ล่ามวิศวะ ... Mission Impossible 2

ล่ามวิศวะ ... Mission Impossible 2

2 ล้มลุกคลุกคลาน (ต่อ)

       เรื่องล้มลุกคลุกคลานของเฮียยังไม่จบนะ หายนะไม่แพ้เรื่องแรกแต่หายกันคนละแบบ คราวนี้เราไปล่ามกันเป็นหมู่คณะ นายหน้าได้โปรเจ็คล่ามอบรมพนักงานหลายแผนก ต้องใช้ล่ามหลายคน เฮียได้รับเอกสารการอบรมหนึ่งวันก่อนวันทำงาน เป็นเรื่องที่เฮียไม่คุ้นเคย ก็ศึกษาเอกสารจนเข้าใจ 90% มั่นใจพอประมาณ แต่พอถึงเวลาล่ามจริงนี่สิ อื้อหือ อย่าให้เซด ทีมวิทยากรที่มานี่สหประชาชาติมาก มีทั้งสำเนียงบริติช สำเนียงสิงห์โปร์ (พอไหว) แต่สำเนียงแอฟริกานี่สิ อ๊ากกกก แทบคลั่ง แค่ผู้พูดส่งสำเนียง”อินเตอร์ทองแดง” เฮียก็แย่อยู่แล้ว ดันพูดในสิ่งที่เกินเอกสารอบรมอีก แถมผู้เข้าอบรมยังมีความรู้ในงาน ทำงานมานาน ถามคำถามลึกๆนอกเอกสารอบรม จนเฮียนี่แบ๋วไปเลย น้ำเสียงสั่น ชักเริ่มไม่มั่นใจแล้ว ผู้เข้าอบรมบางท่านที่ภาษาอังกฤษดีคงรำคาญเฮียแปลไม่ถูกใจ เลยถามวิทยากรเป็นภาษาอังกฤษเองเลย เอาแล้วไง เหียกแล้วไม๊ล่ะ โดนข้ามหัวเสียแล้ว เฮียนี่หน้าชาเสียเซล์ฟสุดๆ แล้วที่โกลาหลสุดๆคือในหมู่ผู้อบรมเองมีบางคนไม่เก่งภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องตามไม่ทันที่พี่คนเก่งภาษาถาม พี่คนเก่งภาษาก็ไม่สนใจนะ ถามสิ่งที่เธออยากรู้ไปเรื่อยๆ ใครไม่ทันก็ช่างมัน ถามตอบกับวิทยากรกันสองคน ที่เหลือในห้องก็นั่งเป็นเบื้อใบ้ไม่รู้เรื่องหงุดหงิดกันใหญ่ วันนั้นเป็นวัน(ยิ้ม)ดีๆในชีวิตของเฮียอีกวันหนึ่งเลยทีเดียว

        แต่เคราะห์กรรมเฮียยังไม่หมด ตอนเย็นนายหน้าโทรมา บอกว่าผู้ใหญ่ในห้องฝึกอบรมไม่มั่นใจในคุณภาพการแปล อุตส่าห์จ้างล่ามมาแพงๆ จะขอเปลี่ยน พูดง่ายๆ ถีบเฮียออกจากทีมนั่นแหละ อันที่จริงวันนั้นเฮียก็แปลได้ 70% นะ อีก 30% คือขาดความรู้พื้นฐานในเรื่องที่แปล เวลาเค้าคุยกันลึกๆมากไปกว่าเอกสารอบรม เฮียตามไม่ทันน่ะ แล้วอีกอย่างพอพี่คนเก่งภาษาอังกฤษเธอสปีคอิงลิชถามวิทยากรเอง ใจเฮียก็ฝ่อ ร่วงตกไปถึงตาตุ่มแล้ว คือเราต้องยอมรับนะ ความรู้ในเนื้องานเค้ามีมากกว่าเรา ภาษาอังกฤษเค้าก็สื่อสารได้ เราไม่ควรมีอัตตาถือตัวว่าเป็นคนผูกขาดการสนทนา ทุกคนต้องพูดผ่านชั้น ให้ชั้นแปลคนเดียว ไม่งั้นเกิดผิดท่าขึ้นมา วางใจไม่ทันสติแตกเตลิดไปไม่กลับเลย

        แล้วปัญหาเหล่านี้จริงๆก็แก้ไม่ยากหรอก เรื่องสำเนียงวิทยากร ถ้าเรารู้ล่วงหน้า เราก็เตรียมตัวมาก่อนได้ ยูทูปนั่นแหละมีทุกสำเนียงเลย หรือไม่ก็รีบไปถึงหน้างานเร็วๆหน่อย ไปพูดคุยทำความคุ้นเคยสำเนียงเค้า หรือถ้าหนักหนาจริงๆ เวลาล่ามแล้วเราไม่เข้าใจ เราก็ขอให้เค้าพูดอีกครั้งก็ได้ แต่อย่าบ่อยนัก และที่สำคัญความรู้ที่เราคุยสอบถามกับวิทยากรก่อนล่ามนั่นแหละจะเป็นตัวสร้างความเข้าใจเนื้อหา ช่วยแก้ปัญหาเรื่องการฟังสำเนียงไม่ออกไปได้เยอะเลยทีเดียว ส่วนเรื่องผู้ฝึกอบรมถามคำถามอะไรที่นอกจากเอกสารอบรม ก่อนอบรมเราก็ถามวิทยากรได้นี่ ผู้เข้ารับการอบรมเป็นใคร มีพื้นฐานความรู้แค่ไหน อบรมเสร็จเค้าจะถามอะไรบ้าง คำตอบจะเป็นยังไง แล้วตัวเราเองล่ะเข้าใจคำถาม คำตอบ และที่มาของคำถามนี้ไม๊ และถ้าคู่สนทนาคุยกันได้โดยไม่ผ่านเรา ก็ไม่เป็นไร แต่ที่สำคัญคนอื่นๆในห้องที่พูดและฟังภาษาอังกฤษไม่ได้ ไม่รู้ว่าสองคนนี้คุยอะไร ล่ามก็สามารถสรุปให้ฟังที่หลังได้นะ เป็นการเรียนรู้ไปพร้อมๆกันทั้งคนเก่งและไม่เก่งภาษาอังกฤษ และดึงบทบาทหน้าที่ล่ามคืนมาที่เราด้วย อย่าตกใจ ตะลึงจนนิ่ง อึ้งเฉย จนทำให้ลูกค้าเสียความเชื่อมั่นในตัวล่ามแบบเฮียในตอนนั้น ซึ่งตอนนั้นเฮียยังไม่มีคำตอบต่อสถานะการณ์หายนะทั้งหลายหรอกนะ ยังมึนๆเมาหมัดอยู่น่ะ มาตอนนี้ค่อยๆถอดบทเรียนถึงนึกออก คาดการณ์ วางแผนล่วงหน้า ค่อยๆถอดโจทย์ เรียนรู้แยกองค์ประกอบ วิเคราะห์ปัญหาเป็นชิ้นย่อยๆ เฮียนี่ให้ความสำคัญกับการวางแผนเตรียมตัว 70% เลยนะ ที่เหลือ 30% คือลงสนามปรับตัวไปตามสถานการณ์ และที่สำคัญใจเสียได้ แต่อย่าเสียนาน แข็งใจ รวบรวมจิตใจ สู้มันเข้า ไม่มีอะไรยากเกินไป Nothing is Impossible.

     ที่สำคัญข้อมูลต่างๆในการเตรียมตัวพวกนี้น่ะล่ามต้องคุยกับลูกค้าก่อนทำงาน หรือไม่เอเย่นต์ก็ต้องหามาให้ เหมือนเอเย่นต์เป็นกองหลังคอยเก็บบอลส่งกองกลางผ่านให้กองหน้าอย่างล่ามคอยยิงประตูน่ะ ไม่ใช่ไม่บอกอะไรเลย หรือไม่ก็บอกกันคืนก่อนวันทำงาน ล่ามไม่มีโอกาสได้คุยกับลูกค้า แล้วผลงานมันจะออกมาดีไม๊ล่ะ ทุกคนมีบทบาทมีหน้าที่สำคัญงานมันถึงออกมาดี อย่าแค่รับงานหยาบๆตามที่เอเย่นต์หรือลูกค้าสั่งโดยไม่ถามรายละเอียดอะไรเลยแล้วมายิ้มเวลาทำงาน เพราะเกรงใจลูกค้า เกรงใจเอเย่นต์ อยากได้เงินเค้า อันนี้ถือว่าไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวเองต่อวิชาชีพ ลดคุณค่าตัวเอง น่ารังเกียจที่สุด (เรื่องเกรงใจลูกค้านี่ ... อืมมมม ไม่สิ ไม่เกรงใจต่างหาก ฮาาาา เฮียมีเรื่องเล่าเยอะเลยนะ จะค่อยๆเล่าไปก็แล้วกัน)

       แต่ถ้าล่ามเตรียมตัวมาอย่างดี เข้าใจเรื่องราว คำศัพท์ คำถามที่ผู้ฟังอาจถามแล้วล่ะก็ ... ความรู้สึกว่าพร้อมก่อนลงสนามนี่มันดีๆมากๆเลยนะ เตรียมตัวมาหลายวัน ภูมิใจในตัวเอง ฮึกเหิมมั่นใจระดับหนึ่ง แต่ไม่วายตื่นเต้น สนุกสนาน อยากออกไปลุยแบบเด็กๆออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อน ทำนอง "มาสิ มาเล้ยยยยยย โดนกูแน่" ความรู้สึกเดียวกันกับขึ้นเวที Mixed Martial Art (MMA) คู่หยุดโลก Corner VS Kabib เมื่อวันก่อนเลยน่ะ นี่แหละความสุข ความสนุก ความภูมิใจในการทำงาน ตระเตรียมทุกสิ่งให้พร้อม ซ้อมเหมือนที่รบ รบเหมือนที่ซ้อม ปล่อยให้ทุกอย่างเลื่อนใหล แล้วล่ามก็แค่ด้นสด improvise ไปตามอารมณ์และเสียงเพลงสะพานแปลพาผู้คนเชื่อมต่อติดต่อสื่อสารข้ามทะเลภาษา

       งานนั้นเฮียเสียรายได้ไปเกือบครึ่งแสน แต่ในโชคร้ายยังมีโชคดีเป็นพรจำแลง เฮียได้เจอล่ามรุ่นพี่ล่ามครูอาจารย์ ท่านไม่ได้จบนอกหรอกนะ สำเนียงก็ไม่ได้อเมริกันหรือบริติชจ๋า แต่ท่านทำงานแปลมาก่อน ท่านเล่าว่าหลายๆงานที่ท่านไปล่าม ท่านไม่มีพื้นฐานความรู้มาโดยตรง แต่อาศัยทักษะภาษาดี เรียนรู้ได้เร็ว บางงานทำงานวันเดียว แต่ท่านเตรียมตัวถึง 4 วัน ก็ดู youtube น่ะแหละ ไม่ว่าเรื่องสนธิสัญญานิวเคลียร์ หรือผ่าตัดหัวใจ เรียกว่า ก่อนเข้าตู้ล่ามท่านเป็นโนเนม anybody แต่พอสัมนาจบ เดินออกจากตู้ล่าม มีคนมาเรียกท่านว่าอาจารย์หมอ กลายเป็น somebody ไปเลย เฮียถึงได้เริ่มเข้าใจว่า ล่ามคือการเล่าเรื่อง ถ้าล่ามไม่เข้าใจเรื่องราวแล้ว จะเล่าได้ยังไง

        คนโบราณถึงกล่าวไว้ “หากมีครู เธอจะเป็นดั่งลูกธนู” วงการล่ามและนักแปลเราทำงานกันลำพัง เรียนรู้ต่อสู้ฝ่าฟันกันตามลำพัง ประมูลงาน แย่งงานตัดราคากันเอง ฮา จนราคามันตกต่ำลงมามาก บางคนก็ยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ ลดค่าตัวลงเพื่อให้ได้งานตามกลไกตลาดที่อ้างๆหรือเรียนหนังสือกันมา แต่เฮียเห็นแหวก ถ้าลดค่าตัวลงมา แต่ทำงานเท่าเดิม เตรียมตัว 3-4 วัน เพื่อทำงานวันเดียว เฮียไม่อยากทำ ได้ไม่คุ้มเหนื่อย หรือถ้าให้ลดคุณภาพเฮียก็ทำไม่ได้ เพราะเฮียอายเวลาไม่รู้เรื่องแล้วแปลมั่ว แปลเกิน “ใหล” ไปเรื่อยๆ เรื่องหายนะเก่าๆมันคอยตามหลอกหลอน และส่วนหนึ่งเฮียอยากให้วงการเราอยู่กันแบบพี่น้อง ไม่ใช่คู่แข่งทางธุรกิจลดราคาแข่งกันเอาเป็นเอาตาย จนสุดท้ายก็คงได้ตายกันหมด เฮียไม่ได้โลกสวย กินน้ำค้างเป็นจิ้งหรีดหรอกนะ ที่ออกมาเป็นฟรีแลนซ์ ก็เพราะแค่เชื่อ ทำ และอยู่ในโลกที่เฮียอยากให้เป็นก็เท่านั้นเอง (มีต่อ)

#อหังการ์หมาป่าโดดเดี่ยว

        อันนี้โฆษณานะ ใครที่สนใจอยากอ่านโพสต์เก่าๆเฮีย ติดตามได้ที่เพจล่ามเฮีย ดูมาเล่า-Thai Translator Tony
https://www.facebook.com/194511154044679/posts/637782993050824/

แถมท้าย

       มีบางงานที่คนไม่ได้มีหน้าที่ล่าม แต่ยิ้มมาล่ามแทนเฮียก็มีนะ อิอิ เสียมารยาทมาก ทำเฮียเสียจังหวะ อึดอัดด้วย แต่เฮียก็ไม่พูดอะไร จนวันหนึ่งที่เนื้อหาการแปลมันยากและลึก พี่”ยิ้ม”แปลไม่ได้ พยักเพยิดมาทางเฮีย เฮียก็แปลให้นะ แต่ก่อนแปลก็หัวเราะไปขำๆ แล้วถามพี่ยิ้มว่า “อ้าว ทำไมตรงส่วนยากๆไม่แปลเองล่ะ มาให้ผมแปลทำไม(วะ)” นั่นแหละพี่ยิ้มถึงได้รู้สึกตัว มาบอกกับเฮียตอนหลังว่า “เฮียแปลน่ะถูกแล้ว พี่ยิ้มไม่สามารถพอ” เฮียก็ยิ้มๆนะ นึกในใจว่า “เออ” แล้วพี่ยิ้มก็หายยิ้ม ไม่แปลแทนเฮียอีกต่อไป แต่ก็ไม่วายมียิ้มแปลเอาหน้าอยู่บ้างเล็กน้อยตามนิสัยยิ้มลึกๆ(สันดาน)พี่ยิ้มน่ะ เออ ไม่ว่ากัน
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่