ผมมีลูกสาว 2 คน วัย 3 ขวบและ 5 ขวบ เด็กทั้งสองเข้าโรงเรียนแล้วทั้งคู่ แต่ก็เรียกได้ว่าอยู่ในวัยซนพอสมควร ... กิจวัตรของเราเป็นดังนี้ ภรรยาผมเธอมีหน้าที่ไปส่งเด็กๆไปโรงเรียนทุกเช้า ผมมีหน้าที่ไปรับเด็กๆกลับจากโรงเรียน ซึ่งช่วงเย็นๆผมจะมีเวลาอยู่กับลูกๆแบบเต็มๆ ไปดูกันครับว่าผมติววิชาไหนให้ลูกบ้าง
.
.
วิชาสวนสาธารณะ
.
ในทุกสัปดาห์จะมี 1 วันที่ผมจะพาลูกสาวทั้งสองไปเล่นที่สวนสาธารณะ แน่นอนว่าเด็กๆกับพวกสไลเดอร์ชิงช้านั้นเป็นของคู่กันไปเล่นของเล่นไปนั่งชิงช้า สิ่งที่เด็กๆได้จากเครื่องเล่นเหล่านี้คือ เพื่อนใหม่ๆ ที่เด็กๆทำความรู้จักกันเองหรือแม้แต่มาเจอเพื่อที่โรงเรียน เรียนรู้การแบ่งปันและการรอคอยเพราะบ่อยครั้งที่เครื่องเล่นเหล่านี้จะเต็มไปด้วยเด็กๆ การจะได้เล่นครบทุกคนก็ต้องผลัดกันเล่นแบ่งกันเล่นและรอคอย รวมถึงเราสามารถสอนเด็กๆไดว่าทำอย่างไรเมื่อเล่นด้วยกันหลายๆคนแล้วจะไม่บาดเจ็บ
.
สวนสาธารณะนอกจากจะมีเครื่องเล่นแล้วยังมีน้ำพุ มีทางเดินมีต้นไม้มีทางให้เดินให้วิ่ง ให้ทำผมพาเด็กๆทำ
“กิจกรรมวิ่งแบบมโนไปเรื่อยๆ” ได้สบายๆ มโนยังไงอย่างเช่น เดินๆไปมีเส้นต่อเนื่องกันแบบถนนคอนกรีต ผมก็บอกลูกว่านี่เป็นกิจกรรมด่านกระโดดข้ามเส้นห้ามเหยียบเส้นเด็กขาด พอไปเจอทางเรียบก็นี่เป็นกิจกรรมวิ่งสปิดวิ่งเต็มที่เลย ไปเจอหินก็บอกว่านี่คือด่านปีนหิน เด็กๆก็สนุกได้เหงื่อ ได้ความแข็งแรงของร่างกาย ... มา 10 รอบก็เรียนรู้ 10 เรื่อง เด็กๆมีเรื่องถามได้ตลอดต้นไม้ต้นนี้ต้นอะไรมีลูกมั้ย กินได้มั้ย ทำไมมีน้ำพุ นี่คืออะไร เอาไว้ทำไม ฯลฯ ... แรกๆก็ร้องให้อุ้ม แต่ครั้งหลังๆเด็กวิ่งๆเดินๆได้เป็นกิโลๆ โดยไม่ต้องอุ้ม
.
.
วิชาทักษะการเอาตัวรอด
.
สำหรับผมข้อนี้จริงจังและจำเป็นมาก ตอนนี้ผมเน้น 2 อย่างคือ การว่ายน้ำ และ สัตว์มีพิษ
.
ทักษะการว่ายน้ำ ... ทุกวันเสาร์และอาทิตย์เด็กๆและผมจะเข้าไปอยู่ที่บ้านสวน ซึ่งบ้านสวนนี้จะมีบ่อน้ำ บ่อปลา ให้ได้เป็นกังวลได้ตลอด ผมจึงส่งลูกสาวคนโตไปเรียนว่ายน้ำตัวต่อตัวกับครู เรียนทุกวันเสาร์(จริงๆก็อยากส่งคนเล็กด้วยแต่ครูยังไม่รับ) ผมขับรถไปกลับร่วม 2 ชั่วโมงเพื่อไปเรียน แต่ผมก็มองว่ายังไม่ก็ต้องไป ทักษะว่ายน้ำนี้มันจำเป็นที่สุดเพราะจากบ้านสวนของผม ถ้าพลาดแค่ครั้งเดียวอาจจะถึงแก่ชีวิตได้เลย เรียนมาหลายเดือน ตอนนี้เริ่มเห็นผล ลอยคอได้ ว่ายฟรีสไตล์โดยไม่ต้องช่วยได้สัก 4-5 เมตรแล้ว คาดว่าจะส่งเรียนต่อไปเรื่อยๆ
.
สัตว์มีพิษ … บ้านสวนของผมชุกชมไปด้วยสรรพสัตว์ มีไก่ป่าขันให้ได้ยินทุกเช้า ค่ำๆขับรถเข้าบ้านผมเจอกระต่ายป่ากระโดตัดหน้ารถบ่อยๆ รวมถึงสัตว์มีพิษ รังผึ้ง รังแตน พบเห็นได้เรื่อยๆในสวน สว่นตัวผมผมเคยโดนแมงป่องต่อยในบ้านเลย แม่ผมเคยโดนตะขาบต่อยในบ้านเลยเช่นกัน หมาผมตาบอดเพราะพิษจากงูเห่า(หมา 2 รุมกัด หมาผมตาบอด 1 ตัว แต่งูก็โดนกัดตาย) ผมจับเด็กๆมาเปิดรูปให้ดูถึงสัตว์มีพิษชนิดต่างๆที่ควรระมัดระวังและบอกเล่าให้พวกเขาฟังถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เจอต้องออกห่างให้เร็วที่สุดและรีบบอกผู้ใหญ่ ... หลานชายผมคนนึงวัย 4 ขวบ อยู่บ้านในสวนนี้เช่นกัน ซนเอานิ้วไปแหย่ตุ๊กแก ผลคือตุ๊กแกงับนิ้วเป็นแผลเลือดออก ร้องจ๊ากเลย!!!
.
.
วิชาสาระความรู้
.
ผมโชคดีอยู่บ้างที่ลูกสาวผมชอบเรียนพอสมควร เรียกร้องอยากจะเรียนเพิ่มเติมตลอด เช่น เมื่อวานไม่รู้คึกมาจากไหนบอกผมตั้งแต่ผมไปรับเลยว่า
“ป๊า วันนี้เรียนพิเศษกัน หนูจะทำ 10 หน้าเลย” ผมก็หันไปถามลูกคนเล็กว่าวันนี้ทำกี่หน้าดี
“หนูทำ 3 หน้า” พร้อมชูนิ้ว นี่ก็เยอะแล้วสำหรับคนนี้ 555+ ... ถ้าอยู่ในโหมดเรียนวิชาเหล่านี้ ต้องลากโต๊ะญี่ปุ่นมาให้เด็กๆนั่งคนละตัวเลย หรือถ้าวิชาไหนเข้มๆที่หนังสือแยกกัน ผมอาจจะคนเดียวสอนไม่ได้ต้องรอภรรยากลับมาแยกสอนคนละคน
.
เรียนภาษา ... เรื่องของการเรียนภาษานี้เริ่มจากลูกสาวคนโต วันหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อนตอนที่ผมไปรับเธอกลับจากโรงเรียนว่า
“ป๊า วันนี้มีครูชาวต่างชาติ ชื่อทีชเชอร์เรนมาสอนที่โรงเรียน แต่หนูคุยกับครูเขาไม่ได้เลย หนูอยากคุยกับครูเขาได้อ่ะป๊า!!!” .... เอ่อ ไอ้ภาษาของผมกับภรรยานี้ก็งูๆปลาๆมากๆ สิ่งแรกที่คิดออกเลยคือส่งลูกไปเรียน ... ผมถามลูกสาวว่าอยากเรียนพิเศษหรือไม่ เธอตอบว่าอยาก ... ผมเลยพาเธอไปสถาบันสอนพิเศษที่หนึ่งให้เธอได้ทดลองเรียน ... สรุปว่าไม่สำเร็จ เธอลองแล้วไม่ชอบและไม่อยากไปอีก ผมก็เดาว่าเธออาจจะยังเด็กหรือกังวลต่างๆนานา ถึงแม้ว่าเปลี่ยนไปลองที่อื่นก็ไม่น่าจะไหว ... เมื่อลูกไม่ไปก็ต้องสอนเอง ท่องศัพท์บ้าง เขียนคำศัพท์บ้าง แต่ที่บ่อยสุดน่าจะพูดกัน ก็ประมาณพูดไปเรื่อยๆคุยไปเรื่อยๆ เริ่มจากง่ายๆที่ใช้บ่อยๆในบ้าน เปิดไฟ ปิดไฟ หยิบนู่นนี่นั่นให้หน่อย กินข้าว อาบน้ำ ที่ผมสอนไม่ได้เป็นประโยคที่สวยงามแต่ก็ทำเท่าที่ทำได้ พยายามพูดไปเรื่อยๆ โดยคิดว่า อย่างน้อยเราก็รู้เยอะกว่าลูกเพราะถึงแม้เราเรางูๆปลาๆ แต่เราไปต่างประเทศก็คงไม่อดตายเพราะน่าจะขอข้าวกินได้ของานทำได้ ... ถ้าเด็กๆโตกว่านี้หน่อยอาจจะลองส่งเรียนใหม่ หรือ หาแนวทางอื่นๆดู
.
วิชาตรรกศาสตร์ … ชื่อหนังสือเขียนแบบนี้จริงๆครับ หนังสือสำหรับเด็กๆเดี๋ยวนี้เปิดกว้างมากมีหลากหลายแนวให้ได้เรียนรู้ โดยส่วนตัวผมชอบวิชานี้เพราะฝึกให้รู้จักเหตุผลและโชคดีที่เด็กๆก็ชอบ วิชานี้ก็จะประมาณ สิ่งใดไม่เข้าพวก จับคู่ความเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ การเรียงลำดับเหตุการณ์ ส่วนพวก ระบายสี ลากเส้น วาดรูป อันนี้ของโปรดเด็กๆเลยครับ
.
.
วิชาปรับพฤติกรรมก่อนนอน
.
เด็กๆรุ่นนี้ เหวี่ยงวีนก็มาก ทะเลาะกันเองสองพี่น้องก็บ่อย แย่งของเล่นกันก็ประจำ จะสอนจะปรับพฤติกรรมให้รู้ผิดชอบไม่ค่อยได้ผล แต่สิ่งที่ผมทดลองแล้วประสบผลดีคือ การอ่านนิทานที่สอดแทรกการปรับพฤติกรรมเข้าไป .... เราจะมีกิจวัตรประจำคือการอ่านนิทานก่อนนอน อ่านเกือบทุกวันเล่มเล็กบ้างเล่มใหญ่บ้าง คืนไหนลูกหยิบเล่มหนาๆมาพ่อแม่ก็จะอิดออดนิดหน่อย(บางเล่มหนาหน่อยอ่านครึ่งช่วงโมงนู่นกว่าจะจบ เล่าข้ามก็ไม่ได้เด็กจำได้ 5555+) ปรับพฤติกรรมเข้าไปจากง่ายๆ เริ่มจากนิทานที่เป็นประจำนี่ล่ะ เรื่องเจ้าหญิงอะไรก็ว่าไป แต่เมื่อไรที่เราอ่านแล้วมีตัวละครที่ทำไม่ดี เราก็เน้นว่าเขาทำไม่ดี ไม่ดีเพราะอะไร หรือเล่านิทานที่ปรับพฤตกรรมตรงๆ เช่น นิทานเรื่องหมีขี้งอน ลูกหมูชอบแบ่งปัน ตุ๊กแกขี้โวยวาย ลูกหมาขี้ดื้อ (ทั้งหมดคือชื่อสมมตินะครับ แต่ชื่อเรื่องจะประมาณนี้) บางวันผมก็เล่าสดเลยนึกเองตั้งชื่อเองเล่าเองเลยเดินเรื่องเพื่อสอนสิ่งต่างๆ เช่นว่า ผมมีตัวละครเอกชื่อ
“อาบูเบเบ๊” ที่ผมตั้งขึ้นเอง ผมเล่าเรื่องเราของอาบูเบเบ๊เป็นสิบๆเรื่องแล้ว เล่าไปเรื่อย อาบูเบเบ๊ตกสววรค์(เพราะเกเร) อาบูเบเบ๊ไม่ยอมกินผัก(แล้วจะไม่แข็งแรง) อาบูเบเบ๊ไม่แปลงฟัน(แล้วฟันจะผุ)
.
วันหลังพอเด็กเริ่มจะมีพฤติกรรม โวยวาย ดื้อ หวงของ ฯลฯ เราก็หยิบนิทานเรื่องนั้นๆมาพูด เด็กๆก็จะเหมือนนึกได้แล้วก็หยุดพฤติกรรมดังกล่าวได้(บางครั้งก็ไม่ได้นะ 5555+)
.
เมื่อเด็กๆอยากทาเล็บแต่ไม่มีที่ลอง มองซ้ายมองขวาเจอผมก็ยิ้มแป้น ผลก็ตามนี้!!!
.
.
ผลการเรียน สมรรถภาพร่างกาย หรือ สิ่งต่างๆที่ผมเล่ามาทั้งหมดผมมองว่ามันเป็นแค่ผลพลอยได้ แต่สิ่งที่เราได้มากที่สุดคือ
“เรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัว” เพราะ พวกเราได้ใช้เวลาหลังเลิกเรียนร่วมกัน พวกเราได้ร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆตามที่ผมจะสามารถสรรสร้างได้ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ทำเราได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างร่วมกัน ความสัมพันธ์นี้ต่างหากที่เป็นสิ่งที่เราได้อย่างแท้จริง ... ผมมองว่าเด็กวัยนี้เขาต้องการอยู่กับเรา ลูกสาวผมคนเล็กทุกวันนี้ยังร้องตามผมจะไปทำงานกับอยู่เลย ผมคิดว่าเขาต้องการเล่นกับเราและอยากให้เราเอาใจใส่เขาให้มากๆ แต่ในอีกแง่มุมเมื่อเด็กๆเมื่อเขาโตขึ้นมีความเป็นปัจเจกบุคคลมากขึ้น เขาก็จะออกห่างจากเราไปตามอายุของเขาที่เพิ่มขึ้น ครั้นการที่จะมาเล่นกอดรัดฟัดเหวี่ยงแบบน่าจะน้อยลงตามลำดับ
.
ผมยอมรับว่าถ้าเป็นผมเมื่อ 2-3 ปีก่อน ผมแทบจะไม่ได้เล่นกับเด็กๆเลย ผมออกจากบ้านแต่เช้าบางวันออกเช้ามืดด้วยซ้ำ กว่าจะกลับถึงบ้าน 2-3 ทุ่มทุกวัน เด็กๆก็ได้แต่รอคอย บ่อยๆครั้งที่เด็กๆหลับไปก่อน เด็กๆบอกให้กลับบ้านเร็วๆแต่ผมก็ทำไม่ค่อยได้ เพราะทำแต่งานวนไปอยู่แบบนั้น แต่งานผมเกิดล้มผมบริหารงานผิดพลาดเยอะจนต้องตัดงานที่ทำได้ไม่ดีทิ้งไป ... ทำให้ผมมีเวลาในการใช้ชีวิตมากขึ้นและใช้เวลาเหล่านี้มาอยู่กับลูกๆ เล่นกับพวกเขามากขึ้นแทน … ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง ที่ผ่านมาผมอาจจะดูแย่ที่ไม่ค่อยได้อยู่กับพวกเขา มุ่งแต่จะทำอย่างอื่นจนละเลยสิ่งสำคัญของชีวิตไปไป แต่ทุกวันนี้ผมคิดว่าผมมาถูกทางแล้ว!!!
.
...[^_^]…
.
ปล.
- ติดตามเรื่องราวของผมได้ในเพจนี้ครับ ... เพจคุยเรื่อยเปื่อยครับ
https://www.facebook.com/creativeshooter/
- ชีวิตคนเราจะ “ล้มเหลว” สักกี่ครั้ง?
https://ppantip.com/topic/38222791
- 5 บทเรียนชีวิต ใน 1 ปี!!!
https://ppantip.com/topic/37392451
เมื่อผมจับลูกสาวมาเรียนพิเศษแบบติวเข้ม!!!
.
.
วิชาสวนสาธารณะ
.
ในทุกสัปดาห์จะมี 1 วันที่ผมจะพาลูกสาวทั้งสองไปเล่นที่สวนสาธารณะ แน่นอนว่าเด็กๆกับพวกสไลเดอร์ชิงช้านั้นเป็นของคู่กันไปเล่นของเล่นไปนั่งชิงช้า สิ่งที่เด็กๆได้จากเครื่องเล่นเหล่านี้คือ เพื่อนใหม่ๆ ที่เด็กๆทำความรู้จักกันเองหรือแม้แต่มาเจอเพื่อที่โรงเรียน เรียนรู้การแบ่งปันและการรอคอยเพราะบ่อยครั้งที่เครื่องเล่นเหล่านี้จะเต็มไปด้วยเด็กๆ การจะได้เล่นครบทุกคนก็ต้องผลัดกันเล่นแบ่งกันเล่นและรอคอย รวมถึงเราสามารถสอนเด็กๆไดว่าทำอย่างไรเมื่อเล่นด้วยกันหลายๆคนแล้วจะไม่บาดเจ็บ
.
สวนสาธารณะนอกจากจะมีเครื่องเล่นแล้วยังมีน้ำพุ มีทางเดินมีต้นไม้มีทางให้เดินให้วิ่ง ให้ทำผมพาเด็กๆทำ “กิจกรรมวิ่งแบบมโนไปเรื่อยๆ” ได้สบายๆ มโนยังไงอย่างเช่น เดินๆไปมีเส้นต่อเนื่องกันแบบถนนคอนกรีต ผมก็บอกลูกว่านี่เป็นกิจกรรมด่านกระโดดข้ามเส้นห้ามเหยียบเส้นเด็กขาด พอไปเจอทางเรียบก็นี่เป็นกิจกรรมวิ่งสปิดวิ่งเต็มที่เลย ไปเจอหินก็บอกว่านี่คือด่านปีนหิน เด็กๆก็สนุกได้เหงื่อ ได้ความแข็งแรงของร่างกาย ... มา 10 รอบก็เรียนรู้ 10 เรื่อง เด็กๆมีเรื่องถามได้ตลอดต้นไม้ต้นนี้ต้นอะไรมีลูกมั้ย กินได้มั้ย ทำไมมีน้ำพุ นี่คืออะไร เอาไว้ทำไม ฯลฯ ... แรกๆก็ร้องให้อุ้ม แต่ครั้งหลังๆเด็กวิ่งๆเดินๆได้เป็นกิโลๆ โดยไม่ต้องอุ้ม
.
.
วิชาทักษะการเอาตัวรอด
.
สำหรับผมข้อนี้จริงจังและจำเป็นมาก ตอนนี้ผมเน้น 2 อย่างคือ การว่ายน้ำ และ สัตว์มีพิษ
.
ทักษะการว่ายน้ำ ... ทุกวันเสาร์และอาทิตย์เด็กๆและผมจะเข้าไปอยู่ที่บ้านสวน ซึ่งบ้านสวนนี้จะมีบ่อน้ำ บ่อปลา ให้ได้เป็นกังวลได้ตลอด ผมจึงส่งลูกสาวคนโตไปเรียนว่ายน้ำตัวต่อตัวกับครู เรียนทุกวันเสาร์(จริงๆก็อยากส่งคนเล็กด้วยแต่ครูยังไม่รับ) ผมขับรถไปกลับร่วม 2 ชั่วโมงเพื่อไปเรียน แต่ผมก็มองว่ายังไม่ก็ต้องไป ทักษะว่ายน้ำนี้มันจำเป็นที่สุดเพราะจากบ้านสวนของผม ถ้าพลาดแค่ครั้งเดียวอาจจะถึงแก่ชีวิตได้เลย เรียนมาหลายเดือน ตอนนี้เริ่มเห็นผล ลอยคอได้ ว่ายฟรีสไตล์โดยไม่ต้องช่วยได้สัก 4-5 เมตรแล้ว คาดว่าจะส่งเรียนต่อไปเรื่อยๆ
.
สัตว์มีพิษ … บ้านสวนของผมชุกชมไปด้วยสรรพสัตว์ มีไก่ป่าขันให้ได้ยินทุกเช้า ค่ำๆขับรถเข้าบ้านผมเจอกระต่ายป่ากระโดตัดหน้ารถบ่อยๆ รวมถึงสัตว์มีพิษ รังผึ้ง รังแตน พบเห็นได้เรื่อยๆในสวน สว่นตัวผมผมเคยโดนแมงป่องต่อยในบ้านเลย แม่ผมเคยโดนตะขาบต่อยในบ้านเลยเช่นกัน หมาผมตาบอดเพราะพิษจากงูเห่า(หมา 2 รุมกัด หมาผมตาบอด 1 ตัว แต่งูก็โดนกัดตาย) ผมจับเด็กๆมาเปิดรูปให้ดูถึงสัตว์มีพิษชนิดต่างๆที่ควรระมัดระวังและบอกเล่าให้พวกเขาฟังถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เจอต้องออกห่างให้เร็วที่สุดและรีบบอกผู้ใหญ่ ... หลานชายผมคนนึงวัย 4 ขวบ อยู่บ้านในสวนนี้เช่นกัน ซนเอานิ้วไปแหย่ตุ๊กแก ผลคือตุ๊กแกงับนิ้วเป็นแผลเลือดออก ร้องจ๊ากเลย!!!
.
.
วิชาสาระความรู้
.
ผมโชคดีอยู่บ้างที่ลูกสาวผมชอบเรียนพอสมควร เรียกร้องอยากจะเรียนเพิ่มเติมตลอด เช่น เมื่อวานไม่รู้คึกมาจากไหนบอกผมตั้งแต่ผมไปรับเลยว่า “ป๊า วันนี้เรียนพิเศษกัน หนูจะทำ 10 หน้าเลย” ผมก็หันไปถามลูกคนเล็กว่าวันนี้ทำกี่หน้าดี “หนูทำ 3 หน้า” พร้อมชูนิ้ว นี่ก็เยอะแล้วสำหรับคนนี้ 555+ ... ถ้าอยู่ในโหมดเรียนวิชาเหล่านี้ ต้องลากโต๊ะญี่ปุ่นมาให้เด็กๆนั่งคนละตัวเลย หรือถ้าวิชาไหนเข้มๆที่หนังสือแยกกัน ผมอาจจะคนเดียวสอนไม่ได้ต้องรอภรรยากลับมาแยกสอนคนละคน
.
เรียนภาษา ... เรื่องของการเรียนภาษานี้เริ่มจากลูกสาวคนโต วันหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อนตอนที่ผมไปรับเธอกลับจากโรงเรียนว่า “ป๊า วันนี้มีครูชาวต่างชาติ ชื่อทีชเชอร์เรนมาสอนที่โรงเรียน แต่หนูคุยกับครูเขาไม่ได้เลย หนูอยากคุยกับครูเขาได้อ่ะป๊า!!!” .... เอ่อ ไอ้ภาษาของผมกับภรรยานี้ก็งูๆปลาๆมากๆ สิ่งแรกที่คิดออกเลยคือส่งลูกไปเรียน ... ผมถามลูกสาวว่าอยากเรียนพิเศษหรือไม่ เธอตอบว่าอยาก ... ผมเลยพาเธอไปสถาบันสอนพิเศษที่หนึ่งให้เธอได้ทดลองเรียน ... สรุปว่าไม่สำเร็จ เธอลองแล้วไม่ชอบและไม่อยากไปอีก ผมก็เดาว่าเธออาจจะยังเด็กหรือกังวลต่างๆนานา ถึงแม้ว่าเปลี่ยนไปลองที่อื่นก็ไม่น่าจะไหว ... เมื่อลูกไม่ไปก็ต้องสอนเอง ท่องศัพท์บ้าง เขียนคำศัพท์บ้าง แต่ที่บ่อยสุดน่าจะพูดกัน ก็ประมาณพูดไปเรื่อยๆคุยไปเรื่อยๆ เริ่มจากง่ายๆที่ใช้บ่อยๆในบ้าน เปิดไฟ ปิดไฟ หยิบนู่นนี่นั่นให้หน่อย กินข้าว อาบน้ำ ที่ผมสอนไม่ได้เป็นประโยคที่สวยงามแต่ก็ทำเท่าที่ทำได้ พยายามพูดไปเรื่อยๆ โดยคิดว่า อย่างน้อยเราก็รู้เยอะกว่าลูกเพราะถึงแม้เราเรางูๆปลาๆ แต่เราไปต่างประเทศก็คงไม่อดตายเพราะน่าจะขอข้าวกินได้ของานทำได้ ... ถ้าเด็กๆโตกว่านี้หน่อยอาจจะลองส่งเรียนใหม่ หรือ หาแนวทางอื่นๆดู
.
วิชาตรรกศาสตร์ … ชื่อหนังสือเขียนแบบนี้จริงๆครับ หนังสือสำหรับเด็กๆเดี๋ยวนี้เปิดกว้างมากมีหลากหลายแนวให้ได้เรียนรู้ โดยส่วนตัวผมชอบวิชานี้เพราะฝึกให้รู้จักเหตุผลและโชคดีที่เด็กๆก็ชอบ วิชานี้ก็จะประมาณ สิ่งใดไม่เข้าพวก จับคู่ความเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ การเรียงลำดับเหตุการณ์ ส่วนพวก ระบายสี ลากเส้น วาดรูป อันนี้ของโปรดเด็กๆเลยครับ
.
.
วิชาปรับพฤติกรรมก่อนนอน
.
เด็กๆรุ่นนี้ เหวี่ยงวีนก็มาก ทะเลาะกันเองสองพี่น้องก็บ่อย แย่งของเล่นกันก็ประจำ จะสอนจะปรับพฤติกรรมให้รู้ผิดชอบไม่ค่อยได้ผล แต่สิ่งที่ผมทดลองแล้วประสบผลดีคือ การอ่านนิทานที่สอดแทรกการปรับพฤติกรรมเข้าไป .... เราจะมีกิจวัตรประจำคือการอ่านนิทานก่อนนอน อ่านเกือบทุกวันเล่มเล็กบ้างเล่มใหญ่บ้าง คืนไหนลูกหยิบเล่มหนาๆมาพ่อแม่ก็จะอิดออดนิดหน่อย(บางเล่มหนาหน่อยอ่านครึ่งช่วงโมงนู่นกว่าจะจบ เล่าข้ามก็ไม่ได้เด็กจำได้ 5555+) ปรับพฤติกรรมเข้าไปจากง่ายๆ เริ่มจากนิทานที่เป็นประจำนี่ล่ะ เรื่องเจ้าหญิงอะไรก็ว่าไป แต่เมื่อไรที่เราอ่านแล้วมีตัวละครที่ทำไม่ดี เราก็เน้นว่าเขาทำไม่ดี ไม่ดีเพราะอะไร หรือเล่านิทานที่ปรับพฤตกรรมตรงๆ เช่น นิทานเรื่องหมีขี้งอน ลูกหมูชอบแบ่งปัน ตุ๊กแกขี้โวยวาย ลูกหมาขี้ดื้อ (ทั้งหมดคือชื่อสมมตินะครับ แต่ชื่อเรื่องจะประมาณนี้) บางวันผมก็เล่าสดเลยนึกเองตั้งชื่อเองเล่าเองเลยเดินเรื่องเพื่อสอนสิ่งต่างๆ เช่นว่า ผมมีตัวละครเอกชื่อ “อาบูเบเบ๊” ที่ผมตั้งขึ้นเอง ผมเล่าเรื่องเราของอาบูเบเบ๊เป็นสิบๆเรื่องแล้ว เล่าไปเรื่อย อาบูเบเบ๊ตกสววรค์(เพราะเกเร) อาบูเบเบ๊ไม่ยอมกินผัก(แล้วจะไม่แข็งแรง) อาบูเบเบ๊ไม่แปลงฟัน(แล้วฟันจะผุ)
.
วันหลังพอเด็กเริ่มจะมีพฤติกรรม โวยวาย ดื้อ หวงของ ฯลฯ เราก็หยิบนิทานเรื่องนั้นๆมาพูด เด็กๆก็จะเหมือนนึกได้แล้วก็หยุดพฤติกรรมดังกล่าวได้(บางครั้งก็ไม่ได้นะ 5555+)
.
เมื่อเด็กๆอยากทาเล็บแต่ไม่มีที่ลอง มองซ้ายมองขวาเจอผมก็ยิ้มแป้น ผลก็ตามนี้!!!
.
.
ผลการเรียน สมรรถภาพร่างกาย หรือ สิ่งต่างๆที่ผมเล่ามาทั้งหมดผมมองว่ามันเป็นแค่ผลพลอยได้ แต่สิ่งที่เราได้มากที่สุดคือ “เรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัว” เพราะ พวกเราได้ใช้เวลาหลังเลิกเรียนร่วมกัน พวกเราได้ร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆตามที่ผมจะสามารถสรรสร้างได้ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ทำเราได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างร่วมกัน ความสัมพันธ์นี้ต่างหากที่เป็นสิ่งที่เราได้อย่างแท้จริง ... ผมมองว่าเด็กวัยนี้เขาต้องการอยู่กับเรา ลูกสาวผมคนเล็กทุกวันนี้ยังร้องตามผมจะไปทำงานกับอยู่เลย ผมคิดว่าเขาต้องการเล่นกับเราและอยากให้เราเอาใจใส่เขาให้มากๆ แต่ในอีกแง่มุมเมื่อเด็กๆเมื่อเขาโตขึ้นมีความเป็นปัจเจกบุคคลมากขึ้น เขาก็จะออกห่างจากเราไปตามอายุของเขาที่เพิ่มขึ้น ครั้นการที่จะมาเล่นกอดรัดฟัดเหวี่ยงแบบน่าจะน้อยลงตามลำดับ
.
ผมยอมรับว่าถ้าเป็นผมเมื่อ 2-3 ปีก่อน ผมแทบจะไม่ได้เล่นกับเด็กๆเลย ผมออกจากบ้านแต่เช้าบางวันออกเช้ามืดด้วยซ้ำ กว่าจะกลับถึงบ้าน 2-3 ทุ่มทุกวัน เด็กๆก็ได้แต่รอคอย บ่อยๆครั้งที่เด็กๆหลับไปก่อน เด็กๆบอกให้กลับบ้านเร็วๆแต่ผมก็ทำไม่ค่อยได้ เพราะทำแต่งานวนไปอยู่แบบนั้น แต่งานผมเกิดล้มผมบริหารงานผิดพลาดเยอะจนต้องตัดงานที่ทำได้ไม่ดีทิ้งไป ... ทำให้ผมมีเวลาในการใช้ชีวิตมากขึ้นและใช้เวลาเหล่านี้มาอยู่กับลูกๆ เล่นกับพวกเขามากขึ้นแทน … ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง ที่ผ่านมาผมอาจจะดูแย่ที่ไม่ค่อยได้อยู่กับพวกเขา มุ่งแต่จะทำอย่างอื่นจนละเลยสิ่งสำคัญของชีวิตไปไป แต่ทุกวันนี้ผมคิดว่าผมมาถูกทางแล้ว!!!
.
...[^_^]…
.
ปล.
- ติดตามเรื่องราวของผมได้ในเพจนี้ครับ ... เพจคุยเรื่อยเปื่อยครับ
https://www.facebook.com/creativeshooter/
- ชีวิตคนเราจะ “ล้มเหลว” สักกี่ครั้ง? https://ppantip.com/topic/38222791
- 5 บทเรียนชีวิต ใน 1 ปี!!! https://ppantip.com/topic/37392451