอเหตุต่อไปก็กลายเป็นเน่าเปื่อย ผุพังไปตามวาระแห่งธรรม ของสังสารวัฏ
ขั้นที่ ๕ ทุกอย่างจะยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนไม่ได้
ขั้นที่ ๖ ก็จะขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึง ๑๒ ขั้น
ในคัมภีร์ก็จะบอกการพิจารณาซากศพ ๑๐ อย่าง
เราก็จะมาพิจารณาอยู่ใน ๓ ขั้นตอน เป็นการแปรธาตุ
จากที่ ๑ ถึง ๓ เป็นความสวย ทำให้เรายึดมั่นถือมั่น
พอมาถึงขั้น ๔ ถึง ๖ นี่มันไม่ใช่แล้วนี่ มันต้องแปรเปลี่ยน ต้องแก่ ต้องชรา แล้วต้องตาย ตายแล้วต้องเน่าเปื่อย กลายเป็นศพ
มาข้อที่ ๗ ถึง ๙ ก็จะมาแยกธาตุแล้ว ก็มีหนอนกินเอย ธาตุแปรเปลี่ยนเป็นดิน สลายหมด แม้แต่กระดูกก็ยังสลาย
ทั้งหมดนี้เป็นจริง แต่ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ ก็เพราะว่าแท้ แท้ก็คืออยู่ที่ ขั้น ๑๐ ถึง ๑๒ เพราะว่าอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่สามารถจะคงทนอยู่ได้ ด้วยปัจจัยเหตุเปลี่ยนไป ร่างกายก็ต้องเปลี่ยน
พอเป็นข้อที่ ๑๑ ก็เป็นอนัตตา เราไม่สามารถจะควบคุมอัตตาให้อยู่คงที่ได้ตลอด ให้ถาวรโดยตลอด นี่เป็นโดยธรรม เป็นธรรมชาติกฎเกณฑ์ว่าอย่างนั้น
พออนิจจัง บวกทุกขัง บวกอนัตตา ปั้บ ก็จะเข้าสู่ความเป็นสุญญตาแล้ว
สุญญตาก็คือ ทุกอย่างเป็นไปตามเส้นทางแห่งธรรมอันนี้แล้ว
ทำไมถึงเกิดสุญญตาได้ เพราะว่าทุกอย่างเป็นไปตามภาวะแห่งธรรม ตถตาเช่นนั้นเอง
นี่แหละแยกสัดส่วนชัดเจน ทำให้ไม่สับสน
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต