[หนังโรงเรื่องที่ 247] HOMESTAY: จืด จาง ไม่อิน
คะแนนความชอบ : A (จากสเกล D-A)
(ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: เมื่อวิญญาณเร่ร่อนตนหนึ่งได้รับโอกาสที่เรียกว่า "รางวัล" จากผู้คุมวิญญาณ ที่ทำให้เขาได้มีโอกาสกลับไปใช้ชีวิตอีกครั้งในร่างของเด็กผู้ชายชื่อ "มิน" (ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ)
ซึ่งเขาก็ได้รับภารกิจในการหาคำตอบให้ได้ว่า "ใครทำให้มินฆ่าตัวตาย" ภายใน 100 วัน ระหว่างนั้น "เขา" ในร่างมินก็ต้องเผชิญหน้ากับปริศนามากมายที่แฝงตัวอยู่ในชีวิตของเด็กคนนี้ และตามหาหนทางใช้ชีวิตเป็นของตัวเองให้ได้
👍 จุดที่ชอบ 👍
1.ถ้าให้ยกสิ่งที่ดีที่สุดมาชมเป็นอย่างแรกก็คงหนีไม่พ้น "งานภาพ/วิชวล" ที่ถือว่าเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของวงการหนังไทยเอามากๆ ความเป็นแฟนตาซีมาผนวกกับ SFX ที่เหมาะเจาะก็ทำให้หนังมันมีมู้ดแอนด์โทนที่ยอดเยี่ยมได้ บวกกับจังหวะตัดต่อที่ค่อนข้างต่อเนื่องและไหลลื่นก็ทำให้เราเพลินจนแทบไม่รู้ตัวเลยว่าหนังมันยาวตั้ง 2 ชั่วโมง 10 นาทีแน่ะ ! ขอให้เครดิตงามๆ ให้กับผู้กำกับและทีมโปรดักชั่นเลยครับ
2."เจมส์-ธีรดนย์" คือเดอะแบกที่แท้จริงของหนังเรื่องนี้ เอาจริงๆ ผมติดตามน้องคนนี้อยู่ห่างๆ มาตั้งแต่ฉลาดเกมโกงแล้วล่ะ (ถ้าจำรีวิวผมได้ จะเห็นว่าอวยพอสมควร) เรื่องนั้นว่าแน่นแล้ว เรื่องนี้ยิ่งพีคเข้าไปอีก
เหมือนน้องได้ปลดล็อคความสามารถตัวเองไปอีกขั้นอะ ทุกซีน ทุกอารมณ์ เจมส์เอาอยู่หมดดดด โดยเฉพาะซีนอารมณ์เกรี้ยวกราดก็ถ่ายทอดออกมาได้ดีมากๆ มันมีความฉุนเฉียวและความสับสนอยู่ในแววตาของตัวละครที่เอ่อล้นจนเห็นได้ชัด พ่อหนุ่มคนนี้ยังไปได้อีกไกลแน่นอน
3.การวางลำดับปมและความลับก็ถือว่าดีพอสมควร หนังรู้จังหวะเข้า-ออกของตัวเองได้ดีและสามารถเลี้ยง "ความใคร่รู้" ของคนดูอย่างเราได้ ส่วนที่น่าจับตาดูก็คือช่วงกลางของหนังที่ข้อมูลต่างๆ ทยอยถูกเปิดเผยออกมานี่แหละ มันเป็นจังหวะเฉลยเรื่องต่อเนื่องที่ทำให้เราอยากดูต่อไปเรื่อยๆ ได้ดี
4.การประยุกต์บริบทของหนังถือว่าครีเอตพอสมควรเลยนะ คือต้นฉบับของหนังเรื่องนี้มันเป็นนวนิยายญี่ปุ่น ดังนั้นการจูน context ให้เข้ากับบ้านเราได้ก็ถือเป็นโจทย์ที่หินเอาการ แต่พอเห็นหนังเปิดตัวละครสำคัญๆ ออกมาก็โล่งใจได้
👎 จุดที่ไม่ชอบ 👎
1.ปัญหาหลักๆ ที่ผมรู้สึกก็คือ "ดูแล้วไม่อินว่ะ" ซึ่งมันเป็นปัญหามากนะ เพราะมันคือหนังดราม่า มันมีหน้าที่อย่างเดียวก็คือทำให้เราอินแล้วก็กินใจไปกับเรื่องได้ -- แต่สิ่งที่ผมได้รับจากหนังก็คือความรู้สึกผิวๆ เปลือกๆ ที่ไม่ได้กระตุ้นให้เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับบทหนังเลย มันไม่มีพลังมากพอที่จะดูดคนดูเข้าไปสู่ห้วงพิเศษที่จะทำให้ทุกอย่างมัน matter ได้
ต่อให้หนังจะพยายามนำเสนอฉากเค้นน้ำตาจากเรื่องครอบครัว เรื่องความรัก เรื่องความอัดอั้นตันใจทั้งหลายแหล่ แต่สุดท้ายมันก็ไม่นำพา มันเรียกน้ำตาตามที่วางแผนไว้ไม่ได้ (เอาจริงๆ ตรงจุดนี้อาจจะ personal ถือว่าถกกันได้) ว่ากันตามตรงแล้วผมมีช่วงน้ำตาคลออยู่ช่วงเดียว คือช่วงตัวละครเสริมอย่างน้องลี้ระเบิดอารมณ์ออกมา โคตรเรียล กระชากใจโคตรๆ
2."เฌอปราง" อาจจะยังไม่เหมาะสมกับบทตัวละครหลักที่ต้องมีส่วนช่วยแบกหนังแบบนี้ คือในฉากปกติ ฉากกุ๊กกิ๊กน่ารักน้องเขาก็เล่นดีพอใช้ได้ แต่พอถึงช่วงซีนอารมณ์ปะทะกับเจมส์จริงๆ จะเห็นชัดเลยว่าเลเวลยังขาดไปเยอะ อาการ breakdown ของน้องมันดูบู้บี้เกินงามไปหน่อย มันดู beyond คำว่า "โศกเศร้า" ไปไกลมากแล้ว ทั้งตัวสั่นทั้งพูดไม่รู้เรื่อง อ้าว! อารมณ์สะดุดไปเฉย ... คือเห็นความพยายามแหละ แต่มันไม่ดีพอจริงๆ
3.เอาจริงๆ ก็ไม่ได้พอใจกับการที่หนังมันคลี่คลายตัวเองด้วย "คำตอบ" แบบนั้น มันดูชุ่ยไปหน่อย แต่พอเป็นเรื่องนี้จะชมหรือจะติก็ทำได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเนื้อเรื่องส่วนมากก็เอาของเขามาทำอีกที ขอทิ้งท้ายไว้สั้นๆ ว่ามันจบได้จืดขัดใจคนเขียนแล้วกันครับ
💡 สิ่งที่สังเกตเห็น 💡
1.ในฉากโรแมนติกระหว่าง "มินกับพาย" ฉากแรกนั้น มีการเอาเพลงประกอบ (soundtrack) จากการ์ตูนดังระดับโลกอย่าง Your Name/Kimi no Na Wa ที่ชื่อว่า "Date" มาดัดแปลงใช้อยู่ ผมมั่นใจว่าหูตัวเองฟังไม่ผิดนะ ลองเอาไปฟังดูครับ:
2.ส่วนเพลงของฉากไคลแม็กซ์นั้นคล้าย INTERSTELLAR - Cornfield Chase นิดหน่อย แต่ไม่ชัดเท่าข้อแรก ถือว่าเป็น ref ละกัน
3."ลี้" (ศรุดา เกียรติวราวุธ) คือ MVP ตัวจริงของหนังเรื่องนี้รองจากเจมส์ screentime น้องอาจจะไม่เยอะ แต่น้องเอาอยู่ทุกฉาก และน่าจดจำมากๆ
#ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 247] HOMESTAY: จืด จาง ไม่อิน by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A (จากสเกล D-A)
(ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: เมื่อวิญญาณเร่ร่อนตนหนึ่งได้รับโอกาสที่เรียกว่า "รางวัล" จากผู้คุมวิญญาณ ที่ทำให้เขาได้มีโอกาสกลับไปใช้ชีวิตอีกครั้งในร่างของเด็กผู้ชายชื่อ "มิน" (ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ)
ซึ่งเขาก็ได้รับภารกิจในการหาคำตอบให้ได้ว่า "ใครทำให้มินฆ่าตัวตาย" ภายใน 100 วัน ระหว่างนั้น "เขา" ในร่างมินก็ต้องเผชิญหน้ากับปริศนามากมายที่แฝงตัวอยู่ในชีวิตของเด็กคนนี้ และตามหาหนทางใช้ชีวิตเป็นของตัวเองให้ได้
1.ถ้าให้ยกสิ่งที่ดีที่สุดมาชมเป็นอย่างแรกก็คงหนีไม่พ้น "งานภาพ/วิชวล" ที่ถือว่าเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของวงการหนังไทยเอามากๆ ความเป็นแฟนตาซีมาผนวกกับ SFX ที่เหมาะเจาะก็ทำให้หนังมันมีมู้ดแอนด์โทนที่ยอดเยี่ยมได้ บวกกับจังหวะตัดต่อที่ค่อนข้างต่อเนื่องและไหลลื่นก็ทำให้เราเพลินจนแทบไม่รู้ตัวเลยว่าหนังมันยาวตั้ง 2 ชั่วโมง 10 นาทีแน่ะ ! ขอให้เครดิตงามๆ ให้กับผู้กำกับและทีมโปรดักชั่นเลยครับ
2."เจมส์-ธีรดนย์" คือเดอะแบกที่แท้จริงของหนังเรื่องนี้ เอาจริงๆ ผมติดตามน้องคนนี้อยู่ห่างๆ มาตั้งแต่ฉลาดเกมโกงแล้วล่ะ (ถ้าจำรีวิวผมได้ จะเห็นว่าอวยพอสมควร) เรื่องนั้นว่าแน่นแล้ว เรื่องนี้ยิ่งพีคเข้าไปอีก
เหมือนน้องได้ปลดล็อคความสามารถตัวเองไปอีกขั้นอะ ทุกซีน ทุกอารมณ์ เจมส์เอาอยู่หมดดดด โดยเฉพาะซีนอารมณ์เกรี้ยวกราดก็ถ่ายทอดออกมาได้ดีมากๆ มันมีความฉุนเฉียวและความสับสนอยู่ในแววตาของตัวละครที่เอ่อล้นจนเห็นได้ชัด พ่อหนุ่มคนนี้ยังไปได้อีกไกลแน่นอน
3.การวางลำดับปมและความลับก็ถือว่าดีพอสมควร หนังรู้จังหวะเข้า-ออกของตัวเองได้ดีและสามารถเลี้ยง "ความใคร่รู้" ของคนดูอย่างเราได้ ส่วนที่น่าจับตาดูก็คือช่วงกลางของหนังที่ข้อมูลต่างๆ ทยอยถูกเปิดเผยออกมานี่แหละ มันเป็นจังหวะเฉลยเรื่องต่อเนื่องที่ทำให้เราอยากดูต่อไปเรื่อยๆ ได้ดี
4.การประยุกต์บริบทของหนังถือว่าครีเอตพอสมควรเลยนะ คือต้นฉบับของหนังเรื่องนี้มันเป็นนวนิยายญี่ปุ่น ดังนั้นการจูน context ให้เข้ากับบ้านเราได้ก็ถือเป็นโจทย์ที่หินเอาการ แต่พอเห็นหนังเปิดตัวละครสำคัญๆ ออกมาก็โล่งใจได้
1.ปัญหาหลักๆ ที่ผมรู้สึกก็คือ "ดูแล้วไม่อินว่ะ" ซึ่งมันเป็นปัญหามากนะ เพราะมันคือหนังดราม่า มันมีหน้าที่อย่างเดียวก็คือทำให้เราอินแล้วก็กินใจไปกับเรื่องได้ -- แต่สิ่งที่ผมได้รับจากหนังก็คือความรู้สึกผิวๆ เปลือกๆ ที่ไม่ได้กระตุ้นให้เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับบทหนังเลย มันไม่มีพลังมากพอที่จะดูดคนดูเข้าไปสู่ห้วงพิเศษที่จะทำให้ทุกอย่างมัน matter ได้
ต่อให้หนังจะพยายามนำเสนอฉากเค้นน้ำตาจากเรื่องครอบครัว เรื่องความรัก เรื่องความอัดอั้นตันใจทั้งหลายแหล่ แต่สุดท้ายมันก็ไม่นำพา มันเรียกน้ำตาตามที่วางแผนไว้ไม่ได้ (เอาจริงๆ ตรงจุดนี้อาจจะ personal ถือว่าถกกันได้) ว่ากันตามตรงแล้วผมมีช่วงน้ำตาคลออยู่ช่วงเดียว คือช่วงตัวละครเสริมอย่างน้องลี้ระเบิดอารมณ์ออกมา โคตรเรียล กระชากใจโคตรๆ
2."เฌอปราง" อาจจะยังไม่เหมาะสมกับบทตัวละครหลักที่ต้องมีส่วนช่วยแบกหนังแบบนี้ คือในฉากปกติ ฉากกุ๊กกิ๊กน่ารักน้องเขาก็เล่นดีพอใช้ได้ แต่พอถึงช่วงซีนอารมณ์ปะทะกับเจมส์จริงๆ จะเห็นชัดเลยว่าเลเวลยังขาดไปเยอะ อาการ breakdown ของน้องมันดูบู้บี้เกินงามไปหน่อย มันดู beyond คำว่า "โศกเศร้า" ไปไกลมากแล้ว ทั้งตัวสั่นทั้งพูดไม่รู้เรื่อง อ้าว! อารมณ์สะดุดไปเฉย ... คือเห็นความพยายามแหละ แต่มันไม่ดีพอจริงๆ
3.เอาจริงๆ ก็ไม่ได้พอใจกับการที่หนังมันคลี่คลายตัวเองด้วย "คำตอบ" แบบนั้น มันดูชุ่ยไปหน่อย แต่พอเป็นเรื่องนี้จะชมหรือจะติก็ทำได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเนื้อเรื่องส่วนมากก็เอาของเขามาทำอีกที ขอทิ้งท้ายไว้สั้นๆ ว่ามันจบได้จืดขัดใจคนเขียนแล้วกันครับ
1.ในฉากโรแมนติกระหว่าง "มินกับพาย" ฉากแรกนั้น มีการเอาเพลงประกอบ (soundtrack) จากการ์ตูนดังระดับโลกอย่าง Your Name/Kimi no Na Wa ที่ชื่อว่า "Date" มาดัดแปลงใช้อยู่ ผมมั่นใจว่าหูตัวเองฟังไม่ผิดนะ ลองเอาไปฟังดูครับ:
2.ส่วนเพลงของฉากไคลแม็กซ์นั้นคล้าย INTERSTELLAR - Cornfield Chase นิดหน่อย แต่ไม่ชัดเท่าข้อแรก ถือว่าเป็น ref ละกัน
3."ลี้" (ศรุดา เกียรติวราวุธ) คือ MVP ตัวจริงของหนังเรื่องนี้รองจากเจมส์ screentime น้องอาจจะไม่เยอะ แต่น้องเอาอยู่ทุกฉาก และน่าจดจำมากๆ
#ตั๋วหนังมันแพง