ปี 2560 ที่ผ่านพ้นไปถือว่าเป็นปีที่หนักหนาสาหัสของชีวิตผมเลยทีเดียว … เรื่องหน้าที่การงาน เรื่องการเงิน ลามไปถึงเรื่องสุขภาพ ... สำหรับผมมันสาหัสมาก มันเป็นบทเรียนชีวิตที่มีราคาแพงและเจ็บปวด ... ณ วันนี้ ถึงแม้ว่ายังไม่ไม่เหมือนเดิมนักแต่เรื่องราวเริ่มคลี่คลายโดยรวมเริ่มดีขึ้น จึงขอเขียนบทนี้เก็บไว้เพื่อบันทึกความทรงจำว่า ปี 2560 เราเจอกับอะไร!!!
บทเรียนที่ 1 ... แขนขาดเพราะเข้าไปจับเสือมือเปล่า
บทเรียนที่ 2 ... ตัดกิจการเพื่อประคองชีวิต
บทเรียนที่ 3 … หมายศาลมาแปะหน้าบ้าน
บทเรียนที่ 4 … มันอยู่เหนือการควบคุม
บทเรียนที่ 5 … เมื่อร่างกายมาถึงขีดสุด
บทเรียนที่ 1 ... แขนขาดเพราะเข้าไปจับเสือมือเปล่า
ผมไปลงทุนซื้อ
“ที่ดินแปลงใหญ่” ไว้แปลงหนึ่งขนาด 12 ไร่เศษ นำมาแบ่งเป็นล็อกๆโดยตั้งใจว่าจะขายสักหลายส่วนและเก็บไว้พัฒนาเองอีกบางส่วน …
ถ้าทำสำเร็จจะกำไรหลายล้าน!!!
วางเงินทำสัญญาไว้ส่วนหนึ่งเพื่อยืดเวลา เพื่อหาลูกค้า พอเอาเข้าจริง ณ วันที่ต้องโอนหา หาลูกค้าได้ไม่เข้าเป้า เงินมีติดตัวบางเฉียบ ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของราคาที่ด้วยซ้ำ ผลก็คือต้องไปกู้มาเพื่อโอนที่มาก่อน เพราะ ไม่โอนจะโดนยึดมัดจำ!!! ตัวที่ดินแปลงนี้ทำเลดีมีอนาคตแน่นอน แต่ปัญหามันอยู่ที่ ผมตั้งสมมุติฐานเล็งผลเลิศกับภาพรวมเกินไป และนี่คือความผิดพลาดอย่างมหันต์ ... ณ เวลานั้นผมเชื่อว่าถ้าทุกอย่างไปได้สวยและเป็นไปตามแผน ผมจะสามารถทยอยชำระเงินกู้ได้ในระยะเวลาไม่นาน แต่ แต่ แต่ แต่ เรื่องกลับมันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะ ปีที่แล้วผม
“ล้มเหลว” เกือบทั้งปี!!! ...
เงินที่คาดว่าจะไหลเข้ากลับไม่มี กำไรที่คาดว่าจะมีกลับกลายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้เดือนละหลายหมื่นบาท!!!
วันนี้ที่แปลงนี้ถูกขายออกไปได้เกือบตามเป้าแล้ว แต่กว่าจะถึงวันนี้ เล่นเอาอ่วมอรทัย ... ผมย้อนกลับมาคิดถึงคำว่า
“คาดงัด” หรือ
“พลังทวี” ในช่วงหนึ่งคำนี้ถูกใช้กันอย่างคึกคักในวงการอสังหาฯ ว่าการกู้มาแล้วทำกำไรได้ดีกว่าดอกเบี้ยนั้นจะสามารถเพิ่มผลตอบแทนได้เป็นเท่าทวี ... แต่คำนี้ผมพิสูจน์แล้วครับว่า ในทางกลับกันถ้ากู้มาแล้วทำกำไรไม่ได้ มันจะกลายเป็นว่าขาดทุนยับแบบเท่าทวีคูณ!!!
ที่แปลงดังกล่าวครับ
บทเรียนที่ 2 ... ตัดกิจการเพื่อประคองชีวิต
ในยามคับขันจำเป็นเราต้องตัดสินใจให้เฉียบขาดเพื่อประคองชีวิต ... ปี 2560 ปีเดียว จัดไป 3 กิจการรวด ... ผมปิดกิจการไป 1 ร้าน ... เซ้งร้านไป 1 ร้าน ... ขายหุ้นใหญ่ของตัวเองไปอีก 1 ร้าน ... บางกิจการผมอยู่กับมันมา 7-8 ปี แต่เมื่อถึงเวลามันก็ต้องจบลง มันเกินกว่าที่จะแบกไว้!!!
ผมมี
“ร้านเครื่องเขียน” อยู่ร้านหนึ่งเปิดมาหลายปีแรกๆก็อยู่ได้มีกำไร แต่ในปีหลังๆ สถานการณ์ย่ำแย่ลงตามลำดับจนขาดทุนในท้ายที่สุด (อ่านในบทความเก่าๆของผมได้ครับ เคยเกริ่นว่าแย่ๆมาหลายตอน) ... แต่ผมก็ยังฝืน ฝืนจนไม่ไหว เพราะ ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า!!!
ภาพถ่าย ณ วันที่ย้ายของออก
ผมปิด เซ้ง และ ขายรวม 3 กิจการรวด เลิกร้านเครื่องเขียน เซ้งร้านอาหาร ขายหุ้นใหญ่ในร้านกาแฟของตัวเองออก เพื่อหยุดการไหลออกของเงินสด เพื่อรักษาสมดุลและสถานะประคองให้อยู่รอดจากสถานะที่ลำบาก ณ ปัจจุบัน การถอยครั้งนี้ ถือว่าเป็น
“ถอยตอนที่ยังมีโอกาส” เพราะยังพอมีลู่ทางที่จะพลิกสถานการณ์ฟื้นคืนมาได้บ้าง ... การตัดสินใจยุติกิจการ ที่อยู่กับมันมา แน่นอนว่ามันเจ็บปวด มันเจ็บใจ แต่ก็ต้องทำ!!!
ในวิกฤตยังมีโอกาส หลังจากที่ผมเลิกทำหลายๆกิจการ อาคารและพื้นที่ที่ผมเช่าอยู่นั้นยังคงเป็นสิทธิที่ติดตัวอยู่กับผมเพราะสัญญาเช่ายังเหลืออยู่ ผมก็ปล่อยให้คนอื่นเช่าต่อ(ในสัญญาที่ผมทำไว้กับเจ้าของที่ระบุว่าผมสามารถปล่อยเช่าช่วงได้) จากที่เคยทำกิจการขาดทุนเดือนละหลายหมื่น พลิกกลับมาเป็นกำไรหลักหมื่นได้!!!
บทเรียนที่ 3 … หมายศาลมาแปะหน้าบ้าน
บทนี้ของตัดมาจากกระทู้เก่าครับ
https://ppantip.com/topic/36495521
เรื่องมีอยู่ว่า ... ผมก็ไปเจอทรัพย์ชิ้นหนึ่งประกาศขาย ทำเลใช้ได้ ราคาถูกกว่าตลาดพอสมควร ผมคิดว่าน่าจะพอทำกำไรได้ จึงตัดสินใจซื้อ โดยใช้การกู้ธนาคาร กระบวนการประเมินจากธนาคาร และ การซื้อขายทั้งหมดทั้งมวล ผ่านโดนไม่ติดขัดอะไร ... ที่ดินโอนผ่านได้ไม่ติดภาระหรือหมายเหตุแนบท้ายใดๆ ธนาคารรับจำนองได้ปกติ
ถือครองไว้ได้ไม่นานก็มี
“หมายศาล” ส่งมาหา ... ระบุว่าผมตกเป็นจำเลยในคดีแพ่ง เรื่องเกิดจากบ้านหลังที่ผมซื้อมาข้างต้น ... เรื่องราวของสำนวนฟ้อง จับความได้ว่า บ้านหลังนี้เคยมีการฟ้องร้องกันมาแล้วและในครั้งนั้นศาลสั่งให้โจทก์(เจ้าของเดิมๆ) เป็นฝ่ายชนะคดีในครั้งนั้น ... แต่โจทก์(เจ้าของเดิมๆ) ก็ไม่ได้ดำเนินการอายัตบ้านหลังนี้แต่อย่างใด จำเลยในขณะนั้นจึงขายบ้านมาอีกหลายทอดจนถึงมือผมเป็นคนสุดท้าย ... โจทก์(เจ้าของเดิมๆ) ฟ้องคดีใหม่ เริ่มจากจำเลยเดิม แล้วผู้ที่ซื้อขายที่ผ่านมาทุกมือรวมทั้งผม!!!
แน่นอนว่าผมก็ต้องตั้งทนายสู้คดีไปตามระเบียบ ว่าผมซื้อทรัพย์มาแบบสุจริตและเสียค่าตอบแทน ส่วนเรื่องราวในคดีก็ ว่ากันไปตามพยานหลักฐานในกระบวนการชั้นศาลต่อไป บทสรุปของเรื่องราวจะออกท่าไหนยังไม่ทราบแน่ชัดดอกครับ .... ถ้าคิดในแง่ดี ศาลท่านเห็นพยานหลักฐานเราแล้วสั่งยกฟ้อง หรือสั่ง ให้คนที่ขายเรานำเงินมาคืนเราแล้วเราก็คืนบ้านเขาไป(ซึ่งจะมีเงินมาให้เราหรือเปล่าว่ากันอีกเรื่อง) หรือคิดในแง่ร้าย .... เอ่อออ ผมเองก็ไม่อยากจะนึกถึง
แต่ไม่ว่าจะสรุปบทไหนก็ตาม งานก็เข้าผมเต็มๆ ... บ้านอยู่ในคดีความ ถ่ายโอนไม่ได้(ถ้าถ่ายโอนก็มีความผิด) ต้องรอไปอีกหลายปีกว่าคดีจะสิ้นสุด และก็ต้องรอความชัดเจนอีกว่าจะเรื่องจะออกท่าไหน ... บ้านหลังนี้กำไรแทบไม่ต้องพูดถึงแล้วครับจังหวะนี้ เข้าเนื้อเห็นๆ ไหนจะค่าทนาย ค่าเสียเวลา และที่สำคัญคือเงินที่จมลงไปแบบไม่รู้ว่าจะได้คืนหรือเปล่า!!!!
บทเรียนที่ 4 … มันอยู่เหนือการควบคุม
อัคคีภัย!!!
ราวๆกลางปี ผมตกอยู่ใน
"ภาวะวิกฤต" มากที่สุดวันนึง จากเหตุเพลิงไหม้!!! .... ไฟไหม้ห่างจากออฟฟิตผมไม่กี่สิบเมตร!!! เรียกได้ว่า โค ตรใกล้!!!!
ช่วงสายๆของวันทำงานวันหนึ่ง ... ขณะที่ผมนั่งทำงานอยู่ ลูกน้องวิ่งเข้ามาในห้องผมแจ้งว่ามีไฟไหม้ .... เพลิงอยู่ห่างจากออฟฟิตราว 50 เมตร แต่ เราอยู่เหนือลม อย่างแรกที่ผมทำคือโทรหาตำรวจ(แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่ามีคนแจ้งแล้ว พนักงานดับเพลิงกำลังไป) ... เวลาผ่านไปสักพัก รถดับเพลงก็ยังไม่มา ไฟก็เริ่มโหมแรงขึ้น พี่พนักงานผู้หญิง เริ่มกลัว และเริ่มร้องไห้ ... รถดับเพลิงเริ่มมา แต่ไปสกัดกั้นทางใต้ลมเป็นหลัก แต่ไฟเริ่มลามเข้ามาใกล้เรื่อย!!!
ไฟโหมๆ และ ควันดำทมึน
ผมตัดสินใจกระโดดข้ามฝั่งไป ทำแนวกันเพลิง ด้วยผมและพนักงานผู้ชายอีก 3-4 คน ด้วย จอบ มีดทำกับข้าว และ สายยางฉีดน้ำเส้นเล็กๆที่ต่อน้ำมาจากออฟฟิต!!! ... ไฟลามเข้ามาไกล้เรื่อยๆ ผมสั่งให้เริ่มขนของอพยพ!!!
เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ พนักงานดับเพลิงเริ่มทยอยเข้ามาที่เพลิงต้นลม ผมเสนอให้เจ้าหน้าที่เข้าระงับเพลิงทางออฟฟิตของผม ผมสั่งรื้อหลังคาร้านผมและขนของที่ขีดขวางการทำงานเจ้าหน้าที่ออกทั้งหมด เพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งผมและทีมเข้าไปช่วยเต็มกำลัง(เท่าที่ทำได้)
กินเวลาสักพักกว่าเจ้าหน้าที่เริ่มควบคุมเพลิงไว้ได้ ไฟลามห่างออฟฟิตผมเพียง 10 เมตร เกือบถึงแนวกันไฟน้อยๆที่ผมทำไว้ ... เพลิงถูกจำกัดเขตไว้ได้แน่ชัด ออฟฟิตผมปลอดภัย!!!
วิ่งลืมเหนื่อยครับ เป็นผู้ช่วยนักดับเพลิงเต็มวัน ... ถ้าไฟลามมาถึง และ ถ้าไฟไหม้ออฟฟิตผม ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเป็นอย่างไร!!! … หลังจากนั้นผมก็ป่วยไปอีกหลานวัน!!! เดชะบุญไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้!!!
รูปผมขณะที่ผมช่วยพี่พนักงานดับเพิงลากสายฉีดน้ำ!!!
อุทกภัย!!!
ผมมีธุรกิจอีกตัวหนึ่งคือ ธุรกิจบ้านเช่า ทำมานานหลายปีผู้เช่าเต็มเกือบตลอด ปัญหาก็มีบ้างแต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมาก แต่ครานี้มันระดับ
หายนะ!!!
บ้านเช่าที่ผมดูแลอยู่ 3 หลัง ถูกน้ำท่วมเละเทะ (ไม่นับรวมของคนอื่นในหมู่บ้านนั้น) ... กระจกบานหน้าล้มแตก ประตูพังหลายบาน ข้าวของผู้เช่าเสียหายยับเยิน คอมฯผู้เช่าพังไม่ต่ำกว่า 5 เครื่อง ตู้เย็น ทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้าอีกเพียบ เสียหายหลายแสน!!! ... น้ำท่วมนี้เกิดจากน้ำล้นกำแพงมาจากฝั่งข้างเคียงที่พึ่งถมดิน(จนสูงลิบ)เมื่อเดือนก่อน ประกอบกับเหนือที่ดินแปลงนี้ขึ้นไปกำแพงพังน้ำจึงทะลักมาสมทบ กลายเป็นว่าน้ำจากที่ดินแปลงที่อยู่สูงๆขึ้นไปไหลบ่ามาท่วมหมู่บ้าน
สิ่งที่ผมทำเป็นอย่างแรก คือ
"เรื่องผู้เช่า" ... เยียวยาสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าที่ทำได้ จัดหาที่พักให้ผู้เช่าทุกหลัง ระดมทีมงานมาช่วยผู้เช่า จัดเก็บเช็คสิ่งของที่เสียหาย และ ขนย้าย ... ต่อมา
"ประสานเจ้าหน้าที่รัฐ" ตำรวจ อำเภอ เทศบาล หน่วยงานทัองถิ่น เรียกมาให้หมดทุกหน่วยงาน … ลำดับสุดท้าย
"โทรหาทนายของผม" ว่าผมควรจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร
ผมจำภาพตอนน้องนักศึกษามาเห็นสภาพห้องได้เลย น้องผู้หญิงบางคนร้องไห้เลย … เห็นแล้วพูดไม่ ภาพหนึ่งในบ้านเช่าของผมครับ
ภาวะวิกฤตแบบนี้คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ... แต่คำถามคือถ้ามันเกิดขึ้นแล้วเราควรทำอย่างไร? ... เหตุการณ์ลักษณะนี้สำหรับผมเป็นเหตุการณ์ที่
“เกิดขึ้นเร็ว” และมี
“ผลกระทบที่รุนแรง” ต่อชีวิตและทรัพย์สิน ... ด้วยความที่มันเกิดขึ้นเร็ว โอกาสที่เราจะเตรียมตัวหรือตั้งหลักนั้นมีน้อย สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำคือ ดึงสติไว้กับตัวให้ได้มากที่สุด เพราะ การตัดสินใจที่ผิดพลาดอาจก่อให้เกิดหายนะที่ร้ายแรงกว่าเดิม
ถ้าผมไม่รื้อหลังคาร้านออกเพื่อให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าพื้นที่ไฟอาจจะลามไปมากกว่านี้ ... หรือถ้าไฟลามมาถึงแล้วผมยังไม่ขนของเตรียมไว้แล้วไฟไหม้มันคงจะแย่ลงไปอีก!!!
ถ้าผมไม่จัดหาที่พักไม่เยียวยาลูกบ้าน ลูกบ้านคงย้ายหนีกันหมด ... แต่เชื่อหรือไม่เมื่อเหตุการณ์จบลง มีแนวทางการป้องกันน้ำจากที่ดินข้างเคียงที่ชัดเจน น้องๆนักศึกษาก็ขอย้ายกลับมาบ้านหลังเดิม!!
ดังนั้น ถ้าวิกฤตเกิดขึ้น ขอจงมีสติครับ!!!
ปล .. อีก 2 บทเรียน ถ้าลงหมดแลัว เกิน 10000 ตัวอักษรครับ ขอลงต่อใน comment นะครับ
5 บทเรียนชีวิต ใน 1 ปี!!!
บทเรียนที่ 1 ... แขนขาดเพราะเข้าไปจับเสือมือเปล่า
บทเรียนที่ 2 ... ตัดกิจการเพื่อประคองชีวิต
บทเรียนที่ 3 … หมายศาลมาแปะหน้าบ้าน
บทเรียนที่ 4 … มันอยู่เหนือการควบคุม
บทเรียนที่ 5 … เมื่อร่างกายมาถึงขีดสุด
บทเรียนที่ 1 ... แขนขาดเพราะเข้าไปจับเสือมือเปล่า
ผมไปลงทุนซื้อ “ที่ดินแปลงใหญ่” ไว้แปลงหนึ่งขนาด 12 ไร่เศษ นำมาแบ่งเป็นล็อกๆโดยตั้งใจว่าจะขายสักหลายส่วนและเก็บไว้พัฒนาเองอีกบางส่วน … ถ้าทำสำเร็จจะกำไรหลายล้าน!!!
วางเงินทำสัญญาไว้ส่วนหนึ่งเพื่อยืดเวลา เพื่อหาลูกค้า พอเอาเข้าจริง ณ วันที่ต้องโอนหา หาลูกค้าได้ไม่เข้าเป้า เงินมีติดตัวบางเฉียบ ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของราคาที่ด้วยซ้ำ ผลก็คือต้องไปกู้มาเพื่อโอนที่มาก่อน เพราะ ไม่โอนจะโดนยึดมัดจำ!!! ตัวที่ดินแปลงนี้ทำเลดีมีอนาคตแน่นอน แต่ปัญหามันอยู่ที่ ผมตั้งสมมุติฐานเล็งผลเลิศกับภาพรวมเกินไป และนี่คือความผิดพลาดอย่างมหันต์ ... ณ เวลานั้นผมเชื่อว่าถ้าทุกอย่างไปได้สวยและเป็นไปตามแผน ผมจะสามารถทยอยชำระเงินกู้ได้ในระยะเวลาไม่นาน แต่ แต่ แต่ แต่ เรื่องกลับมันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะ ปีที่แล้วผม “ล้มเหลว” เกือบทั้งปี!!! ... เงินที่คาดว่าจะไหลเข้ากลับไม่มี กำไรที่คาดว่าจะมีกลับกลายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้เดือนละหลายหมื่นบาท!!!
วันนี้ที่แปลงนี้ถูกขายออกไปได้เกือบตามเป้าแล้ว แต่กว่าจะถึงวันนี้ เล่นเอาอ่วมอรทัย ... ผมย้อนกลับมาคิดถึงคำว่า “คาดงัด” หรือ “พลังทวี” ในช่วงหนึ่งคำนี้ถูกใช้กันอย่างคึกคักในวงการอสังหาฯ ว่าการกู้มาแล้วทำกำไรได้ดีกว่าดอกเบี้ยนั้นจะสามารถเพิ่มผลตอบแทนได้เป็นเท่าทวี ... แต่คำนี้ผมพิสูจน์แล้วครับว่า ในทางกลับกันถ้ากู้มาแล้วทำกำไรไม่ได้ มันจะกลายเป็นว่าขาดทุนยับแบบเท่าทวีคูณ!!!
ที่แปลงดังกล่าวครับ
บทเรียนที่ 2 ... ตัดกิจการเพื่อประคองชีวิต
ในยามคับขันจำเป็นเราต้องตัดสินใจให้เฉียบขาดเพื่อประคองชีวิต ... ปี 2560 ปีเดียว จัดไป 3 กิจการรวด ... ผมปิดกิจการไป 1 ร้าน ... เซ้งร้านไป 1 ร้าน ... ขายหุ้นใหญ่ของตัวเองไปอีก 1 ร้าน ... บางกิจการผมอยู่กับมันมา 7-8 ปี แต่เมื่อถึงเวลามันก็ต้องจบลง มันเกินกว่าที่จะแบกไว้!!!
ผมมี “ร้านเครื่องเขียน” อยู่ร้านหนึ่งเปิดมาหลายปีแรกๆก็อยู่ได้มีกำไร แต่ในปีหลังๆ สถานการณ์ย่ำแย่ลงตามลำดับจนขาดทุนในท้ายที่สุด (อ่านในบทความเก่าๆของผมได้ครับ เคยเกริ่นว่าแย่ๆมาหลายตอน) ... แต่ผมก็ยังฝืน ฝืนจนไม่ไหว เพราะ ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า!!!
ภาพถ่าย ณ วันที่ย้ายของออก
ผมปิด เซ้ง และ ขายรวม 3 กิจการรวด เลิกร้านเครื่องเขียน เซ้งร้านอาหาร ขายหุ้นใหญ่ในร้านกาแฟของตัวเองออก เพื่อหยุดการไหลออกของเงินสด เพื่อรักษาสมดุลและสถานะประคองให้อยู่รอดจากสถานะที่ลำบาก ณ ปัจจุบัน การถอยครั้งนี้ ถือว่าเป็น “ถอยตอนที่ยังมีโอกาส” เพราะยังพอมีลู่ทางที่จะพลิกสถานการณ์ฟื้นคืนมาได้บ้าง ... การตัดสินใจยุติกิจการ ที่อยู่กับมันมา แน่นอนว่ามันเจ็บปวด มันเจ็บใจ แต่ก็ต้องทำ!!!
ในวิกฤตยังมีโอกาส หลังจากที่ผมเลิกทำหลายๆกิจการ อาคารและพื้นที่ที่ผมเช่าอยู่นั้นยังคงเป็นสิทธิที่ติดตัวอยู่กับผมเพราะสัญญาเช่ายังเหลืออยู่ ผมก็ปล่อยให้คนอื่นเช่าต่อ(ในสัญญาที่ผมทำไว้กับเจ้าของที่ระบุว่าผมสามารถปล่อยเช่าช่วงได้) จากที่เคยทำกิจการขาดทุนเดือนละหลายหมื่น พลิกกลับมาเป็นกำไรหลักหมื่นได้!!!
บทเรียนที่ 3 … หมายศาลมาแปะหน้าบ้าน
บทนี้ของตัดมาจากกระทู้เก่าครับ https://ppantip.com/topic/36495521
เรื่องมีอยู่ว่า ... ผมก็ไปเจอทรัพย์ชิ้นหนึ่งประกาศขาย ทำเลใช้ได้ ราคาถูกกว่าตลาดพอสมควร ผมคิดว่าน่าจะพอทำกำไรได้ จึงตัดสินใจซื้อ โดยใช้การกู้ธนาคาร กระบวนการประเมินจากธนาคาร และ การซื้อขายทั้งหมดทั้งมวล ผ่านโดนไม่ติดขัดอะไร ... ที่ดินโอนผ่านได้ไม่ติดภาระหรือหมายเหตุแนบท้ายใดๆ ธนาคารรับจำนองได้ปกติ
ถือครองไว้ได้ไม่นานก็มี “หมายศาล” ส่งมาหา ... ระบุว่าผมตกเป็นจำเลยในคดีแพ่ง เรื่องเกิดจากบ้านหลังที่ผมซื้อมาข้างต้น ... เรื่องราวของสำนวนฟ้อง จับความได้ว่า บ้านหลังนี้เคยมีการฟ้องร้องกันมาแล้วและในครั้งนั้นศาลสั่งให้โจทก์(เจ้าของเดิมๆ) เป็นฝ่ายชนะคดีในครั้งนั้น ... แต่โจทก์(เจ้าของเดิมๆ) ก็ไม่ได้ดำเนินการอายัตบ้านหลังนี้แต่อย่างใด จำเลยในขณะนั้นจึงขายบ้านมาอีกหลายทอดจนถึงมือผมเป็นคนสุดท้าย ... โจทก์(เจ้าของเดิมๆ) ฟ้องคดีใหม่ เริ่มจากจำเลยเดิม แล้วผู้ที่ซื้อขายที่ผ่านมาทุกมือรวมทั้งผม!!!
แน่นอนว่าผมก็ต้องตั้งทนายสู้คดีไปตามระเบียบ ว่าผมซื้อทรัพย์มาแบบสุจริตและเสียค่าตอบแทน ส่วนเรื่องราวในคดีก็ ว่ากันไปตามพยานหลักฐานในกระบวนการชั้นศาลต่อไป บทสรุปของเรื่องราวจะออกท่าไหนยังไม่ทราบแน่ชัดดอกครับ .... ถ้าคิดในแง่ดี ศาลท่านเห็นพยานหลักฐานเราแล้วสั่งยกฟ้อง หรือสั่ง ให้คนที่ขายเรานำเงินมาคืนเราแล้วเราก็คืนบ้านเขาไป(ซึ่งจะมีเงินมาให้เราหรือเปล่าว่ากันอีกเรื่อง) หรือคิดในแง่ร้าย .... เอ่อออ ผมเองก็ไม่อยากจะนึกถึง
แต่ไม่ว่าจะสรุปบทไหนก็ตาม งานก็เข้าผมเต็มๆ ... บ้านอยู่ในคดีความ ถ่ายโอนไม่ได้(ถ้าถ่ายโอนก็มีความผิด) ต้องรอไปอีกหลายปีกว่าคดีจะสิ้นสุด และก็ต้องรอความชัดเจนอีกว่าจะเรื่องจะออกท่าไหน ... บ้านหลังนี้กำไรแทบไม่ต้องพูดถึงแล้วครับจังหวะนี้ เข้าเนื้อเห็นๆ ไหนจะค่าทนาย ค่าเสียเวลา และที่สำคัญคือเงินที่จมลงไปแบบไม่รู้ว่าจะได้คืนหรือเปล่า!!!!
บทเรียนที่ 4 … มันอยู่เหนือการควบคุม
อัคคีภัย!!!
ราวๆกลางปี ผมตกอยู่ใน "ภาวะวิกฤต" มากที่สุดวันนึง จากเหตุเพลิงไหม้!!! .... ไฟไหม้ห่างจากออฟฟิตผมไม่กี่สิบเมตร!!! เรียกได้ว่า โค ตรใกล้!!!!
ช่วงสายๆของวันทำงานวันหนึ่ง ... ขณะที่ผมนั่งทำงานอยู่ ลูกน้องวิ่งเข้ามาในห้องผมแจ้งว่ามีไฟไหม้ .... เพลิงอยู่ห่างจากออฟฟิตราว 50 เมตร แต่ เราอยู่เหนือลม อย่างแรกที่ผมทำคือโทรหาตำรวจ(แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่ามีคนแจ้งแล้ว พนักงานดับเพลิงกำลังไป) ... เวลาผ่านไปสักพัก รถดับเพลงก็ยังไม่มา ไฟก็เริ่มโหมแรงขึ้น พี่พนักงานผู้หญิง เริ่มกลัว และเริ่มร้องไห้ ... รถดับเพลิงเริ่มมา แต่ไปสกัดกั้นทางใต้ลมเป็นหลัก แต่ไฟเริ่มลามเข้ามาใกล้เรื่อย!!!
ไฟโหมๆ และ ควันดำทมึน
ผมตัดสินใจกระโดดข้ามฝั่งไป ทำแนวกันเพลิง ด้วยผมและพนักงานผู้ชายอีก 3-4 คน ด้วย จอบ มีดทำกับข้าว และ สายยางฉีดน้ำเส้นเล็กๆที่ต่อน้ำมาจากออฟฟิต!!! ... ไฟลามเข้ามาไกล้เรื่อยๆ ผมสั่งให้เริ่มขนของอพยพ!!!
เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ พนักงานดับเพลิงเริ่มทยอยเข้ามาที่เพลิงต้นลม ผมเสนอให้เจ้าหน้าที่เข้าระงับเพลิงทางออฟฟิตของผม ผมสั่งรื้อหลังคาร้านผมและขนของที่ขีดขวางการทำงานเจ้าหน้าที่ออกทั้งหมด เพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งผมและทีมเข้าไปช่วยเต็มกำลัง(เท่าที่ทำได้)
กินเวลาสักพักกว่าเจ้าหน้าที่เริ่มควบคุมเพลิงไว้ได้ ไฟลามห่างออฟฟิตผมเพียง 10 เมตร เกือบถึงแนวกันไฟน้อยๆที่ผมทำไว้ ... เพลิงถูกจำกัดเขตไว้ได้แน่ชัด ออฟฟิตผมปลอดภัย!!!
วิ่งลืมเหนื่อยครับ เป็นผู้ช่วยนักดับเพลิงเต็มวัน ... ถ้าไฟลามมาถึง และ ถ้าไฟไหม้ออฟฟิตผม ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเป็นอย่างไร!!! … หลังจากนั้นผมก็ป่วยไปอีกหลานวัน!!! เดชะบุญไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้!!!
รูปผมขณะที่ผมช่วยพี่พนักงานดับเพิงลากสายฉีดน้ำ!!!
อุทกภัย!!!
ผมมีธุรกิจอีกตัวหนึ่งคือ ธุรกิจบ้านเช่า ทำมานานหลายปีผู้เช่าเต็มเกือบตลอด ปัญหาก็มีบ้างแต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมาก แต่ครานี้มันระดับ หายนะ!!!
บ้านเช่าที่ผมดูแลอยู่ 3 หลัง ถูกน้ำท่วมเละเทะ (ไม่นับรวมของคนอื่นในหมู่บ้านนั้น) ... กระจกบานหน้าล้มแตก ประตูพังหลายบาน ข้าวของผู้เช่าเสียหายยับเยิน คอมฯผู้เช่าพังไม่ต่ำกว่า 5 เครื่อง ตู้เย็น ทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้าอีกเพียบ เสียหายหลายแสน!!! ... น้ำท่วมนี้เกิดจากน้ำล้นกำแพงมาจากฝั่งข้างเคียงที่พึ่งถมดิน(จนสูงลิบ)เมื่อเดือนก่อน ประกอบกับเหนือที่ดินแปลงนี้ขึ้นไปกำแพงพังน้ำจึงทะลักมาสมทบ กลายเป็นว่าน้ำจากที่ดินแปลงที่อยู่สูงๆขึ้นไปไหลบ่ามาท่วมหมู่บ้าน
สิ่งที่ผมทำเป็นอย่างแรก คือ "เรื่องผู้เช่า" ... เยียวยาสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าที่ทำได้ จัดหาที่พักให้ผู้เช่าทุกหลัง ระดมทีมงานมาช่วยผู้เช่า จัดเก็บเช็คสิ่งของที่เสียหาย และ ขนย้าย ... ต่อมา "ประสานเจ้าหน้าที่รัฐ" ตำรวจ อำเภอ เทศบาล หน่วยงานทัองถิ่น เรียกมาให้หมดทุกหน่วยงาน … ลำดับสุดท้าย "โทรหาทนายของผม" ว่าผมควรจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร
ผมจำภาพตอนน้องนักศึกษามาเห็นสภาพห้องได้เลย น้องผู้หญิงบางคนร้องไห้เลย … เห็นแล้วพูดไม่ ภาพหนึ่งในบ้านเช่าของผมครับ
ภาวะวิกฤตแบบนี้คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ... แต่คำถามคือถ้ามันเกิดขึ้นแล้วเราควรทำอย่างไร? ... เหตุการณ์ลักษณะนี้สำหรับผมเป็นเหตุการณ์ที่ “เกิดขึ้นเร็ว” และมี “ผลกระทบที่รุนแรง” ต่อชีวิตและทรัพย์สิน ... ด้วยความที่มันเกิดขึ้นเร็ว โอกาสที่เราจะเตรียมตัวหรือตั้งหลักนั้นมีน้อย สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำคือ ดึงสติไว้กับตัวให้ได้มากที่สุด เพราะ การตัดสินใจที่ผิดพลาดอาจก่อให้เกิดหายนะที่ร้ายแรงกว่าเดิม
ถ้าผมไม่รื้อหลังคาร้านออกเพื่อให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าพื้นที่ไฟอาจจะลามไปมากกว่านี้ ... หรือถ้าไฟลามมาถึงแล้วผมยังไม่ขนของเตรียมไว้แล้วไฟไหม้มันคงจะแย่ลงไปอีก!!!
ถ้าผมไม่จัดหาที่พักไม่เยียวยาลูกบ้าน ลูกบ้านคงย้ายหนีกันหมด ... แต่เชื่อหรือไม่เมื่อเหตุการณ์จบลง มีแนวทางการป้องกันน้ำจากที่ดินข้างเคียงที่ชัดเจน น้องๆนักศึกษาก็ขอย้ายกลับมาบ้านหลังเดิม!!
ดังนั้น ถ้าวิกฤตเกิดขึ้น ขอจงมีสติครับ!!!
ปล .. อีก 2 บทเรียน ถ้าลงหมดแลัว เกิน 10000 ตัวอักษรครับ ขอลงต่อใน comment นะครับ