* หลักปฏิบัติ หรือจะเรียกว่าจักรราศี ของปฏิจจสมุปบาท - ท่านพุทธทาส

* หลักปฏิบัติ หรือจะเรียกว่าจักรราศี ของปฏิจจสมุปบาท - ท่านพุทธทาส
                    
                    ทีนี้ ก็มาถึงเรื่องที่เรียกว่าเป็นหลักปฏิบัติ.     นี้มันก็เกินเวลามามากแล้ว
เรื่องมันยังไม่จบ ;         แล้วเราไม่มีโอกาสจะพูดอีก      และเราก็ได้วางหัวข้อไว้แล้วว่าจะพูด
เรื่องหลักปฏิบัติเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท   ดังนั้นก็ต้องพูดต่อไป.

                    หลักโดยวงกว้างนี้มันน่าประหลาดที่สุด.           ผมจะเรียกมันว่า    "จักรราศี"
ของปฏิจจสมุปบาท ;          ตั้งต้นติดต่อกันไปตั้งแต่สมุทยวาร    จนไปถึงนิโรธวาร         แล้ว     
น่าหัว     ก็ตรงที่ว่า      มันจะแสดงให้เห็น     "อานิสงค์ของความทุกข์".      ขอให้ฟังต่อไป.

                    พระพุทธภาษิตนี้ตรัสลำดับเรื่องดับทุกข์ไว้อย่างน่าประหลาด :      พระพุทธเจ้า
ท่านตรัสว่า      "สำหรับผู้รู้ผู้เห็น   เราจึงกล่าว ;    สำหรับผู้ไม่รู้ไม่เห็น    เราก็ไม่กล่าวถึงความ

                    
สิ้นไปแห่งอาสวะ".      ความสิ้นไปแห่งอาสวะย่อมมี   เมื่อรู้เห็นลักษณะ   ความเกิด   ความดับ
แห่งขันธ์ทั้งหลาย ;        นี่ทรงยกเอาความสิ้นอาสวะนั้น        ว่ามีได้         เมื่อมีการรู้การเห็น
ในความเกิดขึ้นและความดับไป              และรู้เห็นลักษณะแห่งความเกิด           และความดับ
ของเบญจขันธ์ที่เกิดขึ้นด้วยอุปาทาน          คือรูป     เวทนา     สัญญา     สังขาร     วิญญาณ
๕ อย่างนี้.        ถ้ารู้ว่าลักษณะมันเป็นอย่างไร     เกิดอย่างไร    ดับอย่างไร     โดยแท้จริงแล้ว
จะเป็นไปเพื่อสิ้นอาสวะ ;           หรือความสิ้นอาสวะมีได้เพราะรู้เรื่องนี้.           นี่พระพุทธองค์
ทรงยืนยันว่าตถาคตรู้เห็นเรื่องนี้จึงได้กล่าว ;          ถ้าไม่รู้ไม่เห็นจะไม่กล่าว        คือจะไม่ทรง
เอาเรื่องที่ไม่ได้รู้ไม่ได้เห็น        มากล่าวเป็นอันขาด.

                    ความสิ้นอาสวะนั้น             ถ้ามีขึ้นแล้ว            จักทำให้เกิดญาณที่รู้ว่าจิตสิ้น
อาสวะแล้ว ;              - ญาณในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะ              นี้จะมีได้ต่อเมื่อมีวิมุตติ
มาแล้ว ;     - วิมุตติคือความหลุดพ้นจะมี      ก็เพราะมีวิราคะ,      มันอิงวิราคะ      มีวิราคะเป็น
ที่อาศัย ;         - วิราคะมันต้องอาศัยนิพพิทา ;        - นิพพิทานี้ต้องอาศัยยถาภูตญาณทัสสนะ
คือเห็นสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง ;         - ยถาภูตญาณทัสสนะนี้ต้องอาศัยสมาธิ ;         - สมาธิ
ต้องอาศัยความรู้สึกที่เป็นสุข ;          - สุขนี้ต้องอาศัยปัสสัทธิคือความรำงับ ;          - ปัสสัทธิ
นี้ต้องอาศัยปีติ ;              - ปีติต้องอาศัยปราโมทย์ ;              - ปราโมทย์ต้องอาศัยศรัทธา ;
- และก็แปลกตรงที่ว่า    ศรัทธานี้ต้องอาศัยความทุกข์.

                   ทีนี้ก็วกเข้าหาปฏิจจสมุปบาทว่า       - ความทุกข์นั้นต้องอาศัยชาติ ;       - ชาติ
ต้องอาศัยภพ ;        - ภพต้องอาศัยอุปาทาน ;       - อุปาทานต้องอาศัยตัณหา ;       - ตัณหา
ต้องอาศัยเวทนา           - เวทนาอาศัยผัสสะ ;         - ผัสสะอาศัยอายตนะ ;          - อายตนะ
อาศัยนามรูป ;         - นามรูปอาศัยวิญญาณ ;        วิญญาณอาศัยสังขาร ;         - แล้วสังขาร
อาศัยอวิชชา ; แล้วก็จบกัน.

                    นี้แปลว่าการสิ้นอาสวะนั้น           จะต้องได้อาศัยสิ่งที่เป็นปัจจัยลงมาตามลำดับ
ตามลำดับ ๆ ตามนัยที่กล่าวแล้วจนมาถึงศรัทธา.        เรามีศรัทธาในพระพุทธ         พระธรรม
พระสงฆ์       ศรัทธาในการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์นี้ :       นี้เรียกว่าเรามีศรัทธา.         ทีนี้ลองย้อน
กลับขึ้นไปอีกทีว่า      พอมีศรัทธาก็มีปราโมทย์ ;      มีปราโมทย์ก็มีปีติ ;      มีปีติก็มีปัสสัทธิ ;
มีปัสสัทธิก็มีสุข ;       มีสุขก็มีสมาธิ ;      มียถาภูตญาณทัสสนะ ;      มีนิพพิทา ;       วิราคะ ;
วิมุตติ ;      แล้วมีญาณ     ที่รู้ว่ามีวิมุตติแล้ว ;     ก็มีความสิ้นไปแห่งอาสวะนั้น ;      นี่แสดงว่า
มัน ต้องตั้งต้นที่ศรัทธา.

                    ทีนี้     ศรัทธาเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยทุกข์      นี้เป็นของแปลก.       เข้าใจว่าคงไม่
เคยได้ยินกันสักกี่คนนักว่า            ศรัทธาที่เรามีกันอยู่นั้น           มันตั้งอยู่ได้เพราะอาศัยความ
ทุกข์ :      ถ้าไม่มีความทุกข์บีบคั้น     เราไม่วิ่งมาหาพระพุทธเจ้า     จริงไหม ?      เราวิ่งมาหา
พระพุทธเจ้า             เอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง,            มีศรัทธาในพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด,
นั้นเพราะว่าเราถูกความทุกข์บีบคั้น.          ความเป็นอยู่ในชีวิตจึงกลายเป็นว่า          ความทุกข์
เป็นเหตุให้เกิดศรัทธา,           ความทุกข์เลยกลายเป็นของดี        เหมือนกับเพชรที่มีอยู่ในหัว
คางคก     ที่แสนจะน่าเกลียด :       ในความทุกข์กลับมีเพชร        คือสิ่งที่บังคับให้เราวิ่งมาหา
พระพุทธเจ้า     แล้วก็มีศรัทธา.

                    ในพระพุทธภาษิตนี้ตรัสความทุกข์เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา         แล้วความทุกข์ก็มา
จาก    อวิชชา  สังขาร  วิญญาณ  นามรูป  ฯลฯ    คือปฏิจจสมุปบาท ;    ก็แปลว่าเป็นการแสดง
ให้เห็นว่า       อย่าเสียใจเลย      อย่ากลัวเลย      อย่าน้อยใจเลย :         เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้
ถ้าเราทำให้ดี        ความทุกข์นั้นจะกลายเป็นที่ตั้งของศรัทธา ;         แล้วศรัทธาก็จะทำให้เจริญ
งอกงามในธรรมเรื่อย ๆ       ไปจนถึงความสิ้นอาสวะ.       การมองความทุกข์กันในแง่นี้       จะมี
อาการเหมือนกับว่า         พบเพชรพลอยอยู่ในหัวคางคกที่แสนจะน่าเกลียด.         แต่ทีนี้คน
ก็เกลียดกลัวกันเสียหมด ;         คางคก     ลูกหนู     กิ้งกือ      ไส้เดือนอะไรก็กลัวกันเสียหมด ;
แต่ถ้ามารู้ว่าความทุกข์นี้เป็นปัจจัยแห่งศรัทธา               เป็นที่ตั้งที่เจริญงอกงามแห่งศรัทธาแล้ว
เรื่องก็เป็นอันว่า กลายเป็นสิ่งที่ใช้ให้เป็นประโยชน์ได้.

                   เอาละนี่มันก็เลยเวลามามากแล้ว ;        เรื่องก็มากประเด็น      เชื่อว่าคงจำไม่ไหว
นอกจากจะไปทบทวนเอาใหม่จากเทปบันทุกเสียงนี้ ;           แต่ผมสรุปความให้ได้ว่า        เรื่อง
ปฏิจจสมุปบาททั้งหมดนี้ มันมีประโยชน์อย่างไร.
________________________________________________________________________________________________



ขอขอบคุณ ธรรมทานมูลนิธิ
ขอขอบคุณ พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์
ขอขอบคุณแหล่งที่มา :
หนังสือปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ พิมพ์ครั้งที่แปด ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ หน้า ๑๐๖-๑๑๐
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่