[หนังโรงเรื่องที่ 235] Mission: Impossible - Fallout : ไม่หยุดบู๊ ไม่ปล่อยให้หายใจหายคอ by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 235] Mission: Impossible - Fallout : ไม่หยุดบู๊ ไม่ปล่อยให้หายใจหายคอ
คะแนนความชอบ : A++ (จากสเกล D-A)

(Christopher McQuarrie, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง

*ไม่มีมีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ

เรื่องย่อ: โลกมีภัยอีกครั้งเมื่อ "อีธาน ฮันท์" (Tom Cruise) และผองเพื่อน IMF ต้องมาทำภารกิจตามล่าพลูโตเนียมซึ่งเป็นแกนระเบิดนิวเคลียร์ที่องค์กรลับหวังจะใช้ก่อความหายนะทั่วโลก

แต่มางวดนี้ CIA เกิดคลางแคลงใจในตัวอีธานขึ้นมา จึงส่ง "เจ้าหน้าที่วอล์คเกอร์" (Henry Cavill) ให้มาคอยเฝ้าสังเกตการณ์และจับตาดูภารกิจนี้อย่างใกล้ชิด ส่วนภารกิจจะเป็นอย่างไรก็คงต้องติดตามกันต่อไป
.
.
📖 การดำเนินเรื่อง 📖

ถือว่าหนังรักษาสไตล์การเดินเรื่องที่รวดเร็วของตัวเองไว้ได้ดี คือหนังใช้เวลาในช่วงต้นเรื่องอัดเนื้อหาข้อมูลมากมายมหาศาลเพื่อปูพื้นให้เราเข้าใจเรื่องราวก่อน หลังจากนั้นก็คือคิวบู๊แบบ non-stop เลย

ซึ่งสำหรับผู้เขียนแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องดีนะ มันไม่น้ำท่วมทุ่งดี -- แต่ถ้าชะลอช่วงบรีฟภารกิจให้ช้าลงกว่านี้อีกนิดก็คงไม่เสียหายมั้ง เพราะถ้าคนดูไม่มีพื้นทำนองนี้มาก่อนก็อาจจะเป๋ไปเลย (ฟัง/อ่านไม่ทัน)

มาในภาคนี้จะได้เห็นจุดสรุปของเรื่องราวชีวิตส่วนตัวในแง่ต่างๆ ของอีธานด้วย ไม่ว่าจะเป็นสายลับสาว "อิลซ่า" (Rebecca Ferguson) และรักห่างๆ อย่างห่วงๆ กับ "จูเลีย" (Michelle Monaghan) เป็นต้น มันพาเรามาถึงจุดคลี่คลายตอนท้ายได้อย่างแนบเนียน ถือว่าขมวดเรื่องได้เจ๋งใช้ได้เลยล่ะ ที่สำคัญคือเนื้อเรื่องสำคัญแต่ละองก์มันต่อเนื่องมากๆ ไม่มีช่วงพักคั่นให้เห็นชัดๆ เลย อันนี้ก็ถือว่าดี
.
.
📖 ความบันเทิง 📖

ฉากแอคชั่นและคิวบู๊คือสิ่งที่ดีที่สุดใน Mission: Impossible ภาคนี้ หรืออาจจะพูดได้ว่าเป็น sequence ของฉากแอคชั่นไล่ล่าที่ดีที่สุดของหนังชุดนี้ก็เป็นได้ -- เนื้อเรื่องการไล่ล่าในปารีสคือที่สุดของความอลหม่านวุ่นวาย และที่สำคัญคือมันแทบไม่หยุดพักเลย!

พอเราคิดว่า "เออเว้ย มันน่าจะจบช่วงนี้แล้วล่ะ" หนังก็ประเคนคิวบู๊ต่อไปมาใส่หน้าเราทันที คือแบบ โอ้โหหหห ให้ผมหายใจมั่งก็ได้คุณโว้ย แล้วพอถึงช่วงที่มันหมดองก์จริงๆ หนังก็ปล่อยให้เราพักแค่แป๊ปๆ ก็ยัดเราไปในฉากไล่ล่าอันต่อไปแล้ว คือมันสุดยอดมากๆ เป็นจังหวะที่ยอดเยี่ยมเร้าใจอย่างที่สุด

สิ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบอีกอย่างก็คือ "ความซับซ้อน" ในเรื่องของความสัมพันธ์ ผลประโยชน์ และแผนการต่างๆ ที่ทับซ้อนไว้หลายต่อหลายชั้นประดุจเค้กยูนิคอร์น คือมันจะไม่ได้มีแค่องค์กรที่เป็นตัวร้ายมาปะทะกับตัวเอกสองคน แต่มันมีมือที่สาม มือที่สี่ ห้า หก เจ็ด โอ๊ย! รุงรังไปหมด

ในส่วนนี้ทำให้ layer ของหนังมันลึกมากๆ ทำให้เราต้องคิดตามตลอดเวลาว่าองค์กรไหนมันเป็นพวกใครกันแน่ และผลของการใช้เครื่องมือแบบนี้ก็คือเนื้อเรื่องมันจะน่าเดามากขึ้น ลุ้นมากขึ้น

ในแง่ของมุกตลกก็อยู่ในจุดที่พอไปได้ คือหลักๆ แล้วหนังมันไม่ได้ตั้งใจยิงมุกอยู่แล้วด้วยเพราะต้องการจะรักษาโทนซีเรียสของหนังไว้ แต่พอถึงจังหวะที่เอาฮาจริงๆ มันก็เข้าท่าจนถึงระดับขำก๊ากเลยทีเดียวล่ะ ต้องยกผลประโยชน์ให้นักแสดงคู่บุญทั้งสองคนอย่าง Simon Pegg และ Ving Rhames ที่มาเข้าขารับส่งมุกได้ตลอด ถ้าไม่มีพี่สองคนนี้หนังคงแห้งกว่านี้เยอะเลย
.
.
📖 ความพิเศษ 📖

โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้หนังภาคนี้พิเศษกว่าทุกภาคที่ผ่านมาก็คือ "สตอรี่" ที่ทางค่ายหนังเอามาโม้ไว้ล่วงหน้าก่อนเกี่ยวกับการ "เล่นจริงเจ็บจริง" ของลุงทอม ครูสนี่แหละ คือพอเรารู้มาก่อนว่าฉากตรงนี้ลุงเขาเล่นจริง เจ็บจริง เสี่ยงจริงนะ มันเลยทำให้ฉากที่เกือบจะธรรมดากลายเป็น awesome scene ไปเลย

ไม่ว่าจะเป็นฉากโดดร่ม ฉากกระโดดข้ามตึก หรือฉากขับเฮลิคอปเตอร์ พอเราตระหนักไว้ในใจแล้วว่าที่เห็นอยู่ในจอคือตัวทอมจริงๆ มันเลยกลายเป็นความอินไปอีกระดับเลย ถ้าหนังเรื่องอื่นๆ ทำแบบนี้เยอะขึ้นก็คงดี มันได้ผลจริงๆ นะ
.
.

เห็นได้ชัดว่า Mission: Impossible - Fallout เป็นผลงานชิ้นเอกที่ทอม ครูสทุ่มทุกอย่างที่ตัวเองมีโดยหวังจะให้หนังเรื่องนี้ "ขึ้นหิ้ง" ในฐานะผลงานที่ดีที่สุดของเขาเป็นแน่ ... อจริงอยู่ที่ว่ามันก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่แค่ความเดือดที่หนังยื่นให้กับเรานานร่วม 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว!


#ตั๋วหนังมันแพง

ถูกใจรีวิวก็สามารถมาแสดงความคิดเห็นและกดไลค์ + แชร์ เพื่อสนับสนุนเพจได้ครับ: https://www.facebook.com/expensivemovie/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่